ThaiPublica > คนในข่าว > “อันวาร์ อิบราฮิม” ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซียกับการเลือกตั้งครั้งหน้า

“อันวาร์ อิบราฮิม” ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซียกับการเลือกตั้งครั้งหน้า

25 กันยายน 2022


ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม หรือมักเรียกกันว่า อันวาร์ วัย 75 ปี นักการเมืองที่มีชื่อเสียงของมาเลเซีย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังช่วงและอีกหลายกระทรวง ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกพรรค UMNO (United Malays National Organisation) พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและครองเสียงข้างมากในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล Barisan Nasional ได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งจากการเชิญของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (Foreign Correspondant Club — FCCT) เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียครั้งต่อไป

ในปี 2561 อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดินทางมาเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของตัวเอง “ANWAR RETURNS…THE FINAL TWIST” ในประเทศไทย โดยได้บอกเล่าชีวิตทางการเมืองของตัวเองในแง่มุมต่างๆ ทั้งชีวิตในเรือนจำ การดำเนินคดีกับนายกฯ นาจิบ ราซัก และการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับ ดอกเตอร์ มหาเธร์ โมฮัมหมัด

อันวาร์คุ้นเคยกับเมืองไทยอย่างดี และร่วมเสวนากับ FCCT ในไทยหลายครั้ง และครั้งนี้เขาตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า มาไทยด้วยเรื่องงาน นอกจากรับเชิญมาพูดคุยที่ FCCT

โดยอันวาร์เปิดเผยว่า มีกำหนดที่จะพบกับผู้นำบางคนของไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศ รวมถึง “ภาคใต้” แต่ไม่ได้ให้ละเอียด

พื้นที่ภาคใต้ของไทย มีพรมแดนติดกับมาเลเซีย เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนมานาน

“ผมไม่ได้เป็นตัวแทนของรัฐบาล แต่ผมใส่ใจกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติและเป็นมิตร” นายอันวาร์กล่าว

  • “อันวาร์ อิบราฮิม” กับการกลับมาอีกครั้ง: “ANWAR RETURNS…THE FINAL TWIST”
  • อันวาร์ ปัจจุบันเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เริ่มด้วยการขอบคุณ FCCT ที่เชิญมาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น โดยบอกเมื่อก่อนที่สภาวะแวดล้อมในมาเลเซียไม่เอื้ออำนวยเขามักจะออกไปต่างประเทศเพื่อแสดงความคิดเห็น ทั้งไทย ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ หรือแม้แต่ในช่วงที่อยู่ในคุก บุตรสาวก็ได้รับเชิญมาร่วมเสวนา แสดงความคิดเห็น รวมทั้งความกังวลต่อสถานการณ์เมืองและสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ก็ขอขอบคุณ FCCT เช่นกัน

    อันวาร์เริ่มด้วยการพูดถึงสถานการณ์ทั่วไปว่า สถานการณ์ปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลง และหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพร้อมกัน (simultaneous) มีความซับซ้อน ผลกระทบเกิดขึ้นเร็วและพร้อมกัน ในภูมิภาคนี้เองก็ประสบกับหลายประเด็นสำคัญ ประชาธิปไตยมีความเปราะบางและอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในบางประเทศ

    “การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยจะไม่ราบรื่นและยั่งยืนหากไม่มีสถาบันที่เข้มแข็ง ซึ่งที่ผ่านมาผมเคยย้ำถึงความสำคัญในการสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน หรือองค์กรที่ดูแลประชาชนและสังคม การวางนโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปที่ผมผลักดันมาตลอดทั้งชีวิต”

    นอกจากนี้ ภูมิภาคยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ จากสงครามยูเครนรัสเซีย สถาบันก็มีการทุจริต พื้นฐานประเทศอ่อนแอ แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่แย่เท่ากับวิกฤติเศรษฐกิจการเงินปี 2540 แต่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้พื้นฐานยังมีจุดอ่อน ผู้นำทางการเมืองควรเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ว่าแรงจูงใจจากประโยชน์ส่วนบุคคล การฉวยโอกาส การใช้กฎหมาย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

    ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่มุ่งเน้นไปที่ความเป็นชาตินิยม เชื้อชาติ คนกลุ่มน้อย หรือความเชื่อทางศาสนาอย่างคลั่งไคล้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะแก้ได้ง่าย เพราะสังคมมีการศึกษามากขึ้น มีพัฒนาการดีขึ้น แต่ต้องตระหนักว่าเป็นการจัดการกับปัญหาที่ต้องมีผู้สนับสนุนหลัก และความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเชื้อชาติ ที่เห็นได้ว่ามีมากขึ้นในยุโรป หรือจากพวกขวาจัดในสหรัฐอเมริกา

    “มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เราเคยเชื่อว่าปัญหาเรื่องเชื้อชาติจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการศึกษาว่าเมื่อให้การศึกษาแล้วคนก็จะมีความคิดรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ผมก็เคยเชื่อแบบนั้น ว่าต้องให้การศึกษา แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่ ดังนั้นต้องทำให้ชัดเจนด้วยข้อมูล ความรู้ และปัญญา”

    ชี้ ดร.มหาเธร์ไม่จริงจังกับการปฏิรูป

    จากนั้นเข้าสู่คำถามที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในมาเลเซีย โดยโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีในไทย เป็นผู้นำการสนทนา ถามว่าในการเลือกตั้งครั้งก่อน เขาและดอกเตอร์ มหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้จับมือกัน ดังนั้น การเลือกทั่วไปครั้งที่ 15 ที่จะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้จะมีความร่วมมือกันอีกหรือไม่ และจะเป็นความร่วมในลักษณะไหนที่จะทำให้พรรคของเขาได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง

    อันวาร์ตอบว่า ในปี 2013 เขาและ ดร.มหาเธร์อยู่คนละฝั่ง มหาเธร์ทำงานร่วมกับนาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคเขาได้คะแนนเสียง popular vote 52% ส่วนการเลือกตั้งปี 2018 เขายังอยู่ในคุกอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แต่ได้รับการแจ้งจากพรรคร่วมว่า ดร.มหาเธร์รณรงค์เลือกตั้งแข่งกับนาจิบ ดังนั้น จึงตัดสินใจร่วมมือกับดร.มหาเธร์เพื่อเอาชนะนาจิบ โดยมีการลงนามในข้อตกลงว่า ดร.มหาเธร์จะเป็นนายกรัฐมนตรีสองปี หลังจากนั้นจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำประเทศให้อันวาร์

    อันวาร์ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในข้อหาที่รุนแรงมากในกฎหมายอิสลาม คือ คดีรักร่วมเพศ ระหว่าง 1993-1998 ต่อมาในปี 1999 ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตต้องจำคุก 6 ปี และได้พ้นโทษใน 2004 ในช่วงปี 2013 ได้ลงแข่งขันการเลือกตั้งกับนายนาจิบที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ ดร.มหาเธร์ หลังจากนั้นได้ถูกดำเนินคดีจำคุกในข้อหารักร่วมเพศอีกครั้งเป็นเวลา 5 ปี ใน 2015 และได้รับพระราชทานอภัยโทษจากประมุขของรัฐเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2018 หลังผ่านการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2018 และรอเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดย ดร.มหาเธร์

    “ในปี 2013 ที่มหาธีร์จับมือกับนาจิบเพื่อแข่งกับเรา พรรคเราได้คะแนน popular vote ถึง 52% แต่ไม่ได้ที่นั่งมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่ในปี 2018 เราได้ทั้งคะแนน popular vote ที่สูงและได้ที่นั่งมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล”

    การเลือกตั้งในปี 2018 เป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรครัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional — BN) นำโดยนายนาจิบ ราซัก กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน (Pakatan Harapan) โดยมีความหมายในภาษาอังกฤษ คือ Alliance of Hope

    การร่วมมือกับพันธมิตรที่นำโดย ดร.มหาเธร์ในขณะนั้นสร้างชัยชนะครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งปีนั้นเพราะประชาชนไม่พอใจกับการทุจริต ส่งผลให้พรรครัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติ Barisan Nasional ภายใต้การนำของพรรคอัมโน (United Malays National Organisation — UMNO) พ่ายแพ้อย่างมาก เพราะปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ได้รับอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรในปี 2500

    อันวาร์กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศมาตรการต่างๆ มีการปฏิรูป มาตรการต่อต้านการคอร์รัปชัน แต่รัฐบาลที่นำโดยปากาตัน ฮารัปปัน (Pakatan Harapan — PH) บริหารงานได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากมีผู้นำที่ “ไม่ใช่นักปฏิรูป” และไม่สนใจที่จะทำการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้รัฐบาลปฏิรูปล้มลงหลังจากผ่านไปไม่ถึงสองปี และ UMNO ก็กลับสู่อำนาจ

    “เป็นการปฏิรูปแบบไม่จริงจัง เพราะผู้นำของรัฐบาลที่จัดว่าเป็นรัฐบาลแห่งการปฏิรูปไม่ใช่นักปฏิรูป ไม่เชื่อในการปฏิรูป แต่เชื่อในการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง และยอมให้มีการทุจริตบางด้านเกิดขึ้น และมองเห็นว่ามีการคอร์รัปชันหากมาจากพรรคฝ่ายค้าน”

    สถานการณ์ดังกล่าวสามารถเห็นได้ภายในไม่กี่เดือนหลังจากข้อตกลงเริ่มมีผลบังคับใช้ การเมืองของมาเลเซียกลับไปสู่ประเด็นเรื่องเชื้อชาติซึ่งตรงกันข้ามกับการต่อสู้ของ PH ที่ปกป้องผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ โดยอันวาร์ชี้ว่า เห็นได้จากการที่ ดร.มหาเธร์จัดประชุมแบบปิดประตูกับรัฐมนตรีและผู้นำมาเลเซียหลายคน

    “รัฐบาลปากาตัน ฮารัปปัน ในช่วง 22 เดือน ยังไม่พร้อมจริงๆ แต่ปัญหาพื้นฐานก็คือเพราะรัฐบาลนำโดยบุคคลที่ไม่ใช่นักปฏิรูป และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน มันก็พิสูจน์ได้ว่าเขา (ดร.มหาธีร์) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมคบคิดในการกลับไปสู่การเมืองแบบแบ่งแยกเชื้อชาติ และกลับไปหาแนวความคิดทางการเมืองที่เน้นย้ำความเป็นมลายูในมาเลเซีย (Kongres Kebangkitan Melayu)”

    “เราได้พยายามเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องยากเพราะผู้นำรัฐบาลในขณะนั้นไม่ได้มีความมุ่งมั่น”

    อันวาร์กล่าวว่า แม้เขาจะต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวมาเลย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องละเลยสิทธิของเชื้อชาติอื่นในมาเลเซีย เพราะหลักการยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ เมื่อผลประโยชน์ของชาวมาเลย์ต้องได้รับการคุ้มครองและปกป้อง เชื้อชาติอื่นก็ไม่ควรถูกกีดกัน

    อันวาร์บอกว่า ตัวเขาเองมองว่า ต้องแก้ไขปัญหาให้คนกลุ่มใหญ่ในมาเลเซีย และไม่ควรคำนึงถึงเชื้อชาติ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องไหนควรมุ่งไปที่เรื่องนั้น เช่น แก้ปัญหาความยากจนก็ต้องมุ่งที่ความยากจน ไม่ควรนำเรื่องเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันก็ต้องเป็นเรื่องคอร์รัปชัน แต่ผู้นำกลับบอกว่า การคอร์รัปชันมาจากคนที่ไม่ใช่มาเลย์

    อันวาร์กล่าวว่า ดร.มหาเธร์เคยถูกถามว่าทำไมถึงไม่ส่งมอบอำนาจให้เขาตามที่สัญญาไว้ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อันวาร์ไม่มีคุณสมบัติเพราะเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของพรรคมาเลย์ แต่เป็นผู้นำเชื้อชาติต่างๆ

    “ดร.มหาเธร์ตอบว่าผมไม่มีคุณสมบัติ เพราะผมเป็นผู้นำพรรคที่มีคนหลายเชื้อชาติ ไม่ใช่คนมาเลย์ ผู้นำที่มาจากพรรคมาเลย์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อผมตอบกลับว่าพรรคผมมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ ก็กลับไม่ยอมรับ ทั้งที่พรรคของผมเป็นพรรคเพื่อชาวมาเลเซีย และอย่าลืมว่าเรามีเอกราชมากกว่า 60 ปีแล้ว”

    เชื่อมีโอกาสพอสมควรที่จะคว้าชัย

    เมื่อถามว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ PH ชนะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป เนื่องจาก ดร.มหาเธร์ไม่ได้อยู่กับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้านอีกต่อไป

    อันวาร์กล่าวว่า เขายังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสของ PH ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งที่ 15 เมื่อประเมินจากความแตกแยกภายในรัฐบาลผสม ดังจะเห็นได้จากความบาดหมางระหว่างนายกรัฐมนตรี อิสมา อิลซาบรี ยาคอบ และมูห์ยิดดิน ยัสซิน ผู้นำพรรค Bersatu ซึ่งต่างฝ่ายต่างกล่าวหากัน ถือว่าเป็นผู้นำพรรคร่วมที่อ่อนแอทั้งคู่ อีกทั้งยังมีปัญหาคอร์รัปชันในรัฐบาล

    “ผมยังคงมองโลกในแง่ดี ผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสพอสมควร (fair chance) เพราะความแข็งแกร่งของ Hope Alliance” อันวาร์กล่าว

    อันวาร์กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้วางแนวทางในการปรับเปลี่ยนพรรคให้มีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่ในวัย 30 ปี 40 ปี และ 50 ปี ซึ่งเป็นการดำเนินการในทางบวก เป็นการปรับเปลี่ยนแบบเงียบๆ และส่งต่อให้กับผู้นำรุ่นใหม่ มีการมอบหมายภาระหน้าที่ เช่น การวางกลยุทธ์สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างมีอำนาจเต็ม และเขากับผู้นำรุ่นเก่าให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตาม กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้เพิ่งเริ่มขึ้น จึงให้โอกาสรับผิดชอบการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อเดินหน้า

    เมื่อถามว่าเขาจะเปิดรับพันธมิตรจากกลุ่มของ UMNO หรือไม่หากพรรครัฐบาลแยกทาง อันวาร์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขา “นิยมนโยบายทางเชื้อชาติที่ล้าสมัยของ UMNO” หรือไม่

    “เราต้องหารือกันถึงหลายประเด็นและหลักการ ผมไม่คิดว่าผมจะไปหาพรรคร่วมรัฐบาลเพียงเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง”

    อันวาร์กล่าวว่า สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลที่อาจจะมีโอกาสนั้นต้องมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประชาธิปไตยและขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน

    อันวาร์มองว่า มีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่การเลือกตั้งทั่วไปที่อาจจะจัดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเดือนพฤศจิกายน แต่ถ้าพูดกันด้วยเหตุผล ก็ไม่ควรจัดขึ้นในปีนี้ “แต่ไม่ใช่ผู้นำทุกคนที่เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล (But not all leaders are rational animals)” โดยอาจจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม เพื่อหลีกเลี่ยงฤดูมรสุมช่วงปลายปี ที่มักเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม คนหลายหมื่นคนเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัย

    ทั้งนี้ มีการคาดเดากันว่าจะมีการยุบสภา หลังจากการจัดทำงบประมาณปี 2023 ในเดือนตุลาคม ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา ยังไม่ครบวาระจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า

    “สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องจัดการเรื่องนี้และจัดการกับปัญหาน้ำท่วมก่อนสิ้นปี และหลังจากนั้นค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง”

    อย่าเทียบการติดคุกกับกรณีนาจิบ

    สำหรับคำถามที่ว่า เขาได้รับการดูแลอย่างดีแบบวีไอพีเมื่ออยู่ในคุกตรงข้ามกับอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก อันวาร์กล่าวว่า ข้อกล่าวหาว่าเขาได้รับการรักษาแบบวีไอพีในเรือนจำว่าเป็นเรื่องเหลวไหล และอย่าเปรียบเทียบการติดคุกของเขากับนาจิบ

    จากการที่ผู้สนับสนุนนาจิบพูดว่านาจิบสามารถโอนไปรับการดูแลที่โรงพยาบาล Cheras Rehabilitation Hospital เพราะอันวาร์ก็ได้รับการรักษาแบบเดียวกันขณะรับโทษนั้น อันวาร์บอกว่า “ผมได้เข้าไปโรงพยาบาล หลังจากรับโทษไปแล้วกว่า 10 ปี และถูกขังเดี่ยวเป็นเวลาหลายปี และอีกข้อหนึ่งผมได้เข้าไปรับการรักษาหลังการผ่าตัดใหญ่ที่ไหล่ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์”

    “ประสบการณ์ในคุกของผมหนักหนากว่าของนาจิบ ดังนั้น อย่าเปรียบเทียบประสบการณ์ของนาจิบกับประสบการณ์ของอันวาร์ ถ้าเขาต้องการได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน เขาต้องรับโทษ 10 ปีก่อน แล้วจึงจะถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาล” อันวาร์กล่าว

    อันวาร์ยังกล่าวอีกว่า เมื่อเขาถูกจำคุก เขาต้องนอนบนพื้นซีเมนต์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ทำให้หลังที่มีปัญหาแย่ลง ก่อนที่แพทย์จะแนะนำว่า ควรหาเตียงมาให้เขา

    “ถ้านาจิบจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา และหากแพทย์ยืนยันว่าเขาป่วย ผมจะไม่ทำให้มันเป็นประเด็น” อันวาร์กล่าวและว่า นาจิบควรรับโทษจำคุกในขณะที่รอการวินิจฉัยทางการแพทย์

    อันวาร์กล่าวนาจิบกับเขารู้จักกันเป็นส่วนตัว “เราเป็นเพื่อนกันมานานหลายสิบปี นาจิบเป็นตัวแทนของชนชั้นสูงและขุนนาง และผมมาจากหมู่บ้าน ตอนผมเป็นผู้นำเยาวชนของ UMNO นาจิบเป็นรองผม”

    “แน่นอนว่าผมไม่ต้องการให้เขาทนทุกข์ทรมานเกินกว่าการลงโทษ แต่เราต้องแยกความกังวลส่วนตัวและยอมรับหลักนิติธรรมและการลงโทษ” อันวาร์กล่าว

    นาจิบถูกโทษจำคุก 12 ปี หลังจากที่ศาลรัฐบาลกลางพิพากษายืนคำตัดสินและปรับในคดีรับสินบนครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงกับกองทุน 1MDB เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม

    อันวาร์กล่าวว่า นาจิบกับรัฐมนตรี UMNO คนอื่นๆ ได้ลงนามในคำปฏิญาณที่จะสนับสนุนเสนออันวาร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปีที่แล้ว แต่ต้องการให้อันวาร์ให้คำมั่นว่าจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ข้อเสนอให้เขาเป็นผู้นำไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาปฏิเสธที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีในศาลของนาจิบ

    อันวาร์กล่าวว่า การจำคุกนาจิบเป็น “คดีที่ชัดเจน clear-cut case” มีเงินโอนเข้าบัญชีของนาจิบและก็มีการนำเงินไปใช้จ่าย และควรเป็นบทเรียนแก่ผู้นำทางการเมืองทุกคนเมื่อได้รับอำนาจแล้วว่า อย่าถลุงเงินสาธารณะ

    อันวาร์ได้พูดคุยในอีกหลายประเด็น ทั้งมุมมองเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อันวาร์กล่าวว่า สำหรับสหรัฐฯ นั้นมีนโยบายชัดเจนเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสำหรับตัวอันวาร์ซึ่งเป็นนักประชาธิปไตยที่ประสบกับปัญหาเรื่องเสรีภาพและอิสรภาพก็เข้าใจดี เห็นความสำคัญของเสรีภาพ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน แต่ก็ต้องมีนโยบายที่สอดคล้องและสม่ำเสมอ เพื่อที่จะคนจะได้รับรู้รับทราบ ด้านจีนนั้นเติบโตขึ้นมาก แม้ตอนนี้มีปัญหาเศรษฐกิจภายในและจีนก็มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่วนในด้านนโยบายต่างประเทศนั้นก็เปิดกว้างมากขึ้น

    “สิ่งที่ประเทศอยางมาเลเซีย ไทย และอาเซียนควรทำ คืออะไร เราเปราะบาง แต่ไม่ใช่ว่าสหรัฐฯ จะสามารถชี้นำให้เราทำตาม หรือจีนบอกให้เราทำ แต่เราต้องมั่นใจว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องกับมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายในประชาคมโลก เพื่อความอยู่รอดของเรา ในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ซึ่งสถานะของเราควรจะเป็นแบบนั้น”

    อันวาร์ชี้ไปที่กรณีของเมียนมาที่ยังมีปัญหา ซึ่งเป็นประเทศเล็ก อาเซียนยังไม่มีประสิทธิภาพจะจัดการเลย อย่าว่าแต่ประเทศมหาอำนาจทั้งสองประเทศนี้ อาเซียนต้องรับว่าอาเซียนมีข้อจำกัด

    รู้จักอันวาร์ อิราฮิม

    ในปี 1982 อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นผู้นำผู้ก่อตั้งและประธานคนที่สองขององค์กรเยาวชนอิสลามที่เรียกว่า Angkatan Belia Islam Malaysia (ABIM) ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาได้เข้าร่วมพรรค UMNO ที่มี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นผู้นำและรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1981 อันวาร์มีความก้าวหน้าทางการเมืองอย่างรวดเร็ว โดยรับตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรก คือรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เยาวชน และกีฬาในปี 1983 จากนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรในปี 1984 ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปี 1986 ในช่วงนั้นก็มีการเก็งกันว่าอันวาร์จะเป็นรองนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องปกติที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการจะเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

    ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ อันวาร์ได้ดำเนินนโยบายที่สนับสนุนมาเลย์ (pro-Malay policies) หลายด้านมากมายในหลักสูตรโรงเรียนทั้งประเทศ หนึ่งผลงานที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนชื่อภาษาประจำชาติจากภาษาบาฮาซามาเลเซียเป็นบาฮาซามลายู คนที่ไม่ใช่เชื้อสายมาเลย์วิพากษ์วิจารณ์การปรับเปลี่ยนนี้เพราะเกรงว่าจะทำให้คนรุ่นใหม่เลิกใช้ภาษาประจำชาติ เนื่องจากถือว่าเป็นภาษาของชาวมาเลย์ไม่ใช่ของชาวมาเลเซีย นอกจากนี้ ขณะอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อันวาร์ได้รับเลือกให้เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 25 ของยูเนสโก

    ในปี 1993 อันวาร์ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีภายใต้การนำของ ดร.มหาเธร์หลังจากคว้าชัยนั่งเก้าอี้รองประธานพรรค UMNO แต่มีรายงานว่าอันวาร์ใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นรองประธานพรรค UMNO ซึ่งมีผู้เห็นในการแจกซองเงินหลายราย อันวาร์ได้รับการฟูมฟักอย่างดีเพื่อให้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก ดร.มหาเธร์ และมักเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของเขากับ ดร.มหาเธร์ต่อสาธารณะว่าเป็น “ลูกกับพ่อ” ในช่วงต้นปี 2540 ดร.มหาเธร์ได้แต่งตั้งอันวาร์ให้รักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะที่ ดร.มหาเธร์ลาพักด้วยเหตุผลสุขภาพเป็นเวลาสองเดือน

    อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.มหาเธร์กับอันวาร์เริ่มแย่ลง เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องการปกครอง ประเด็นหนึ่งที่ขัดแย้งชัดเจนคือวิธีที่มาเลเซียจะตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ทางการเงิน

    หลังจากที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน อันวาร์และผู้สนับสนุนของเขาได้ริเริ่มขบวนการปฏิรูป (Reformasi) มีการประท้วงและการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลผสม Barisan Nasional ที่อยู่ในอำนาจมานานหลายครั้ง

    การปฏิรูปนำไปสู่การก่อตั้งพรรคใหม่ที่มีฐานหลายเชื้อชาติมีชื่อว่า Parti Keadilan Nasional (National Justice Party) ในปี 1999 มีการเลือกตั้งทั่วไป พรรคใหม่ Parti Keadilan Nasional, Parti Islam Se-Malaysia และ Democratic Action Party ได้จัดตั้ง Barisan Alternatif (Alternative Front) เพื่อล้มรัฐบาลผสมของ Barisan Nasional (BN) ในเดือนสิงหาคม 2003 Parti Keadilan Nasional ได้รวมเข้ากับ Parti Rakyat Malaysia (พรรคประชาชนของมาเลเซีย) เพื่อจัดตั้ง Parti Keadilan Rakyat (PKR) หรือ People’s Justice Party โดยมี วัน อาซิซะห์ เป็นประธาน

    PKR ได้คะแนนเสียงมหาศาลในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2008 โดยได้ 31 ที่นั่งและกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา ในเดือนเมษายน 2008 PKR, PAS และ DAP ได้จัดตั้งพันธมิตรใหม่ชื่อ Pakatan Rakyat

    จากข้อมูลของ London Speaker Bureau แม้กว่า 8 ใน 20 ปีที่ผ่านมา ถูกควบคุมตัวในฐานะนักโทษการเมือง แต่พรรคของเขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้งมาเลเซียในเดือนพฤษภาคม 2018 ซึ่งทะลายพรรครัฐบาลที่ครองอำนาจนานถึง 61 ปี อันวาร์ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งและได้รับการอภัยโทษจากข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง

    สำหรับงานอื่นๆ ช่วงเดือนสิงหาคม 2005 ถึงธันวาคม 2006 อันวาร์เป็นศาสตราจารย์ด้านศาสนาอิสลามของมาเลเซียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Alwaleed Bin Talal Center for Muslim-Christian Understanding at the Edmund A. Walsh School Edmund A. Walsh School of Foreign Service แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งเขาได้บรรยายเกี่ยวกับการเมืองร่วมสมัยในตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียมุ่งเน้นไปที่บทบาทของศาสนาอิสลามในการกำหนดวิวัฒนาการทางการเมืองของภูมิภาค

    อันวาร์เคยเป็นประธานของ UNESCO World Council, ประธานคณะกรรมการพัฒนา ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ, ประธานกิตติมศักดิ์ของ AccountAbility และสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาของ International Crisis Group นอกจากนี้ ยังสอนที่ Johns Hopkins School of Advanced International Studies และ St. Antony’s College ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยบรรยายเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ประชาธิปไตย และการเมืองร่วมสมัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้