ThaiPublica > คอลัมน์ > นเรทระ โมที – รัฐบุรุษผู้มาเหนือเมฆ

นเรทระ โมที – รัฐบุรุษผู้มาเหนือเมฆ

28 กรกฎาคม 2022


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

นายนเรนทระ ทาโมทรทาส โมที (Narendra Damodardas Modi) นายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

ในบรรดาผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในโลกปัจจุบันนี้คือนายนเรนทรา ดาโมดาร์ดาส โมที (Narendra Damodardas Modi) นายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย ประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นหัวหน้าพรรคภารตียชนตา หรือ Bharatiya Janata Party (BJP) พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียและใหญ่ที่สุดของโลกในขณะนี้

เป็นที่ทราบกันว่าทวิตเตอร์ของนายโมทีนั้นมีผู้ติดตามมากที่สุดในโลกอีกด้วย โมทีเป็นผู้นำคนแรกของอินเดียที่นำศาสนาและความรักชาติมาผนวกกัน ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญของอินเดียนั้นระบุอย่างชัดเจนว่าอินเดียเป็นประเทศที่ไม่มีศาสนาประจำชาติ (secular state) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ สังคมอินเดียในยุคก่อนโมทีและหลังโมทีแตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และความคิดของคนในชาติ และเป็นสิ่งที่ยากที่จะหาผู้นำประเทศที่มีความเด็ดขาดในการใช้อำนาจ การออกกฎหมาย และมีบารมีที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้านเช่นในขณะนี้ ประวัติศาสตร์อินเดียยุคใหม่จะจดจำผู้นำอินเดียท่านนี้ไปอีกนานแสนนานและเช่นเดียวกับผู้นำทุกคน เขามีทั้งคนรักและคนเกลียด โมทีเป็นคนหนึ่งที่มีทั้งคนรักและคนชังทั้งประเทศอย่างละหลายร้อยล้านคนและมากยิ่งขึ้นทุกขณะ

การเติบโตของรัฐบุรุษท่านนี้เป็นสิ่งที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จากเด็กชายครอบครัวยากจนวรรณะต่ำสุดที่วิ่งขายกาแฟบนชานชาลาในสถานีรถไฟขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

นเรนทระ ทาโมทรทาส โมที เกิดวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2493 ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวยากจน อยู่ในวรรณะศูทรหรือดะลิต ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำที่สุดในสี่วรรณะของอินเดีย พ่อของเขาเป็นเจ้าของร้านน้ำชาเล็กๆ ในสถานีรถไฟ ในเมืองวัดนคร (Vadnagar) เขตเมห์สนะ (Mehsana) รัฐคุชราต ทางภาคตะวันตกสุดของประเทศอินเดีย เขาเป็นลูกคนที่สามในจำนวนทั้งหมดหกคนที่เกิดจากนายทาโมทรทาสส มุลจันท์ โมที (Damodardas Mulchand Modi) และนางหิราเบน โมที (Hiraben Modi)

โมทีพูดถึงภูมิหลังครอบครัวของเขาไม่บ่อยนักในช่วง 13 ปีแรกในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐคุชราต ในช่วงใกล้ถึงการเลือกตั้งระดับชาติปี พ.ศ. 2557 เขาเริ่มให้ความสนใจกับต้นกำเนิดทางสังคมระดับต่ำของเขาเป็นประจำและต้องทำงานเป็นเด็กในร้านน้ำชาของบิดาบนชานชาลาสถานีรถไฟเมืองวัดนคร โมทีสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเมืองวัดนครในปี พ.ศ. 2510 โดยครูอธิบายว่าเขาเป็นนักเรียนทั่วไปและเป็นนักโต้วาทีที่มีพรสวรรค์ โดยมีความสนใจในโรงละคร โมทีชอบเล่นเป็นตัวละครที่ใหญ่กว่าชีวิตในการผลิตละครซึ่งมีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขา

เมื่ออายุได้แปดขวบเด็กชายโมทีได้รับการแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงชื่อราษฏรียสวยัมเสวกสังฆ์ (Rashtriya Swayamsevak Sangh) ซึ่งมักรู้จักกันในนามของ RSS (กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ส่งมือปืนไปสังหารมหาตมา คานธี) โดยเด็กชายโมทีได้เติบกล้ามากขึ้นในกลุ่มและเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มนี้มากขึ้นในท้องถิ่น (การฝึกอบรม) ต่อมาโมทีได้พบกับนายลักษมันเรา อินัมดัร (Lakshmanrao Inamdar) ซึ่งแต่งตั้งให้เขาเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเยาว์ ใน RSS และกลายเป็นดาวรุ่ง และได้รับการชื่นชมจากผู้ใหญ่ใน RSS เขายังได้พบกับคนสำคัญของกลุ่มนี้อีกหลายคน เช่น นายวสันต์ คเชนดาคันธกะร์ (Vasant Gajendragadkar) และนัถลัล ชะฆัท (Nathalal Jaghda) ผู้นำกลุ่มภารตียชนสังฆ์ (Bharatiya Jana Sangh) แต่ละคนเป็นฮินดูเคร่งครัดและรักชาติอย่างสุดโต่ง และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสาขาในรัฐคุชราชของพรรค BJP ในปี พ.ศ. 2523

เมื่ออายุได้ 15 ปีครอบครัวของเขาได้จัดให้เขาหมั้นหมายกับหญิงสาวที่คนหนึ่งชื่อชโสทาเพน จิมันลาล (Jashodaben Chimanlal) และเมื่อเธออายุ 17 ปี และเขาอายุ 18 ปีจึงได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นไม่นาน เขาทิ้งภรรยาออกจากบ้านไปเลยแต่ไม่เคยหย่าขาดกับนาง เขาเดินทางไปอยู่กับฤษีที่อาศรมแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยถึง 2 ปี เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้ค้นพบ “ตนเอง”

โมทีใช้เวลาสองปีในช่วงนั้นเองเดินทางข้ามภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเข้าปเรียนกับพระฮินดูในนิกายอัตไวตะเวทานตะในหลายอาศรม เช่น อาศรมของสวามี วิเวกนันทะ (Swami Vivekananda) ใกล้เมืองกัลกัตตา ตามด้วยอัตไวตะ อาศณม (Advaita Ashrama) ในเมืองอัลโมรา (Almora) และ Ramakrishna Mission ในราชโกฐ (Rajkot) ประสบการณ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของโมทีอย่างมาก

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

สำหรับโมทีศาสนากับการเมืองคือเรื่องเดียวกันและแบ่งแยกกันไม่ได้ และอินเดียคือประเทศที่สำคัญที่สุดเป็นทั้งศูนย์กลางของโลกและศูนย์กลางของเอกภพด้วย การขับเคลื่อนทางการเมืองของโมทีจึงเต็มไปด้วยพละกำลัง การปราศรัยของเขาแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความดุดัน ปลุกเร้าชาวฮินดูให้รักษาชาติ รักศาสนา ภูมิใจในชาติและศาสนา และให้ชาวอินเดียลุกขึ้นมาปกป้องทั้งชาติและศาสนาของตนสร้างชาติและศาสนาให้เจริญศิวิไล

เมื่ออายุได้ 20 ปี พ.ศ. 2513 โมทีกลับไปยังเมืองวัทนคร์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนญาติ ก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งไปยังเมืองอห์เมดาบัด (Ahmedabad) ที่นั่นเอง โมทีอาศัยอยู่กับลุงของเขา และเข้าทำงานในโรงอาหารของบริษัทบริหารสถานีรถไฟของรัฐคุชราช

กระนั้นโมทีไม่เคยว่างเว้นจากกิจกรรมการเมืองเลย เขาได้รับความเอ็นดูจากผู้หลักผู้ใหญ่ของกลุ่ม RSS มาตลอดและมีส่วนในการประท้วงทางการเมืองหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. 2514 อินเดียเข้าร่วมในสงครามปลดปล่อยปากีสถานตะวันตกให้พ้นจากการปกครองอันไม่เป็นธรรมของปากีสถานตะวันออก ในครั้งนั้นนางอินทิรา คานธี ไม่ต้องการให้อินเดียสนับสนุนความขัดแย้งนี้อย่างเปิดเผย เพราะสวนทางกับนโยบายของอักฤษและสหรัฐอเมริกา โมที ถูกจำคุกเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในครั้งนั้น หลังจากสงครามอินโด-ปากีสถานในปี พ.ศ. 2514 โมทีเลิกทำงานให้กับอาของเขาและกลายเป็นโฆษกประจำ RSS เต็มเวลา ทำงานภายใต้คำสั่งของนายอินัมดาร์ (Inamdar) ไม่นานก่อนสงคราม โมทีร่วมในการประท้วงอย่างสันติต่อรัฐบาลอินเดียในนิวเดลี ซึ่งทำให้เขาถูกจับกุม เหตุการณ์นี้ได้รับการอ้างถึงเป็นเหตุผลสำหรับนายอินัมดาร์ ที่เลือกเขาเป็นที่ปรึกษา

ส่วนทางการศึกษานั้นโมทีมิได้ทอดทิ้ง ในปี พ.ศ. 2521 โมที ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตสาขารัฐศาสตร์จาก School of Open Learning (SOL) ที่มหาวิทยาลัยเดลี สำเร็จการศึกษาระดับสาม ห้าปีต่อมาในปี พ.ศ. 2526 เขาได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต

ในปี พ.ศ. 2528 RSS มอบตำแหน่งให้เขาเป็นสมาชิกและโมทีได้ดำรงตำแหน่งอีกหลายตำแหน่งในลำดับชั้นของพรรคจนถึงปี 2544 ขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป โมทีได้รับการแต่งตั้งเป็นมุขมนตรีแห่งรัฐคุชราต ในปีพ.ศ. 2544 นี้เอง ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญ คือ โบกี้รถไฟที่บรรทุกผู้แสวงบุญฮินดูเกือบ 60 คน ถูกผู้ก่อการร้ายเผาวอด ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยในจำนวนนั้นมีสตรีและเด็กอยู่ด้วย ในฐานะมุขมนตรีโมที สั่งให้นำศพของผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นออกมาวางให้นักข่าวทำเป็นข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก ข่าวนี้สร้างความเกลียดชังชาวมุสลิมในอินเดียที่นับถือฮินดูในรัฐคุชราตอย่างมากในทันที และไม่นานหลังจากนั้นเกิดจลาจลครั้งใหญ่ในรัฐคุชราตจากการปะทะกันของชาวฮินดูกับมุสลิมในปี 2545 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,044 คน โดยสามในสี่ของผู้เสียชีวิตเป็นมุสลิม

สาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมากถึงขนาดนี้เพราะนายโมที เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐคุชราต มาสั่งห้ามเข้าไปยุ่งกับการจลาจลครั้งนี้อย่างเด็ดขาดยังผลให้ชาวอินเดียจากสองความเชื่อฆ่าแกงกันเป็นผักเป็นปลาโดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำอะไรเลย เมื่อข่าวนี้แพร่ไปทั่วโลก รัฐบาลของอังกฤษและอเมริกาประกาศขึ้นบัญชีดำนายนเรนทระ โมที ห้ามเดินทางเข้าประเทศในทันที แต่ผลกลับกันเกิดขึ้นในหมู่ชาวฮินดูซึ่งเห็นว่า “โมทีคือวีรบุรุษของชาวฮินดูผู้รักชาติ” และเป็นเหตุที่ทำให้เขาได้รับเลือกขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค BJP และในที่สุดโมทีได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของอินเดียในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ในวัย 63 ปี ด้วยคะแนนอย่างถล่มทลาย

เป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า สื่อมวลชนเกือบทุกสำนักไม่เห็นด้วยกับการเลือกนายโมทีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลย แต่นายโมทีฉลาดพอที่จะใช้สื่อออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ และในทุกช่องทาง มีการสร้างการ์ตูนแอนนิเมชั่น ในเรื่องโมทีเป็นซุปเปอร์แมน ที่ปราบเหล่าอธรรมอริราชศัตรูทั้งหลายอย่างหมดสิ้น จนทำให้ชาวอินเดียทั่วประเทศอยู่เย็นเป็นสุขก้าวสู่ความเป็นอาระยะ การแข่งขันในสนามเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดของโมที เศรษฐีนักธุรกิจชาวภารตะจำนวนมากลงขันกันสนับสนุนโมที และเขาก็ชนะอย่างราบคาบ สวนทางกับกระแสข่าวอันไม่เป็นมงคล ซึ่งสื่อมวลชนเกือบทุกสำนักประสานเสียงกันออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

ภาพลักษณ์ที่โมทีสร้างขึ้นมาภาพแรกคือ ผู้นำแห่งสันติภาพ โดยเขาจัดใหม่มีกิจกรรมวันโยคะโลก “World Yoga Day” ในวันที่ 21 มิถุนายน ของทุกปี เป็นกิจกรรมที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ และมีการออกอากาศไปทั่วโลกพร้อมกันจากเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนิวเดลี นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มอสโคว หรือแม้แต่กรุงเทพมหานคร (บริเวณสนามหญ้าหน้าเสาธงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) โดยโมที นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าสุดของทุกคน เป็นกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมนับล้าน ยิ่งไปกว่านั้นโมทียังมีช่วงเวลาที่ “ปลีกวิเวก” เข้าบำเพ็ญพรต นั่งสมาธิในถ้ำแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยเป็นประจำทุกปีๆ ละหลายวัน

เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านนี้เป็นชาวฮินดูที่เคร่งครัด กินอาหารมังสะวิรัติ เว้นขาดจากสุรายาเมาทั้งปวง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในทันทีคือทั้งอังกฤษและอเมริกาที่ขึ้นบัญชีดำโมทีไว้ พร้อมใจกันถอดชื่อของเขาออกจากบัญชีดำ และยังเชื้อเชิญให้เป็นอาคันตุกะมาเยือนผู้นำของตนอย่างเป็นทางการอีกด้วย

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ฝ่ายบริหารของโมที ได้พยายามเพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเศรษฐกิจอินเดีย และลดการใช้จ่ายในโครงการดูแลสุขภาพและสวัสดิการสังคม โมทีพยายามปรับปรุงประสิทธิภาพในระบบราชการ เขามีอำนาจรวมศูนย์โดยยุบคณะกรรมการการวางแผน เขาเริ่มการรณรงค์ด้านสุขอนามัยที่มีชื่อเสียง ก่อให้เกิดการโต้เถียงอย่างขัดแย้งกับการทำลายธนบัตรที่มีชื่อสูง และการเปลี่ยนแปลงระบอบการเก็บภาษี และทำให้กฎหมายสิ่งแวดล้อมและแรงงานลดลงหรือยกเลิก ภายใต้การปกครองของโมทีอินเดียประสบกับความล้าหลังในระบอบประชาธิปไตย

หลังจากชัยชนะของพรรคในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2562 ฝ่ายบริหารของเขาได้เพิกถอนสถานะพิเศษของแคว้นชัมมูและแคชเมียร์ ทหารอินเดียเข้าไปยึดครองดินแดนของแคว้นทั้งสอง อาศัยเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างผู้ก่อการร้ายมุสลิมซึ่งสังหารหมู่บัณฑิตแห่งแคชเมียร์อย่างทารุณ โมทีสั่งให้ทหารเคลื่อนเข้ายึดสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ในดินแดนทั้งสอง ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และประกาศเคอร์ฟิวในทั้งสองแคว้น

ยิ่งไปกว่านั้นโมทีนำเสนอพระราชบัญญัติแก้ไขความเป็นพลเมืองที่ให้สิทธิพิเศษกับประชากรที่ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ แต่ต้องระบุชัดเจนว่าไม่นับถือศาสนาอิสลาม และกฎหมายฟาร์มที่เพิ่มอำนาจแก่นายทุนซึ่งทำให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

นักวิจารณ์ได้วิเคราะห์ว่าโมทีกำลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเมืองฝ่ายขวาจัดคลั่งศาสนา โมทียังคงยกร่างกฎหมายอีกหลายฉบับที่ทำให้เกิดการโต้เถียงในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับความเชื่อชาตินิยมในศาสนาฮินดูของเขา กฎหมายหลายฉบับที่เขายกร่างเป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอย่างชัดแจ้ง จนทำให้โรงฆ่าสัตว์ที่มีชาวมุสลิมเป็นเจ้าของต้องปิดตัวเองไปเกือบหมดประเทศ ชาวมุสลิมในกรุงเดลีถูกหมายศาลไล่ที่ จนทำให้ต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่นำรถแป็กโฮลเข้ารื้อถอนจนเป็นข่าวไปทั่วโลก

โมทีสั่งให้มีการร่างหลักสูตรประวัติศาสตร์ในโรงเรียนใหม่ทั้งหมด ให้ชาวอินเดียเห็นว่า “มุสลิมคือผู้รุกราน” เข้ามาทำลายศาสนาและวัฒนธรรมของชาติ แม้ตัวเขาเองเดินทางไปวางศิลาฤกษ์วัดฮินดูในเมืองอโยธยา ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นสุเหร่าที่อายุหลายร้อยไป แต่สร้างบนที่ดินที่เชื่อกันว่าเป็นที่ประสูติของพระราม และถูกม๊อบชาวฮินดูบุกเข้าไปเผาทำลายเป็นหน้ากลอง

อุณหภูมิของความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูกับมุสลิมเพิ่มขึ้นทุกขณะ เพราะอินเดียคือประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากถึง 204 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอินโดนิเซีย ความขัดแย้งเหล่านี้ปะทุขึ้นมาทุกครั้งเมื่อมีการเคลื่อนไหวทางการออกกฎหมายใหม่ๆ ที่กีดกันทางศาสนา

ความสำเร็จอย่างน่าทึ่งของโมที คือ การสานความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับ “พิเศษ” กับอิสราเอลซึ่งเป็นการย้อนแย้งกับกระบวนการ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” (Non-Aligned Movement) ซึ่งอินเดียเป็นผู้นำมาตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมาในยุคสงครามเย็น ไม่เคยมีผู้นำอินเดียคนใดเดินทางไปอิสราเอลเลย เพราะเหตุว่าจะทำให้ประเทศในกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามไม่พอใจ และโมทีให้ความสนใจเป็นพิเศษกับอิสราเอลเพราะเป็นประเทศเดียวในโลกที่อยู่ท่ามกลางศัตรูแต่สามารถอยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความสามารถนี้เป็นสิ่งที่โมที และผู้ใหญ่ทั้งหลายของ RSS ให้ความสำคัญมาก และอยากเรียนรู้เคล็ดลับและวิธีการที่จะนำมาใช้ในการบริหารบ้านเมืองต่อไป และโมทีมีความเชื่อมั่นว่าอินเดียยังคงสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างดีกับประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางได้ทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นปาเลสไตน์ ซาอุดิอาระเบีย อัฟกานิสถาน อิรัก หรืออิหร่าน ซึ่งปรากฏว่าเป็นไปดังคาดของโมที

แม้มีข่าวสำนักต่างๆ แพร่ไปทั่วโลกว่าโมทีได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายเน็ตทัน ยาฮู นายกรัฐมนตรีสายเหยี่ยวของอิสราแอล กระแสข่าวเหล่านี้ไม่สะเทือนความสำพันธ์กับโลกมุสลิมเลยแม้แต่น้อย

ความเจริญก้าวหน้าของจีนเป็นสิ่งที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงแก่โลกตะวันตกอย่างมาก จีนได้กลายมาเป็นคู่แข่งทางการค้า เทคโนโลยี และทางการทหารกับโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ความน่ากลัวนี้นับวันแต่จะเพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ความสำคัญของอินเดียยิ่งมีมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากที่อินเดียมีพรมแดนติดกับจีน อินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเชื่อกันว่าประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีนในเวลาไม่นาน อินเดียยังมีจรวดหัวรบปรมาณูซึ่งสามารถยิงถล่มเมืองใหญ่น้อยในจีนได้อย่างสบายอีกด้วย

ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอินเดียนั้นเป็นที่ประจักษ์โดยเฉพาะบริเวณพรมแดนในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งทั้งสองประเทศยังตกลงกันไม่ได้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน ทหารจีนและอินเดียเกิดการปะทะกันหลายครั้งประปราย แม้จะไม่มีการใช้อาวุธปืน ทั้งสองประเทศได้ระดมกำลังทหารประจันหน้ากันหลายกองพัน จีนยังระดมกำลังสร้างสะพานยุทธศาสตร์ซึ่งสามารถส่งกำลังทหารเสริมชายแดนของตนได้ทุกเวลา

อินเดียเคยสูญเสียกำลังทหารทั้งชั้นประทวนและสัญบัตรถึง 20 นาย จากการปะทะกันครั้งล่าสุด อินเดียยังไม่พอใจที่จีนสร้างท่าเรือในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ลักษณะที่ปิดล้อมอินเดีย ทำให้จีนควบคุมทุกตารางนิ้วของมหาสมุทรอินเดียไปแล้ว ท่าเรือน้ำลึกทุกแห่งที่จีนเข้าไปสร้างโดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” นั้นพร้อมให้จีนปรับเป็นท่าเรือทางยุทธนาวีได้ทันที หากจีนต้องการ

ความขัดแย้งเหล่านี้เป็น “ข่าวดียิ่ง” สำหรับสหภาพยุโรปและอเมริกา ซึ่งปรารถนาที่จะเห็นความขัดแย้งนี้บานปลายไปยิ่งกว่านี้ โมทีได้สั่งห้ามมือถือของบริษัทในจีนเข้ามาจำหน่ายในอินเดียอย่างถาวรโดยอ้างเหตุผลความมั่นคงของชาติ ซึ่งจีนเห็นว่าเป็นการกีดกันทางการค้าโดยตรง

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

สหรัฐได้รวมอินเดียเข้าไปส่วนหนึ่งของจตุรมิตร (QUAD) อันได้แก่อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายปิดกั้นจีน และโมทียังได้รับเชิญเป็นแขกพิเศษของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี เดนมาร์คและประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การเดินทางไปครั้งนี้ โมทีได้ลงนามสนธิสัญญาหลายฉบับที่เกี่ยวกับการค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลยุทธศาสตร์ การร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน และเศรษฐกิจ

ผู้นำเยอรมนีกล่าวว่า “อยากเห็นอินเดียมีบทบาทมากขึ้นในการยุติสงครามในยูเครน” เพราะเขาทราบดีว่ารัสเซียไว้วางใจอินเดียมากที่สุดและอยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้นำการเจรจาสันติภาพได้ยิ่งกว่าประเทศใดๆ ทั้งสิ้น อินเดียยังได้สิทธิพิเศษที่จะซื้อน้ำมันจากรัสเซียด้วยเงินรูปีในราคาพิเศษที่ถูกกว่าชาติอื่นๆ ถึง 27% อันทำให้อินเดียประกาศว่ามีอัตราเฟ้อเพียง 5% เท่านั้นจากความช่วยเหลือของรัสเซีย

ประธานาธิบดีมาครองของฝรั่งเศสนั้นมีแนวคิดที่แตกต่างไปจากผู้นำในประเทศยุโรป โดยที่เขามีนโยบายให้ยุโรปก้าวพ้นจาก “ร่มเงาการครอบงำของอเมริกา” และปรารถนาอย่างยิ่งที่ให้อินเดียเป็นสื่อกลางเจรจากับรัสเซีย เพื่อให้ยุติสงครามในยูเครน โดยไม่ทำให้ปูตินเสียหน้า ในขณะที่โจ ไบเดน ต้องการให้ผู้นำรัสเซีย “เสียหน้า” และล่มจมให้มากที่สุด ฝรั่งเศสจึงฝากความหวังไว้กับโมทีในเรื่องยุติสงครามในยูเครนมากที่สุด ในขณะที่โจ ไบเดน หวังพึ่งโมที ในเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือจีน คือ จะให้อินเดียกำหราบจีนให้จงได้

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

นโยบายของประเทศมหาอำนาจในอเมริกาและยุโรปนี้เองทำให้ อินเดียมีบทบาทสำคัญในเวทีโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีอินเดียคนใดๆ ก่อนหน้านี้ที่ “เนื้อหอม” ได้รับเชิญเข้าประชุมสุดยอดผู้นำในยุคใดๆ เท่านี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม QUAD หรือ BRICS หรือ สหภาพยุโรป แม้รัฐสภาอเมริกาเองเพิ่งออกกฎหมายฉบับใหม่ให้สิทธิกับอินเดียในการค้าขายกับรัสเซียอย่างเสรี ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่มีสิทธิ

ผู้นำอินเดียได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมทั้งหมด เพื่อถกและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งโลก เช่น ปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 การขาดแคลนอาหาร ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาวิกฤติในยูเครน และการขยายตัวในทิศทางต่างๆ ของจีน วิกฤตการณ์ในศรีลังกา

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/narendramodi

วิกฤติเหล่านี้ของโลกล้วนทำให้โมที ทะยาน ขึ้นสู่อำนาจและความมีชื่อเสียงอย่างที่ผู้นำอินเดียไม่เคยมีมาก่อนในทุกยุคทุกสมัย

จากการถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย ถูกขึ้นบัญชีดำจากชาติมหาอำนาจทั้งสองประเทศพร้อมๆ กัน จากการปล่อยให้ประชาชนนับพันคนต้องเสียชีวิตจากการจลาจล กลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่จะมาแก้ไขวิกฤติโลก เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนายนเรนทระ โมที ซึ่งมีนโยบาย “อินเดียต้องมาก่อนทุกชาติ” (โดยเฉพาะชาวอินเดียที่นับถือฮินดู)

ปัจจุบันอินเดียไม่ใช่ประเทศที่ยากจนอีกต่อไปแล้ว IMF ได้พยากรณ์ว่าในปี พ.ศ.2565 นี้เศรษฐกิจของอินเดียจะโตขึ้นถึง 7.4% และเป็นครั้งแรกที่อินเดียมีอัตราการเจริญเติบโตแซงหน้าจีนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตทางเกษตรหรืออุตสาหกรรม เศรษฐกิจของอินเดียกำลังเติบโตทุกภาคส่วนอย่างมานัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเพราะซื้อน้ำมันถูกจากรัสเซีย (ต่ำกว่าราคาปกติถึง 27%) เมื่ออินเดียทำเข้าพลังงานราคาถูก ปัจจัยการผลิตและการขนส่งทั่วประเทศจึงถูกตามไปด้วย และเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกแซงหน้าไทย เมียนมา และทุกประเทศ นอกจากนั้นอินเดียมีค่าครองชีพต่ำมาก ทำให้เป็นที่ดึงดูดนักลงทุนจากประเทศต่างๆ โรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ จึงผุดขึ้นผุดขึ้นทั่วประเทศ

โมทีจึงเป็นผู้นำอินเดียที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่สามารถเข้ากับทุกชาติได้ แม้ว่าแต่ละกลุ่มนั้นจะเป็นอริต่อกัน แต่เขาได้นำอินเดียแบบรัฐบุรุษผู้อยู่เหนือเมฆก็ว่าได้