ThaiPublica > คอลัมน์ > อินเดีย–สังคมยุคใหม่หรือนิยมจารีต?

อินเดีย–สังคมยุคใหม่หรือนิยมจารีต?

4 มีนาคม 2022


ดร.นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/India#/media/File:Aks_The_Reflection_Taj_Mahal.jpg

มีสองประเทศในโลกที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและจารีตประเพณีซึ่งยาวนานกว่า 2000 ปีติดต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ จีนและอินเดีย แต่ภาพที่ฉายออกมาของอินเดียมีความย้อนแย้งกันยิ่งกว่าจีนและทุกประเทศในโลก

ในขณะที่จีนได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ระบบการบริหารงานภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้ขจัดความยากจนออกไปจากประเทศอย่างเด็ดขาด จีนได้พัฒนาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีโรงงานอุตสาหกรรมหนัก โรงงานยา อู่ต่อเรือ โรงงานไฟฟ้าปรมาณู กลายเป็น “โรงงานของโลก” ทุกอย่างที่ประเทศทางตะวันตกสามารถรังสรรค์ได้ จีนสร้างได้ทุกอย่าง จีนไม่มีวรรณะไม่มีศาสนาประจำชาติ คนจีนมีความเป็นรักชาติและภาคภูมิในความยิ่งใหญ่และอารยธรรมของตน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากถึง 1.4 พันล้านคน ซึ่งมากที่สุดในโลก เป็นประเทศสังคมนิยมที่ใหญ่ที่สุด ปกครองด้วยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว

ในทางตรงกันข้าม อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก คือ 1.3 พันล้าน และยังเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก แต่ในขณะเดียวกัน อินเดียเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนมากที่สุดในโลกเช่นกัน แม้รัฐธรรมนูญในประเทศได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ประชาชนของประเทศมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่มีระบบวรรณะ ไม่มีศาสนาประจำชาติ แต่กระนั้น อินเดียมีความแตกต่างระหว่าง “ภาคทฤษฎี” และ “ภาคปฏิบัติ” มาตลอดทั้งสังคม

สิ่งที่สร้างความงุนงงให้ชาวโลกอย่างมากคือ การจัดสรรงบประมาณแผ่นดินของอินเดียสำหรับปี 2022 ที่เพิ่งเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ เป็นการจัดงบประมาณแผ่นดินที่มีความทันสมัยอย่างมาก มีทัศนคติที่เฉียบคมมองไปสู่โลกอนาคตครอบคลุมมิติในการบริหารงานแผ่นดินถึง 10 มิติ ซึ่งประกาศต่อสภาผู้แทนราษฎรของอินเดีย “โลกสภา” โดย นางนิรมล สิทธรามัน (Niramala Sitharaman) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง อันแสดงถึงวิธีคิดที่เป็น รัฐสมัยใหม่เพื่อส่งเสริมการสร้างงาน และอัดฉีดระบบเศรษฐกิจของชาติอย่างชัดเจน แม้รัฐบาลกลางของประเทศมหาอำนาจในยุโรปและสหรัฐอเมริกายังคิดไปไม่ถึงขนาดนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังของอินเดียคาดการณ์ว่าประเทศจะมีรายได้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตถึง 9.2 % ถือว่าสูงมากในอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ประเทศยังมีอัตราการแพร่ระบาดของ COVID-19 สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

ระบบการคิดตัดงบประมาณนี้แสดงถึงแนวคิดว่า รัฐบาลอินเดียได้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจแบบที่เรียกได้ว่า “ผ่าตัดใหญ่” มาแล้ว เป็นการจัดงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การแก้ไขปัญหาโลกร้อน การสร้างแรงงานใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดใหญ่ ดังเห็นได้จากที่ รัฐบาลอินเดีย “ไม่มีการห้าม” ทรัพย์สินดิจิทัล หรือเงินคริปโททุกตระกูลไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum, Ripple, Cardano, Stellar หรือตระกูลใดทั้งสิ้น นอกจากจะไม่ห้ามแล้วยังจะเก็บภาษีเงินเหล่านี้อีกในอัตราสูงถึง 30% ซึ่งจะคิดภาษีทุกครั้งที่มีการถ่ายโอนเปลี่ยนมือเงินคริปโทหรือมีรายได้จากการซื้อขายทรัพย์สินทุกอย่างอันเกิดขึ้นจากบล็อกเชนนี้

แม้ประเด็นนี้ได้สร้างความประหลาดใจแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก นี่ถือได้ว่าเป็นนโยบายตรงกันข้ามกับที่รัฐเคยประกาศห้ามไว้ยังไม่ถึงปี ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกลางของรัฐบาลอินเดียจะออกเงินคริปโทตระกูล “รูปี” ของตนเองในปีนี้ และอย่างช้าไม่เกินปีหน้า

เป็นการสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ซึ่งจะล้ำหน้าสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ ท่านรัฐมนตรีคลังยังได้ประกาศอีกว่า นโยบายดังกล่าวนี้จะทำให้รัฐใช้งบประมาณน้อยลงในการบริหารการเงินการคลังของประเทศและเพิ่มความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีเพียง 9 ประเทศเท่านั้นที่ธนาคารกลางผลิตเงินคริปโทเป็นของตนเอง

นอกจากนั้น รัฐบาลอินเดียยังให้คงอัตราการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่เดิมแต่เพิ่มแนวทางการแจ้งภาษีผ่านทางระบบออนไลน์ซึ่งให้ความยืดหยุ่นสูงถึง 2 ปี นั่นหมายความว่า หากมีการกรอกตัวเลขที่ผิดพลาด ประชาชนยังสามารถแก้ไขใหม่ได้ในระยะเวลา 2 ปี

รัฐบาลให้งบประมาณการปรับปรุงซ่อมแซม และก่อสร้างถนนหนทาง ทางรถไฟ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน คลังสินค้า นั่นคือระบบคมนาคมของชาติทั้งหมดเป็นเงินถึง 2000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อกระตุ้นการจ้างแรงงานใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งให้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งทางรัฐวางแผนว่า ในระยะเวลา 3 ปีจะสร้างทางด่วนระหว่างรัฐขนาดใหญ่ สร้างรถไฟเพิ่มขึ้นเองอีก 400 ขบวน สร้างสถานีสำหรับรับสิ่งสินค้าอย่างเดียวขึ้นใหม่ถึง 100 แห่ง โดยรวมเป็นการเพิ่มงบประมาณการคมนาคม 35% จากงบประมาณในปี 2021 หรือสองเท่าของงบประมาณประเภทเดียวกันก่อนการระบาดใหญ่ของ COVID-19

ส่วนงบประมาณของกระทรวงกลาโหมมีจำนวนถึง 54.2 พันล้านเหรียญ คือ เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว 6 พันล้านเหรียญ เพื่อการซื้อเรือบรรรทุกเครื่องบินใหม่หนึ่งลำ เพิ่มงบประมาณให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำงานวิจัยและพัฒนาระบบยุทโธปกรณ์ของชาติกับกระทรวงอีกด้วย

สิ่งที่แปลกใหม่สำหรับการบริการประชาชนคือ อินเดียจะผลิต e-Passport หรือ หนังสือเดินทางอัจฉริยะ ซึ่งแตกต่างจากหนังสือเดินทางที่เคยมีมา คือ ด้านปกหลังของหนังสือเดินทางนี้จะมี “ไมโครชิป” ซึ่งให้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนแต่ละคนที่ละเอียดชัดเจนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะข้อมูลประวัติการเดินทาง 100 ครั้ง เท่าที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียได้มีโครงการนำร่องให้หนังสือเดินทางอัจฉริยะนี้แก่ข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองมาแล้ว ส่วนในปีนี้จะให้แก่ประชาชนทุกคน

รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะใช้ระบบ 5G ทั้งประเทศโดยจะมีการประกาศให้มีการประมูลระบบ 5G ไปสู่ทุกหมู่บ้านในปีนี้ และอินเดียวางแผนจะเป็นฮับของการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ของระบบ 5G ของทั้งโลก

ต่อมาคือการส่งเสริมการศึกษาระบบดิจิทัล (Digital Education) โดยการสร้างมหาวิทยาลัยดิจิทัล ซึ่งจะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าระดับโลก ซึ่งจะสอนชุดวิชาใหม่ๆ ที่เรียกว่า “อี-วิทยา” (e-Vidya) แก่นักเรียนและนักศึกษา โดยรัฐบาลอินเดียจะเปิดสถานีโทรทัศน์ 12 ช่องเพื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะ สถานีโทรทัศน์เหล่านี้จะแตกสาขาย่อยออกไปเป็น 200 สถานี ซึ่งจะมีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีภาษาถิ่นที่หลากหลาย

ที่สำคัญที่สุดคือมิติของ “การบริการทางสุขภาพจิต” อันเป็นความจำเป็นอันเกิดจากการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID-19 ซึ่งส่งผลให้ประชากรอินเดียในทุกเพศทุกวัยเกิดความเครียด แต่รัฐจะจัดการบริหารโดยใช้การให้การลงทะเบียน และการบริหารจิตบำบัดผ่านระบบออนไลน์ทางไกลระดับชาติ (National Mental Health Telemedicine) ซึ่งจะมีการบริหารจัดการอยู่ในเมืองเบงคลูรู (บังกาลอร์) และให้บริการ 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดอีกด้วย

นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน เมียนมา บังคกาเทศ เนปาล ศรีลังกา มัลดีฟ เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการมองประเทศเพื่อนบ้านด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง

กระนั้นก็ตาม ภาพของความเป็นสังคมสมัยใหม่ของอินเดียนั้นย้อนแย้งอย่างมากกับเหตุการณ์อีกมากมายที่เกิดขึ้นในปี 2021 นี้เอง เช่น เทศกาล “มหากุมภ์” (ซึ่งเกิดขึ้นทุก 12 ปี) ชาวอินเดียหลายล้านคนจากทุกส่วนของประเทศเบียดเสียดกันลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อว่า น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์นี้จะชำระบาปกรรมต่างๆ และนำโชคนำชัยมาสู่ตนได้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบาดวิทยา ทำให้เกิดกลุ่มก้อนของชาวอินเดียที่ติด COVID-19 จนยากแก่การควบคุม โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมหรือดำเนินคดีกับชาวฮินดูเหล่านี้เลย

รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของพรรคภารติยา ชันตา หรือ บีเจพี (Bharatiya Janta Party: BJP) ของนายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ถูกโจมตีอย่างรุนแรง เพราะนอกจากจะมิได้ห้ามปรามประชาชนแต่ประการใดยังส่งเสริมประชาชนให้เข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากจุดขายของพรรคการเมืองพรรคนี้คือเพื่อส่งเสริมศาสนาฮินดูซึ่งมีประชากรถึง 1,210,854,977 คน หรือ 79.8% ของประชากรชาวอินเดียทั้งประเทศ

ในขณะที่อินเดียมีมุสลิมอยู่ 213 ล้านคนหรือ 14.2% ของชาวอินเดียทั้งหมด ในเมื่ออิสลามเป็นศาสนาของคนส่วนน้อย กฎหมายหลายฉบับจึงออกมาเพื่อประโยชน์แก่ชาวฮินดู จนเกิดการประท้วงที่ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง แม้ว่ารัฐธรรมนูญของอินเดียระบุว่าไม่มีศาสนาประจำชาติ และให้สิทธิแก่ประชาชนทุกคนในการปฏิบัติตามจารีตประเพณีของตนได้ เป็นต้นว่า ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลของรัฐเกราลา (Kerala) ได้ออกประกาศห้ามนักเรียนหญิงสวมใส่ผ้าคลุมผม (ฮิญาบ) เข้าไปในโรงเรียน นักเรียนหญิงชาวมุสลิมนับหมื่นออกมาประท้วงว่า ที่เคยปฏิบัติกันมาคือสรวมผ้าคลุมผมได้มาตลอด แล้วทำไมจู่ๆ รัฐบาลจึงประกาศออกกฎหมายห้าม ฝ่ายรัฐก็อธิบายว่าไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกในโรงเรียนและสถานศึกษา

ตั้งแต่พรรคภารติยา ชันตา ขึ้นมาบริหารประเทศ กฎหมายปกป้องสวัสดิภาพของวัวเพิ่มโทษการทำร้ายวัวหรือการฆ่าวัวอย่างมากเพราะถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพาหนะของพระศิวะ วัวเดินเพ่นพ่านไปตามถนนหรือเข้าไปกินผักผลไม้ในตลาดโดยไม่มีใครว่าอะไร ในประเทศอินเดียรัฐต่างๆ มีกฎหมายคุ้มครองวัวที่มีอัตราการลงโทษแตกต่างกันไป ตั้งแต่จำคุก 5 ปี ถึงตลอดชีวิต ชาวฮินดูนับถือ “วัว” ราวกับแม่ของตน เพราะพระศิวะมีโคนันทะเป็นพาหนะ ชาวฮินดูเคร่งศาสนาออกตระเวนยามค่ำคืนเพื่อค้นหาการขนส่งวัว เนื้อวัว หรือแม้แต่บริโภคเนื้อวัว ซึ่งถือได้ว่ามีความผิด เมื่อจับได้ก็จะตั้งศาลเตี้ยตัดสินลงโทษ ทำร้ายร่างกายเฆี่ยนตีหรือจุดไฟเผาทั้งเป็น จนทำให้โรงฆ่าสัตว์ซึ่งเกือบทั้งหมดมีเจ้าของเป็นชาวมุสลิมต้องปิดตัวลงไปเกือบทั่วประเทศ

ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/India#/media/

ชาวฮินดูเคร่งจารีตเหล่านี้มีแนวคิดว่า อินเดียเป็นของคนที่นับถือศาสนาฮินดูเท่านั้น และเอาลัทธิชาตินิยมบวกกับศาสนา จนถึงกับมีการฝึกกองกำลัง “ฮินดู” แก่คนรุ่นใหม่ และพยายามถึงขนาดที่จะแก้ไขหนังสือประวัติศาสตร์เสียใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ภูมิใจในชาติและศาสนาฮินดูของตน โดยที่ถือว่ามุสลิมคือผู้รุกราน

ในขณะเดียวกัน คดีความอันเนื่องมาด้วยความขัดแย้งทางศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีคนนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ เกิดคดีแปลกๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น เมื่อพนักงานรีดนมวัวในโรงงานผลิตน้ำนมแห่งหนึ่งถูกจับได้ว่าเขาเป็นคนวรรณะศูทร (ดาลิต) ถูกเพื่อนร่วมงานสามคนรุมทำร้าย เอาน้ำมันราด แล้วใช้ไฟจุดจนเสียชีวิต คดีไม่คืบ ปัจจุบันยังจับคนร้ายไม่ได้ และเช่นเดียวกัน เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งถูกทำร้ายจนเสียชีวิตเพราะเขาเป็นเจ้าของม้า เพราะเขาเป็นคนวรรณะศูทร ก็เหมือนกับคดีก่อนคือไม่คืบหน้าและยังจับคนร้ายไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเอาหูไปนาตาไปไร่เสียหมดเพราะอิทธิพลของกฎหมายพระธรรมศาสตร์

แม้ว่าในรัฐธรรมนูญของอินเดียได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าประชาชนทุกคนไม่มีวรรณะอีกต่อไป การเลือกปฏิบัติโดยการแบ่งวรรณะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่นั่นเป็นทฤษฎีวัฒนธรรมอินเดียแยกภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติออกจากกันอย่างเด็ดขาด ทำให้เป็นประเทศที่มีสองมาตรฐานมาตลอด แม้มีความพยายามที่จะแก้ไขแต่ไม่มีผู้นำคนใดประสบความสำเร็จเลย

แม้ว่าอินเดียมีการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโรงงานไฟฟ้าปรมาณูของตนเอง สามารถสร้างระเบิดปรมาณู มีอุตสาหกรรมทางอวกาศ สามารถส่งยานอวกาศไปร่อนลงบนดวงจันทร์ได้ มีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจไม่แพ้ชาติใดๆ มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก แต่กระนั้น อินเดียยังคงเป็นประเทศที่เคร่งจารีตตามศาสนาฮินดู มีระบบวรรณะการแบ่งชนชั้นอันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศและลดความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ยุคพุทธกาล ศาสดามหาวีระของศาสนาเชน เรื่อยมาจนถึงยุคที่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แม้ในสมัยมหาตมะคานธี ระบบวรรณะยังไม่เคยหมดไป แม้มหาตมะคานธีเองมาถูกสังหารก็เพราะเรียกชนวรรณะศูทรว่า “หริชน” หรือ ชนของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้ชาวฮินดูหัวรุนแรงยอมรับไม่ได้ แม้ว่าคานธีเองได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของประเทศอินเดีย” ก็ตาม แต่ความรุนแรงของความเชื่อทางศาสนาทำให้เกิดการประหัตประหารกันในประเทศอินเดียนับครั้งไม่ถ้วน

ปัญหาที่ถามว่า “อินเดียเป็นสังคมยุคใหม่หรือจารีตนิยม?” ยังคงอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน แม้แนวคิดในการจัดสรรงบประมาณแบบล้ำยุคของรัฐบาลชุดนี้ก็ตาม!!!