ThaiPublica > เกาะกระแส > “ผู้ว่าการ ธปท.” ชี้ 3 ความท้าทายของธนาคารกลางที่เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง… ‘งานที่อยู่ในมือวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย’

“ผู้ว่าการ ธปท.” ชี้ 3 ความท้าทายของธนาคารกลางที่เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง… ‘งานที่อยู่ในมือวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย’

2 ธันวาคม 2022


ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นเจ้าภาพร่วมกับ Bank for International Settlement(BIS) จัดงานสัมมนา BOT 80th Anniversary BOT-BIS conference ในหัวข้อ “Central Banking amidst Shifting Ground” เสวนาในประเด็นบทบาทของธนาคารกลางต่อความท้าทายในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ นวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ รวมถึงบทบาทของธนาคารกลางต่อภาวะโลกร้อน

การจัดงานครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในวาระที่ ธปท. ดำเนินงานมาครบรอบ 80 ปี โดยผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารกลางต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน และสถาบันวิจัยของประเทศไทย

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า วันที่ 10 ธันวาคม 2565 จะเป็นวันครบรอบการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย 80 ปีอย่างเป็นทางการ และการฉลองครบรอบครั้งสำคัญนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่มีบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงมาร่วมกันให้ความเห็นถึงบทบาทสำคัญของธนาคารกลาง และขอบคุณสำหรับการเข้าร่วมที่ถือว่าเป็นของขวัญวันครบรอบ

ดร.เศรษฐพุฒิได้ขอบคุณ BIS ที่สนับสนุนธปท.ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ ในช่วงเวลาที่โลกกำลังต่อสู้กับความท้าทายที่คุกคามให้ต้องห่างกัน BIS ยังคงทำหน้าที่เป็นรากฐานที่สำคัญของธนาคารกลางและความร่วมมือด้านกฎระเบียบที่นำให้เรารวมตัวกันได้ และการที่เราทุกคนมาอยู่ร่วมกันในวันนี้มาจากพลังของ BIS

ปีนี้เป็นปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยครบรอบ 80 ปี การเสวนาครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทบทวนและไตร่ตรองว่ามาไกลแค่ไหน รวมทั้งกำหนดทิศทางในอนาคต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการเคลื่อนไหวที่รุนแรงที่เคยประสบมา

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า หัวข้อการสัมมนาในวันนี้คือ “Central Banking amidst Shifting Ground” จึงขอกล่าวถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นความท้าทายของธนาคารกลางซึ่งมีด้วยกัน 3 ด้านคือ

ด้านแรก คือ สภาพทางเศรษฐกิจ(economic backdrop)ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เรากำลังเผชิญ โดยเห็นได้ชัดในด้านเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อุปสงค์ทั่วโลกฟื้นตัวและดีดกลับอย่างแข็งแกร่ง รวดเร็วกว่าที่คาดไว้จากการระบาดของโควิด ความต้องการหันออกจากภาคบริการไปสู่สินค้าอย่างรวดเร็วมาก และสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกไม่สามารถตอบสนองได้ทันตามที่ประเมินไว้ ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็ได้รับผลจากราคาที่สินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น จากความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

ข้อจำกัดด้านอุปทานจึงกลายเป็นประเด็นหลักอย่างเห็นได้ชัด และมองแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องชั่วคราว อีกทั้งในหลายด้านที่เห็นก็ไม่ใช่เรื่องวัฏจักร แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้เห็นว่าด้านอุปทานน่าจะเป็นประเด็นสำคัญลำดับต้นในอนาคตอันใกล้

นอกจากนี้เมื่อคำนึงถึงปัจจัยอีกหลายข้อ เช่น แนวโน้มโลกในด้านโลกาภิวัฒน์ ลักษณะของประชากร ซึ่งเดิมเคยเป็นแรงลมส่ง (tailwinds)ในการขยายการผลิตและลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่อเนื่อง อาจจะกลายเป็นแรงลมต้าน(headwinds) การกระจายตัวของประชากรและจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่มีต้นทุนสูง มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดแรงลมต้านด้านอุปทานและแรงกดดันด้านราคาที่สูงขึ้นในอนาคต

โดยสรุป สภาพเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางเผชิญอยู่ได้เปลี่ยนจากอุปสงค์ที่ไม่เพียงพอไปสู่อุปทานที่ไม่เพียงพอ ความท้าทายของอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปกลายเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป สำหรับนโยบายการเงิน ข้อจำกัดในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ ได้เปลี่ยนจากกรอบล่างที่เป็นศูนย์ไปสู่การไม่สามารถมีอิทธิพลต่ออุปทานที่ไม่ยืดหยุ่นได้

“บริบทของสภาพเศรษฐกิจจึงต่างออกไป และเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จึงท้าทายเราในฐานะนายธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อคือ เครื่องมือ ที่เรามีนั้น จะส่งผลกระทบต่อด้านอุปทานได้อย่างไร”

ในขณะเดียวกัน ระบบการเงินก็กำลังพัฒนาไปด้วย พร้อมด้วยความเสี่ยงและแรงกดดันที่ธนาคารกลางต้องจัดการ วัฏจักรการเงินทั้งในประเทศและทั่วโลกได้เปลี่ยนลักษณะความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัดมากขึ้น โยงไปถึงความผันผวนของภาวะการระดมทุน ราคาสินทรัพย์ และการรับความเสี่ยงมากขึ้น บทบาทที่เพิ่มขึ้นของตัวกลางทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFIs) ได้สร้างช่องโหว่ใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นไม่น้อย เพราะกฎระเบียบของ NBFIs ยังตามหลังกฎระเบียบของธนาคาร ความตึงเครียดในภาค NBFI เป็นปัจจัยหลักของความเครียดทางการเงินในช่วงวิกฤติโควิด-19 เช่นเดียวกับ ความตึงเครียดล่าสุดในตลาดตราสารหนี้ภาครัฐ

นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ได้นำไปสู่การเพิ่มจำนวนของสินทรัพย์ดิจิทัลและโทเค็น ซึ่งบางส่วนหมุนเวียนในโครงสร้างพื้นฐานแบบคู่ขนานที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและการกำกับดูแลตามกฎระเบียบ อีกทั้งยังทำให้เกิดความพยายามร่วมกันของธนาคารกลางในการควบคุมเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ผ่าน CBDC และโครงการริเริ่มอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเงินของธนาคารกลางยังคงเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในระบบการเงินดิจิทัล

ด้านที่สอง ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ต้องคิดใหม่อย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับกรอบแนวคิดที่ชี้นำนโยบาย

ข้อเท็จจริงบางอย่างจากสถานการณ์ขัดแย้งกับสิ่งที่อาจคาดหวังจากโมเดล(model)ที่ใช้ ตัวอย่าง เห็นได้ชัดจากเงินเฟ้อ ทำให้ Phillips curve แบบจำลองเงินเฟ้อใช้ไม่ได้อีกแล้ว Phillips curve ที่ควรจะอยู่ในแนวนอนกลับต่ำลง ทำให้มีการประเมินเงินเฟ้อต่ำเกินไปอีกในการคาดการณ์เงินเฟ้อต่ำ และชี้ให้เห็นความจำเป็นว่าต้องการแบบจำลองที่ดีกว่า วิธีที่ดีกว่าในการทำความเข้าใจกระบวนการเงินเฟ้อและวิธีสร้างแบบจำลอง วิธีที่ดีกว่าในการทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาสามารถส่งผ่านไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในวงกว้างและถาวรอย่างไร และนำไปสู่พลวัตของเงินเฟ้อที่ควรจะดำเนินการเพิ่มเติมอยางไร รวมทั้งเข้าใจได้ดีขึ้นว่าความคาดหวังของเงินเฟ้อก่อตัวขึ้นอย่างไร และเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันจริง

อีกตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและกรอบการทำงานที่เราเผชิญอยู่คือ ด้านกฎระเบียบทางการเงิน การค้าและการเงินที่ปรับไปสู่การเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุให้รูปแบบการให้บริการทางการเงินเปลี่ยนไป ประเภทขององค์กร(entity)ที่ให้บริการก็แตกต่างไปเช่นกัน สถานที่ที่ให้บริการก็เปลี่ยนไป ดังนั้นขอบเขตและเส้นแบ่งกำลังจะหายไป ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ในขอบเขตการกำกับดูแล เราจะจัดการกับขอบเขตควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างไร อะไรคือความสมดุลและส่วนผสมที่เหมาะสมระหว่างการกำกับดูแลบนฐานความเป็นองค์กร(entity-based regulation)กับการกำกับดูแลบนฐานการดำเนินงาน(activity-based regulation) รวมไปถึงการดูแลให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีการแข่งขันในตลาด ให้การคุ้มครองผู้บริโภคที่เพียงพอ ในสถานการณ์ที่ข้อมูลและเทคโนโลยีมีแนวโน้มไปสู่การผูกขาดและการแข่งขันที่น้อยลงโดยธรรมชาติ

ด้านสามคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการตอบสนองของธนาคารกลางเพื่อจัดการกับความท้าทายนี้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“ในความท้าทายทั้งสามข้อนี้ ความท้าทายข้อนี้น่าจะเป็นความท้าทายที่น่ากลัวที่สุด เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้ และผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดการของเรา ซึ่งเป็นการทดสอบขีดจำกัดของเครื่องมือของเรา ชุดเครื่องมือที่เรามีอาจไม่ตอบโจทย์ แต่เป็นความท้าทายที่มีความสำคัญที่จะเพิกเฉยไม่ได้ เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น”

การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญอย่างมาก ต่างจากอัตราเงินเฟ้อที่การดำเนินการตามหลังจะทำให้เกิดความเจ็บปวดในระดับหนึ่งเมื่อนโยบายจำเป็นต้องตามให้ทันในที่สุด แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่ดำเนินการก็จะตามไม่ทัน และผลของการประเมินพลาดก็จะกลายเป็นหายนะ

การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่การพิจารณาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสีเขียวต่ออัตราเงินเฟ้อ หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงต่อเสถียรภาพทางการเงิน แต่ยังเป็นการดำเนินการเพื่อโน้มน้าว ให้แรงจูงใจสังคมเต็มใจในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จำกัดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงวภาพภูมิอากาศ

ช่องทางที่มีแนวโน้มว่าจะได้สร้างผลมากที่สุดสำหรับธนาคารกลางคือผ่านระบบการเงิน สิ่งจูงใจ ความคิด และความเชี่ยวชาญในภาคการเงินต้องได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่ามีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการจัดหาเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องอาศัยแนวทางการทำงานร่วมกันทั้งระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและระหว่างประเทศ ความคิดริเริ่มที่ดำเนินการโดยหน่วยงานต่างๆ เช่น Network of Central Banks and Supervisors for Greening the Financial System จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า Mervyn King อดีตผู้ว่าการ ธนาคารกลางสหราชอาณาจักรเคยกล่าวไว้ว่า “central banking should be boring” ในช่วงเวลาหนึ่งคำกล่าวนี้เป็นจริง และคงมีสักวันที่มันจะเป็นจริงอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่วันนี้ งานที่อยู่ในมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย (straightforward)

การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือที่แน่วแน่ เพื่อมองให้ทะลุถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกลั่นกรองสาระสำคัญที่นโยบายควรตอบสนอง จะต้องอาศัยความอ่อนน้อมถ่อมตนในการทำความเข้าใจโลก เพื่อที่เราจะสามารถปรับตัวเข้ากับข้อมูลที่เข้ามา และฟังความคิดเห็นในวงกว้างจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และจะต้องมุ่งเน้นไปที่การบรรลุภารกิจหลักของเรา และดูแลให้ความคาดหวังของเป้าหมายนโยบายนั้นสอดคล้องกับเครื่องมือที่เรามี ในขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากเครื่องมือเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเผชิญเป็นสิ่งใหม่และเราไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบที่ดีทั้งหมด และเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้อมูลใหม่ และต้องฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มากขึ้น และอยู่กับความเป็นจริงว่าอะไรที่สามารถทำได้ และการที่ไม่จัดการตามเป้าหมายเพราะไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมและเพียงพอ อาจเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของเรา”

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวปิดท้ายว่า “ตลอด 80 ปี ความมุ่งมั่นของธนาคารแห่งประเทศไทยในด้านการเติบโต เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจไทยยังคงแน่วแน่ เราจะยังคงยึดมั่นในความมุ่งมั่นนี้ ในการฝ่าความไม่แน่นอนที่อยู่ข้างหน้า”