ดร.มหาธีร์แพ้เลือกตั้งในลังกาวี เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในการลงสมัครรับเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี 1969
อดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด เสียที่นั่งในรัฐสภา หลังจากชาวลังกาวีเทคะแนนเสียงให้กลุ่มพันธมิตรแห่งชาติ หรือ เปริกาตัน เนชันแนล (Perikatan Nasional) ในเขตเลือกตั้งของเกาะลังกาวีเมื่อวันเสาร์
นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของดร.มหาธีร์ในวัย 97 ปีในการเลือกตั้งเข้าสู่รัฐสภาของมาเลเซีย นับตั้งแต่แพ้เลือกตั้งในปี 1969
ดาโต๊ะซูไฮมี อับดุลเลาะห์ จากกลุ่มพันธมิตรแห่งชาติ ชนะที่นั่งในลังกาวีด้วยคะแนนเสียง 25,463 หรือ 38.1% ของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน
ตุน ดร. มหาเธร์ ได้คะแนนเสียงเพียง 4,566 เสียง หรือคิดเป็น 6.8% ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์คะแนนเสียง 12.5% ที่กำหนดไว้สำหรับการได้เงินประกันสำหรับการลงเลือกตั้งคืนของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ดาโต๊ะอาร์มิชาห์ สิราจ จากพรรครัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional — BN) มาเป็นอันดับสองด้วยคะแนนเสียง 11,945 เสียง หรือ 17.9% ของคะแนนเสียงที่นำมานับคะแนนได้ ดาโต๊ะอาร์มิชาห์ เป็นสมาชิกของพรรคอัมโน (United Malays National Organisation — UMNO) ที่กัมปุง กัวห์ในลังกาวี และคุ้นเคยกับปัญหาในพื้นที่
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ดร.มหาเธร์ได้รับคะแนนเสียง 54.9% จากคะแนนเสียงที่นำมานับคะแนนได้ทั้งหมด 34,527 เสียงในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2561 ซึ่งเอาชนะคะแนนเสียงของ BN ได้ 29.1%
ดร.มหาเธร์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากการนำความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนามาสู่ลังกาวี โดยการประกาศให้เป็นเกาะปลอดภาษี ในปี 1987 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ซึ่งดึงดูดการลงทุนด้านการท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมถึงสนามบินนานาชาติ บริการเรือข้ามฟาก และโรงแรมหรู
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าดับไม้ตายของพรรคเปจวง(Pejuang Tanah Air-Pejuang) ที่ลงแข่งในสนามเลือกตั้ง 121 ที่นั่งซึ่ง 13 ที่นั่งมาจากเคดาห์
เคดาห์ซึ่งรวมถึงลังกาวีก็เป็นรัฐบ้านเกิดของดร.มหาธีร์เช่นกัน
ผู้ลงคะแนนไม่เชื่อมั่นกับคำสัญญาของดร.มหาเธร์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และนำการลงทุนกับการจ้างงานจากต่างประเทศกลับคืนมา ด้วยการขจัดการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล และสะสางหนี้ในประเทศจำนวน 42 พันล้านริงกิต ที่อดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคสร้างไว้
นอกจากนี้ยังมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจความเป็นผู้นำของมหาธีร์หลังจากที่เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2563 และไม่ส่งมอบการคุมอำนาจรัฐบาลให้กับ ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม ตามที่สัญญาไว้
ความพ่ายแพ้เมื่อวันเสาร์ของดร.มหาธีร์ จากการสูญเสียที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้งทั่ว น่าจะเป็นการยุติอาชีพนักการเมืองที่ยืนยงที่สุดคนหนึ่งของเอเชีย
ดร.มหาธีร์ได้คะแนนเป็นอันดับที่สี่ จากการต่อสู้กับ 5 คู่แข่งในลังกาวี ซึ่งเป็นเกาะท่องเที่ยวทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย ที่เขาได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งก่อนในปี 2561 นอกจากปวดใจแล้ว ยังสูญเสียเงินประกันอีกด้วย
“เซอร์ไพร้สอย่างมากที่ไม่เพียงแต่เขา (มหาธีร์) พ่ายแพ้เท่านั้น แต่ยังพ่ายแพ้อย่างน่าตกตะลึงอีกด้วย” ฟลอเรนซ์ ลูอิ ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรารายงานจากนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์
“เขาไม่เพียงสูญเสียที่นั่ง แต่ยังสูญเสียเงินประกัน เพราะไม่ได้รับคะแนนเสียงมากกว่าหนึ่งในแปด พรรคของเขายังไม่สามารถคว้าได้สักที่นั่ง”
นับเป็นความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งแรกในวัย 97 ปีในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ ดร.มหาธีร์เป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียนานถึง 22 ปีตั้งแต่ปี 2524 จนกระทั่งประกาศลาออกในปี 2546
ดร.มหาธีร์กลับเข้าสู่การเมืองที่คึกคัก เมื่อข่าวอื้อฉาวมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในกองทุนรัฐ 1MDB ถูกเปิดเผย และการผนึกกำลังกับอันวาร์ อิบราฮิ ที่เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยของเขา แต่กลายเป็นคู่แข่งภายหลัง เพื่อเอาชนะพรรครัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติ(พรรคที่ทั้งดร.มหาธีร์และอันวาร์เคยเป็นสมาชิก) ที่คุมอำนาจในขณะนั้น ส่งผลให้ดร.มหาธีร์เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2561 เพียงสองเดือนก่อนวันเกิดปีที่ 93 ของเขา
โจรหรือคนคุก
ดร.มหาธีร์ดูช้าลงอย่างเห็นได้ชัดตามอายุแต่ยังดูแข็งแรง ครั้งนี้ลงเลือกตั้งภายใต้ร่มธงของพรรค Pejuang ของเขาเอง และหัวเราะเยาะคำแนะนำว่าเขาควรเกษียณ โดยบอกนักข่าวก่อนการเลือกตั้งว่าเขามี “โอกาสที่ดี” ที่จะชนะ
“ผมยังคงยืนคุยกับคุณอยู่ ผมคิดว่ากำลังให้คำตอบที่สมเหตุสมผล” ดร.มหาธีร์กล่าว
ดร.มหาธีร์กล่าวว่า พรรคของเขาจะไม่จัดตั้งพันธมิตรใดๆ กับพรรคที่นำโดย “คนโกงหรือคนติดคุก” ซึ่งดูแล้วเป็นการพูดถึงพรรคอัมโน (United Malays National Organisation — UMNO) ซึ่งเป็นพรรคของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ที่ดร.มหาธีร์เองเคยเป็นผู้นำ
แนวร่วมรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอิมาลอิล ซาบร ยาคอบ ซึ่งนำโดยพรรค UMNO พ่ายแพ้ต่อคู่แข่ง กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยอันวาร์ และอดีตนายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นอดีตผู้นำ UMNO อีกคนหนึ่งที่ปัจจุบันเป็นผู้นำพันธมิตร Perikatan Nasional (PN) ซึ่งรวมถึงพรรคปาส หรือ PAS (Pan-Islamic Malaysian Party)
ดร.มหาเธร์มักถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปกครองแบบแข็งกร้าวเมื่อเขาเป็นผู้นำประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 2524 ถึง 2546 แต่ก็ยังได้รับการยกย่องว่าช่วยเปลี่ยนประเทศให้เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าไฮเทคชั้นนำของโลก
ความเป็นผู้นำที่ยาวนานของเขาทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ และได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งมาเลเซียสมัยใหม่” เมื่อดูแลการก่อสร้างโครงการสำคัญๆ เช่น สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ และทางหลวงสายเหนือใต้ และเปิดประเทศรับการลงทุนจากต่างชาติ
ดร.มหาเธร์เคยเตือนว่านาจิบจะได้รับอิสรภาพหากพันธมิตรของเขาชนะการเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์
ดร.มหาธีร์ยังเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สาม แต่ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่าไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นและพรรค Pejuang ไม่ได้ที่นั่งใด ๆ จาการลงแข่งขัน
การปะทะกันครั้งใหญ่ของดร.มหาธีร์กับอันวาร์ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่เขาไล่ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปี 2541 และถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ได้ครอบงำและหล่อหลอมการเมืองมาเลเซียตั้งแต่ทศวรรษ 1990s
แต่สุดท้ายอายุก็เป็นคู่แข่งตัวฉกาจของเขา
“เวลาของมหาธีร์หมดลงแล้ว” บริดเจต เวลส์ แห่งมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มาเลเซีย กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีก่อนการเลือกตั้ง