ThaiPublica > คอลัมน์ > เมื่ออินเดียและปากีสถานฉลองเอกราชครบ 75 ปี: ประเทศไหนพัฒนาไปในทิศทางใด?

เมื่ออินเดียและปากีสถานฉลองเอกราชครบ 75 ปี: ประเทศไหนพัฒนาไปในทิศทางใด?

5 กันยายน 2022


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

นายกรัฐมนตรีนอินเดีย นายเรนทระ โมที ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/narendramodi

เมื่อวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา อินเดียมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในวาระที่ประเทศได้รับเอกราชจากอังกฤษมาครบ 75 ปี นี่เป็นมหกรรมการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ไม่ว่าทางบก ทาเรือ ทางอากาศ การโดดร่ม นักประดาน้ำ อันเชิญธงชาติอินเดีย แม้นักบินอวกาศชาติต่างๆ ในสถานีอวกาศนานาชาติ ก็ออกมาแสดงความยินกับประเทศอินเดียด้วย ผู้นำประเทศมหาอำนาจต่างส่งสารแสดงความยินดีครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง (Emmanuel Macron) ของฝรั่งเศส ซึ่งเขียนสารแสดงความยินดีเป็นภาษาฮินดีด้วยอักษรเทวนาครีเป็นข้อความว่า “ความสำเร็จของอินเดียในรอบ 75 ปีนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ประชากรโลก” ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและกระชับแน่นระหว่างผู้นำสูงสุดของทั้งสองประเทศ

เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดของการเฉลิมฉลองครั้งนี้คือการปราศรัยครั้งใหญ่ของนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมที จากป้อมแดง (Red Fort) เป็นเวลายาวนานถึง 82 นาที เป็นการปราศรัยจากป้อมแดงเป็นครั้งที่ 9 ของเขา

แต่สาระการปราศรัยครั้งนี้แตกต่างจากการปราศรัยครั้งที่ผ่านๆ มาทั้งหมด เพราะท่วงทำนองในการปราศรัยครั้งนี้เป็นปลุกเร้าให้ประชาชนทั้งประเทศหันหน้ามาทำงานร่วมกันเพื่อเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วใน 25 ปีข้างหน้านี้

เป็นการแสดงถึงโรดแมปของประเทศ ในครั้งนี้นายนเรทระ โมที กำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศให้สำเร็จเมื่อฉลองเอกราชเมื่ออินเดียครบ 100 ปี

สาระของการปราศรัยครั้งสำคัญครั้งนี้มีประเด็นสำคัญๆ 5 ประการด้วยกัน ได้แก่

1) อินเดียต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วให้ได้ในปี ค.ศ. 2047

2) ปลดปล่อยจิตสำนึกประชาชาติของคนอินเดียจากการเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ

3) สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นอินเดีย

4) ให้ยุติการกดขี่สตรีเพศในทุกรูปแบบ ในที่ลับและในที่แจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่ในสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ

5) ให้ชาวอินเดียทุกคนสำนึกในหน้าที่ของตนเองและทำหน้าที่พลเมืองของตนเองให้ดีที่สุด

สำหรับประเด็นที่หนึ่ง คือ “การผลักดันให้อินเดียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” นั้น ตามปกติ ตัวชี้วัดมาตรฐานคือรายได้ประชาชาติ คือ GDP นั่นคือรายได้เฉลี่ยต่อหัวคนของประชาชนทั้งประเทศ สำหรับสหรัฐอเมริกามี GDP อยู่ที่ 19.485 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และรายได้ชาวอเมริกันเฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 59,939 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ญี่ปุ่นมี GDP อยู่ที่ 4.872 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ชาวญี่ปุ่นมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 38,214 เหรียญสหรัฐ เยอรมนีมี GDP อยู่ที่ 3.693 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 44,680 เหรียญสหรัฐ ฝรั่งเศสมี GDP อยู่ที่ 2.583 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 39,827 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่อินเดียมี GDP อยู่ที่ 2.651 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และมีรายได้ต่อหัวต่อคนปีละ 1,980 เหรียญสหรัฐเท่านั้น

ที่มาภาพ : https://www.grid.news/story/global/2022/08/16/world-in-photos-india-and-pakistan-mark-75-years-of-independence-with-celebration-and-tension/

หากใช้เกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ อินเดียยังคงเป็นประเทศที่ล้าหลังทางเศรษฐกิจอยู่มากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ทำให้เป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมที ตั้งไว้นั้นดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริง แต่ยุทธศาสตร์สำคัญของโมทีไม่ได้อยู่ที่การพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เขาเน้นที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ทั้งชาติ โดยมุ่งประชาชนที่อายุอยู่ระหว่าง 20-25 ปี ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นผู้ผลักดันให้ความฝันของเขาให้กลายเป็นความจริง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออินเดียฉลองวันครบเอกราชอีก 25 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะมีอายุประมาณ 50 ปี และจะเป็นประจักษ์พยานสำหรับความสำเร็จของอินเดียได้อย่างดี นี่คือความฝันของอินเดีย (Dreams of India)

นเรทระ โมที ยังปลุกเร้าให้คนวัยหนุ่มสาวเหล่านี้ออกมาเดินร่วมกับเข้าไปข้างหน้า และปฏิญาณว่าจะทำภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จให้ได้ ให้ “ธงไตรรงค์ของเราเป็นธงที่เต็มไปด้วยพละกำลัง”

สำหรับประเด็นที่สองคือ “การปลดปล่อยจิตสำนึกประชาชาติของคนอินเดียจากการเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ” หรือพูดอีกอย่างคือ “การลบสำนึกการเป็นทาสอาณานิคมให้หมดไป” โมที ปลุกเร้าชาวอินเดียให้ภูมิใจในภาษาถิ่นทุกภาษาที่ตนพูด ด้วยเหตุว่าภาษาเหล่านี้เป็น “มรดก” ตกทอดจากบรรพบุรุษชาวอินเดีย

สำหรับประเด็นที่สามคือ “สร้างความภาคภูมิใจในรากฐานอารยธรรมอินเดีย” เพราะการมีรากฐานทางอารยธรรมจะทำให้ประเทศพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว โดยนายโมทียกตัวอย่างที่ประเทศอินเดียไม่ยอมก้มหัวให้กับมหาอำนาจทางตะวันตกที่ขู่จะคว่ำบาตรอินเดีย กรณีการซื้อน้ำมันของอินเดียจำนวนมากจากรัสเซียในราคาลดพิเศษถึง 27% โดยไม่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐแต่ใช้เงินรูปี และไม่นำพาต่อคำวิพากวิจารณ์ใดๆ ของสื่อตะวันตกเลย พร้อมยืนกรานนโยบายเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างมั่นคงมาตลอด และทำทุกอย่างที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชากรอินเดียอย่างเต็มที่

ประเด็นที่สี่คือ “ให้ยกเลิกการดูหมิ่นสตรีในทุกรูปแบบ” เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมอย่างยิ่ง

ประเด็นที่ห้าคือ “การตระหนักถึงหน้าที่พลเมืองของประชาชนทุกคน” ในขณะที่รัฐเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ แต่เป็นหน้าที่ของประชากรทุกคนต้องประหยัดการใช้กระแสไฟฟ้านั้น เช่นเดียวกันกับเมื่อรัฐผลิตน้ให้ประชาชน ประชากรอินเดียทุกคนต้องมีหน้าที่ประหยัดการใช้น้ำ ซึ่งโมทีเชื่อว่าหากประชาชนทำตามหน้าที่ของตนแล้ว อินเดียย่อมพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในไม่ช้า เพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โมทียังปลุกเร้าให้ประชาชนมีสำนึกในบุญคุณของทหารทุกคนที่ปกป้องประเทศชาติ กสิกรทุกคน วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของชาวอินเดีย ให้อินเดียก้าวกระโดดสู่ประเทศดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ มีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง และสร้างเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกของตนเองให้กระจายไปทุกหมู่บ้าน ทำให้อินเดียทั้งประเทศเป็นดิจิทัลอินเดียไปทุกหย่อมหญ้า

ในตอนท้ายของการปราศรัยครั้งนี้ เขาปลุกเร้าประชาชนอินเดียให้ร่วมกันปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการเล่นพรรคเล่นพวก (nepotism) ในทุกรูปแบบ เพราะคร์รัปชันและการเล่นพรรคเล่นพวกนั้นแพร่กระจายไปอยู่ในทุกสถาบันของอินเดีย

…….

ที่มาภาพ : https://www.jpost.com/international/article-714721

ก่อนหน้าอินเดียหนึ่งวัน ปากีสถานก็มีการฉลองครอบ 75 ปีที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเช่นเดียวกัน แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยความซบเซาอย่างยิ่ง แต่เดิมนั้นปากีสถานมีนโยบายให้ประเทศของตนเป็นประเทศมุสลิมที่ทันสมัย แต่ประเทศเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้ามกับอินเดีย ปากีสถานกลายเป็นแหล่งชุมนุมของผู้ก่อการร้ายนับก๊กไม่ถ้วน เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของประชาชนทุกภาคส่วน ไร้ซึ่งความมั่นคงทางการเมือง ในการเฉลิมฉลองครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ (Shehbaz Sharif) ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ศูนย์ประชุมชินาในกรุงอิสลามาบัดว่า ปากีสถานในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะใกล้ที่จะล้มละลาย

ในขณะเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรี นายอิมราน ข่าน ได้ปราศรัยใหญ่ที่เมืองราวัลปินดีซึ่งมีประชาชนมาชุมนุมกว่าแสนคน เขาได้ยกตัวอย่างว่าอินเดียเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐิจ การเมือง และการทหาร อินเดียไม่ต้องพึ่งพาชาติใดๆ และยกตัวอย่างว่าในขณะที่อเมริกาถึงว่าอินเดียเป็นประเทศที่เป็นมิตรทางยุทธศาสตร์ของตน แต่ผู้นำอเมริกาและมหาอำนาจทางตะวันตกก็ยังขู่บังคับที่จะคว่ำบาตรอินเดียเพราะซื้อน้ำมันจากรัสเซียและค้าขายกับรัสเซีย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียได้ออกมาโต้อย่างมีเหตุมีผล จนทำให้อเมริการและยุโรปต้องหยุดการขู่ การเป็นประเทศเอกราชนั้นไม่ได้หมายความเพียงว่ามีอธิปไตยของตนเองเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงความสามารถที่จะยืนหยัดที่จะปกป้องผลประโยชน์ประเทศของตนโดยไม่กลัวอิทธิพลของชาติใดๆ อีกด้วย

ด้วยหนี้สินต่างประเทศกว่า 90 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นหนี้จีนถึง 14.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นหนี้ที่กู้มาจากรัฐบาลจีน และอีก 8.7 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นหนี้ต่อธนาคารต่างๆ ของจีน ถ้าจีนสั่งถอนเงินคืนทั้งหมดเศรษฐกิจของปากีสถานก็จะล้มละลายทั้งประเทศ จีนเป็นผู้บริหารโรงผลิตกระแสไฟฟ้าของปากีสถาน เมื่อต้นปีนี้เองปากีสถานการชำระหนี้ต่อจีน จีนจึงสั่งปิดโรงงานไฟฟ้าเหล่านี้ทำให้ปากีสถานตกอยู่ในความมืดในยามกลางคืนทั้งประเทศ

ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมานี้ ปากีสถานไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง กลับไปลงทุนในการพัฒนากองทัพอย่างมากจนเกินความจำเป็น ละเลยประชาชนจนไร้สวัสดิการสังคม

ที่มาภาพ : https://cgpkchicago.org/press-release/75th-anniversary-of-the-independence-day-of-pakistan/

ระดับการอ่านออกเขียนได้ของชาวปากีสถานที่เป็นผู้ใหญ่สูงเพียง 58% เท่านั้น (ชาย 69.29% และหญิง 46.49%) เมื่ออัตราการอ่านออกเขียนได้ในประเทศอยู่ในระดับนี้ ปากีสถานจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะมุสลิมหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้ายมุสลิมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และการที่ผู้ปกครองประเทศขาดวิสัยทัศน์ในการพัฒนายังส่งผลให้ระบบการคลังการเงินของปากีสถานมีปัญหาอย่างหนักด้วย

ขณะนี้ปากีสถานมีเงินตราต่างประเทศคงคลังต่ำกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินเฟ้อสูงถึง 21.3% IMF เคยช่วยเหลือปากีสถานมาถึง 22 ครั้งแล้ว ซึ่งมากกว่าทุกประเทศที่ IMF เข้าไปช่วยเหลือ แม้บัดนี้ปากีสถานก็ยังรอความช่วยเหลือจากกองทุน IMF อยู่ และคาดกันว่าปลายเดือนนี้ปากีสถานจะได้รับเงินช่วยเหลือจาก IMF อีก 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ แหล่งเงินกู้สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของปากีสถานคือซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมงกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียสัญญาว่าจะให้เงินจำนวน 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินคงคลังในปากีสถาน ซึ่งเป็นเงินไขของ IMF ที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินครั้งที่ 23 ในขณะที่อินเดียมีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปากีสถานยังคงต้องพึ่งพาการกู้เงินจากต่างประเทศถึง 3 แหล่ง ได้แก่ จีน ซาอุดีอาระเบีย และ IMF ปากีสถานจึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายว่า “ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง”

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับประเทศนี้คือ ปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์ถึง 100-120 หัว (ในขณะที่อินเดียมี 90-110 หัว) ในเมื่อปากีสถานประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจและการเมืองที่รุนแรงที่สุดในรอบ 75 ปี โอกาสที่อาวุธที่มีความสามารถในการทำลายล้างสูงระดับนี้จะตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้ายจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากต่อความมั่นคงของโลก

แม้ปากีสถานจะได้รับเงินกู้ก้อนใหม่จาก IMF ปลายเดือนนี้ ปัญหาเรื้อรังของประเทศนี้ยังคงอยู่ เพราะการผ่อนชำระหนี้สิ้นกับธนาคารจีนยังคงมีปัญหาต่อไป ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองยังคงมีอยู่และอาจปะทุกลายเป็นสงครามกลางเมืองเมื่อใดก็ได้ และเป็นภัยความมั่นคงต่อภูมิภาคเอเชียใต้ทั้งหมด สำหรับปากีสถานแล้วยังไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

จะเห็นได้ว่าการได้รับอิสรภาพจากอังกฤษนั้นมิได้เป็นการรับรองได้ว่าจะทำให้ประเทศสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อินเดียพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา การทหาร เทคโนโลยี จนกลายเป็นประเทศหนึ่งในทวีปเอชีย ปากีสถานที่ได้รับเอกราชพร้อมๆ กันกลับกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศคือภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเกิดความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตนนั่นเอง