ThaiPublica > เกาะกระแส > PIER เปิด “ต้นทุน” ของสังคมไทยจาก PM2.5 กทม.สูงสุด ปี 2562 กว่า 4 แสนลบ. – ชี้รัฐจัดงบสิ่งแวดล้อมน้อย

PIER เปิด “ต้นทุน” ของสังคมไทยจาก PM2.5 กทม.สูงสุด ปี 2562 กว่า 4 แสนลบ. – ชี้รัฐจัดงบสิ่งแวดล้อมน้อย

23 กุมภาพันธ์ 2023


รศ.ดร. วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ต้นทุนของสังคมไทยจากมลพิษทางอากาศและมาตรการรับมือ “ฝุ่นจิ๋ว…กับผลกระทบที่ไม่จิ๋ว…ต่อครัวเรือนไทย!”

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ธธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้จัดบรรยายสรุป PIER Research Brief ครั้งที่ 1/2566 เรื่อง ต้นทุนของสังคมไทยจากมลพิษทางอากาศและมาตรการรับมือ โดย รศ.ดร. วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดงานวิจัยที่ได้ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากมลพิษทางอากาศต่อสังคมไทย โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจและความสุขในชีวิตของชาวไทยและรายได้ครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ แบบสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐานและข้อมูลประชากรของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนข้อมูลคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ งานวิจัยทำการประมาณมูลค่าความเต็มใจจ่ายเพื่อลดมลพิษทางอากาศด้วยวิธี subjective well-being ตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื่อว่าความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับรายได้ สถานะทางสุขภาพ สภาพสังคม และคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยสมมติว่าครัวเรือนจะได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพหากระดับความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในจังหวัดที่อาศัยอยู่สูงกว่าค่าแนะนำรายปีขององค์การอนามัยโลก

ผลการศึกษาพบว่า ในปี 2562 ฝุ่น PM2.5 สร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท และหากรวมทุกสารมลพิษ (PM10, PM2.5, CO, NOx, NO2) มูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนไทยจะสูงถึง 4.616 ล้านล้านบาท


ดร.วิษณุ ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยเมื่อพิจารณารายจังหวัดจะพบว่า ครัวเรือนทุกจังหวัดของไทย (ยกเว้นภูเก็ต) ต่างก็ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศกันถ้วนหน้า โดย 5 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนสูงสุดได้แก่ กรุงเทพฯ (ซึ่งมีมูลค่าความเสียหาย 436,330 ล้านบาทต่อปีสำหรับ PM2.5 และ 927,362 ล้านบาทต่อปีเมื่อพิจารณาทุกสารมลพิษ) รองลงมาได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับ

  • สถาบันวิจัยป๋วยฯ เผย “ต้นทุน” ของมลพิษทางอากาศในสังคมไทย – ชี้ปี 2560 กทม.ขึ้นอันดับ 1 ทะลุ 400,000 ล้านบาท
  • นอกจากนี้ หากปรับใช้ค่าแนะนำใหม่ขององค์การอนามัยโลกซึ่งพบว่า PM2.5 มีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์เพิ่มขึ้นจากในอดีตมาก มูลค่าความเสียหายจะสูงขึ้นจากที่รายงานไว้ข้างต้น โดย WHO ได้ยกระดับการเตือนภัยในปี 2564 ที่ผ่านมาด้วยการปรับค่าแนะนำใหม่เป็น 5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร/ปี กล่าวคือ หาก PM2.5 ค่าสูงเกินกว่าค่าแนะนำ จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต หลอดเลือดในสมองอุดตัน หัวใจล้มเหลว สมองเสื่อม ภูมิแพ้ และหอบหืด เป็นต้น

  • ฝุ่นพิษ PM 2.5 มีหลายหน้า แต่ “Chemical Smog”ตัวการร้าย ชี้รัฐไม่แก้ที่ต้นตอ ถามดังๆ “เกรงใจใครหรือเปล่า!”
  • เหตุใดมลพิษทางอากาศของประเทศไทยถึงทวีความรุนแรงมากขึ้น?

    งานวิจัยของ ดร.วิษณุ ระบุว่า หลักๆ แล้วมาจาก 3 ประเด็น ได้แก่

    1.ที่ผ่านมา ไทยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจมากและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมน้อย ซึ่งสังเกตได้จากงบประมาณแผ่นดินที่ตั้งไว้สำหรับการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ตั้งไว้เพียง 8,361-12,868 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2560-2566 หรือคิดเป็น 0.270-0.491% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด โดยในปี 2566 ล่าสุด ตั้งงบประมาณไว้เพียง 0.33% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดซึ่งนับว่าน้อยกว่ามาเลเซียถึง 2 เท่า และสหภาพยุโรปถึง 5 เท่า อีกหนึ่งตัวอย่างได้แก่ การเก็บภาษีรถเก่าในอัตราที่ต่ำกว่ารถใหม่ทำให้มลพิษเพิ่มขึ้นเนื่องจากรถเก่าปลดปล่อยมลพิษที่มากกว่ารถใหม่

    2. ที่ผ่านมา ไทยใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อยมาก กล่าวคือ มาตรการส่วนใหญ่ที่ใช้แก้ไขปัญหามักมีลักษณะบังคับให้ปฏิบัติตาม อาทิ มาตรการห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง การใช้มาตรฐานไอเสียและน้ำมัน เป็นต้น โดยมาตรการบังคับเหล่านี้ทำให้เอกชนไม่มีแรงจูงใจในการปรับตัวเพื่อปรับปรุงวิธีการผลิตให้ดีขึ้น และ

    3.ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและขาดกฎหมายที่บูรณาการการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ กล่าวคือ ที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลคือกรมควบคุมมลพิษไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการกับปัญหาเพราะมักจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย นอกเหนือไปจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กระจัดกระจายไปตามหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ หากมีการลักลอบปล่อยมลพิษในโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินการเชิงปฏิบัติ เพราะขึ้นอยู่กับกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น

  • ฝุ่นพิษ PM 2.5 จาก “ป้องกัน” สู่ “วาระแห่งชาติ” และแผนปฏิบัติการ 52 หน้า
  • การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

    ดร.วิษณุ กล่าวว่า นอกเหนือจากการแก้ไข 3 ประเด็นข้างต้นแล้ว ผู้กำหนดนโยบายควรเร่งดำเนินการดังนี้

  • ควรสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของมลพิษทางอากาศให้ทุกคนได้รับทราบอย่างทั่วถึงทั้งเกษตรกร ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน งานวิจัยในต่างประเทศพบว่าเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำสุด แต่สามารถก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่สูงมาก
  • ควรเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มากขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยจากมลพิษและเชื่อมโยงแอปพลิเคชันเพื่อส่งข้อมูลเตือนภัยคุณภาพอากาศแบบ real-time ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
  • พิจารณาปรับเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศของไทยให้เข้มงวดมากขึ้นจากปัจจุบันที่เข้มงวดน้อยกว่าค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลกกว่า 3 เท่า
  • ควรเร่งแก้ปัญหาตามแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศ ซึ่งหลัก ๆ ประกอบด้วย 1) การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคยานยนต์และการขนส่ง 2) การเผาในที่โล่งแจ้งภาคเกษตรและป่าไม้ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) การเผาไหม้เชื้อเพลิงและกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยต้องเข้าใจว่ามลพิษทางอากาศในแต่ละแหล่งกำเนิดมีช่วงเวลาการปล่อยและสาเหตุที่แตกต่างกัน และมลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นชั่วคราวและแก้ไขกันเฉพาะหน้าในระยะสั้นแต่ละปีเท่านั้น
  • ควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการต่าง ๆ เนื่องจากแม้จะมีแผนหรือมาตรการที่ดี แต่การปฏิบัติจริงมักไม่สัมฤทธิ์ผล ดังนั้น ควรสร้างตัวชี้วัดเพื่อประเมินความสำเร็จของมาตรการข้างต้น พร้อมระบุบุคคลและหน่วยงานผู้รับผิดชอบตั้งแต่หน่วยงานส่วนกลางลงไปถึงหน่วยงานท้องถิ่นระดับพื้นที่
  • มติ ครม. ลดภาษี “รถกระบะ – รถยนต์ไฟฟ้า” 1-2% หนุนอุตฯยานยนต์ผลิตรถไฟฟ้า – บี 20 แก้ฝุ่นพิษ
  • บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของ ธปท.