ASEAN Roundup ประจำวันที่ 14-20 สิงหาคม 2565
สิงคโปร์มีเศรษฐกิจเงินล้านมากสุดแห่งเอเชียแปซิฟิกปี 2030
สิงคโปร์จะมีมหาเศรษฐีต่อประชากรมากกว่าสหรัฐฯ และจีนภายในปี 2030 จากรายงานของ HSBCเอชเอสบีซีระบุในรายงานว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า จำนวนเศรษฐีในสิงคโปร์ต่อประชากรจะมากกว่าสหรัฐฯ จีน หรือประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สิงคโปร์ซึ่งมีสัดส่วนประชากรผู้ใหญ่มีความมั่งคั่งอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.38 ล้านเหรียญสิงคโปร์)7.5% ของประชากรรวม ในปี 2564 จะมีสัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 9.8% ในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 13.4% ในปี 2573
HSBC ทำการศึกษาประชากรที่พำนักในประเทศทั้งที่เป็นพลเมืองและผู้พำนักอาศัยถาวร โดยในการวัดความมั่งคั่งของเศรษฐี HSBC ได้ใช้เงินสดในธนาคารและการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้นและพันธบัตร นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการถือครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินที่เจ้าของครอบครองหลังจากหักยอดจำนองที่ค้างชำระ และการคาดการณ์ความมั่งคั่งของครัวเรือนในรายงานใช้การประมาณการและการคาดการณ์ของประชากรผู้ใหญ่ ความมั่งคั่งเฉลี่ยต่อหัว และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวที่ระบุ
HSBC กล่าวว่าในเอเชีย สิงคโปร์เป็นรองเพียงออสเตรเลียเท่านั้น ซึ่งออสเตรเลียมีสัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรอยู่ที่ 8% ในปี 2564
ภายในปี 2573 สัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรออสเตรเลียจะตกเป็นอันดับที่สอง โดยที่สัดส่วนเศรษฐีต่อประชากร 12.5% ของประเทศถือเงินสดและทรัพย์สินอย่างน้อยหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ
ภายในปีนั้น สัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรในฮ่องกงจะอยู่ที่ 11.1% จะเป็นเศรษฐี สัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรสหรัฐฯอยู่ที่ 9% สัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรญี่ปุ่น 7.2% และสัดส่วนเศรษฐีต่อประชากรจีน 4.4%
รายงานที่มีชื่อว่า The Rise of Asian Wealth ระบุว่า สัดส่วนผู้อยู่อาศัยในสิงคโปร์ที่มีความมั่งคั่งอย่างน้อย 250,000 ดอลลาร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 67% ภายในปี 2573 รองจาก 70.8%ของออสเตรเลีย
HSBC กล่าวว่าการเติบโตของเศรษฐีในเอเชียจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2578 โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 17%สำหรับสิงคโปร์ สูงกว่า 15.1% ในออสเตรเลียและ 14.6% ของฮ่องกง
เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดียมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนผู้ใหญ่ที่ถือครองความมั่งคั่งอย่างน้อย 250,000 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2573 ถึงกระนั้น ภูมิภาคนี้ก็เป็นที่อยู่อาศัยของคนยากจนหลายล้านคนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในแง่จำนวนเงิน (Absolute Term) ประเทศที่มีประชากรจำนวนมากจะยังคงเป็นผู้นำกลุ่มเศรษฐีในภูมิภาคนี้ต่อไป
จำนวนผู้ใหญ่ที่มีความมั่งคั่งอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐในประเทศจีนอยู่ที่ 17.1 ล้านคนในปี 2564 ซึ่งรายงาน HSBC ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 50.4 ล้านคนในปี 2573
จำนวนเศรษฐีสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันจาก 400,000 เป็น 700,000 คน
เฟรเดอริก นอยมันน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียของเอชเอสบีซี กล่าวว่า ความมั่งคั่งรวมกันในประเทศที่ลึกมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค เป็นตัววัดความสามารถในการการรับมือกับความแปรปรวนของตลาดการเงินโลก และผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและการเติบโตที่ชะลอตัว
“ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของเอเชียยังสะท้อนทรัพยากรทางสังคมที่ในที่สุดแล้วจะพร้อมใช้ เพื่อขจัดความยากจนอีกหลายล้านคน”
“ท้ายที่สุดแล้ว ภูมิภาคนี้แทบไม่ขาดแคลนเงินทุน แม้ว่าจะมีการกระจายอย่างไม่เท่าเทียมกัน ทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศก็ตาม
มาเลเซียเตรียมประกาศลดวันทำงานต่อสัปดาห์เหลือ 45 ชม.
ดาโต๊ะ สรี เอ็ม ซาราวานัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรบุคคล กล่าวว่า จะมีการประกาศพิเศษเกี่ยวกับการลดชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์จาก 48 เป็น 45 ชั่วโมง ในสัปดาห์หน้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรบุคคล กล่าวในการแถลงข่าวโครงการ National Professors Council’s (MPN) Minda Profesor เมื่อวันศุกร์ (19 ส.ค.)ว่า ให้อดใจรออีกหนึ่งสัปดาห์ เพราะมีหลายสิ่งที่จะประกาศในแง่ของชั่วโมงทำงาน วันหยุด บทบาทของกระทรวงและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และอื่นๆ
ดาโต๊ะซาราวานัน กล่าวถึงเรื่องนี้หลังมีรายงานของ Sin Chew Daily สื่อในประเทศว่า การบังคับใช้ชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงอาจถูกเลื่อนออกไป จากวันที่ 1 กันยายน
ในสัปดาห์ที่แล้ว ดาโต๊ะ อวัง ฮาชิม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทรัพยากรบุคคลรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร(Dewan Negara)ว่า ชั่วโมงทำงานประจำสัปดาห์ในมาเลเซียจะลดลงจาก 48 ชั่วโมงเป็น 45 ชั่วโมง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ เป็นผลจากแก้ไขพระราชบัญญัติการจ้างงาน( Employment Act 1955) เพื่อปกป้องสวัสดิภาพของคนงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
การแก้ไขกฎหมายการจ้างงานยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานด้วยความยืดหยุ่น ทั้งในแง่ชั่วโมง และสามารถเลือกสถานที่ เวลาและวันทำงาน ซึ่งจะรวมถึงความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่บ้านในช่วงเวลาฉุกเฉิน เช่น การระบาดใหญ่ของโควิด-19
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า ดาโต๊ะอาวังระบุว่าพนักงานสามารถยื่นขอข้อตกลงการทำงานแบบยืดหยุ่นจากนายจ้างได้ หลังจากที่พระราชบัญญัติที่มีการแก้ไขมีผลในวันที่ 1 กันยายน พนักงานเพียงแค่เขียนจดหมายถึงนายจ้างเพื่อขอความยืดหยุ่นในชั่วโมงการทำงาน หรือวันทำงาน หรือเพื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงาน
“นายจ้างจะมีเวลา 60 วันในการตอบกลับ ในจดหมายตอบรับคำขอของพนักงาน นายจ้างต้องระบุให้ชัดเจนว่าการยื่นขอได้รับการอนุมัติหรือปฏิเสธหรือไม่ และต้องระบุเหตุผลในการปฏิเสธด้วย”
มีรายงานว่าประมาณ 62% ของคนที่ทำงานเต็มเวลาในมาเลเซียต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่าการทำงานในสัปดาห์ที่สั้นลงเหลือเพียง 4 วันจากการสำรวจออนไลน์โดย Qualtrics
โดยรวมแล้ว คน 60% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าการทำงานในสัปดาห์ที่สั้น
อย่างไรก็ตามดาโต๊ะอาวังกล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลในการแนะนำการทำงานที่ยืดหยุ่นนั้นไม่ได้ “ผูกมัด” นายจ้างเนื่องจากการตัดสินใจที่จะอนุมัติคำขอขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของบริษัท
สำหรับการเตรียมการเพื่อลดการทำงานเหลือสี่วันต่อสัปดาห์ กระทรวงพร้อมที่จะศึกษาแนวทางที่หลายประเทศที่พัฒนาแล้วปฏิบัติ และจำเป็นต้องมีการศึกษาเชิงลึกเนื่องจากนายจ้างบางรายอาจประสบปัญหาในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานต่ำในที่ทำงาน
เวียดนามจะเติบโตสูงสุด 8.5% ในเอเชียแปซิฟิก ปี’65
Moody’s Analytics ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ Moody’s Corporation ได้คาดการณ์การเติบโตของ GDP ของเวียดนามในปี 2565 ว่า จะสูงถึง 8.5% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาคู่เทียบในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แม้การส่งออกลดลงในเดือนกรกฎาคมปีนี้เวียดนามเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่ Moody’s Analytics ปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics ระบุว่า การกลับมาเปิดเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างช้าๆ เมื่อต้นปีนี้ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการค้าส่งออกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
แม้นักเศรษฐศาสตร์ชี้ถึงการส่งออกที่ชะลอตัวตามรายงานข้อมูลของเดือนกรกฎาคม แต่เชื่อว่าอุปสงค์จากสหรัฐฯ อาจมีเสถียรภาพ เนื่องจากตลาดแรงงาน “ค่อนข้างแข็งแกร่ง” และยังเตือนด้วยว่าเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดจากภาวะเงินเฟ้อที่เกินคาด ซึ่งอาจชะลอความต้องการสินค้าและบริการในประเทศ รวมถึงที่อยู่อาศัย
ไฮฟองพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล
เมืองท่าทางตอนเหนือของไฮ ฟองจะกลายเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเลของเวียดนาม ตามที่กำหนดไว้ในมติที่ 45 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ Politburo ว่าด้วยการสร้างและพัฒนาเมืองภายในปี 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2045เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ไฮฟองได้กำหนดแนวทางต่างๆ สำหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นที่การวิจัย การถ่ายทอด และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การพัฒนาของเมือง
ไฮ ฟองกำหนดระบุว่า เสาหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจมี 3 ประการได้แก่ อุตสาหกรรมไฮเทค ท่าเรือและโลจิสติกส์ และการท่องเที่ยวและการค้า ซึ่งทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากจุดแข็งของพื้นที่ชายฝั่งทะเล
เมื่อเร็ว ๆ นี้ในการประชุมกับผู้นำของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานคณะกรรมการประชาชนของเทศบาล Nguyen Van Tung กล่าวว่า ไฮ ฟองในฐานะประตูหลักสู่ทะเลของท้องถิ่นทางตอนเหนือ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลที่สำคัญของประเทศ ขนาดเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคงอันดับที่สองในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง รองจากฮานอย ผลิตภัณฑ์มวลรวมรายภาค(GRDP) ในช่วงปี 2559-2563 เพิ่มขึ้น 14.02% ต่อปีโดยเฉลี่ย สูงกว่าอัตราการเติบโตของประเทศที่ 6.68% ถึง 2.1 เท่า
การดำเนินการของเมืองในการวิจัย การประยุกต์ใช้และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตโดยทั่วไป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไฮเทค สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ไฮเทคในมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดของเมืองเพิ่มขึ้นทุกปี โดยแตะระดับ 39.5% ในปี 2562 และ 40.12% ในปี 2564 ส่วนแบ่งของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไฮเทคใน ภาคการแปรรูปและการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 16.4% ในปี 2558 เป็น 50% ในปี 2564
ในด้านการเกษตรและการประมง เมืองได้เพิ่มการวิจัยและการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับโครงการสร้างพื้นที่ชนบทรูปแบบใหม่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตทางการเกษตรและการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในผลผลิตและคุณภาพของพืชผล มูลค่าของพืชผลและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำต่อเฮกตาร์ของที่ดินในไฮฟองเพิ่มขึ้นจาก 72.95 ล้านด่อง (3,100 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีในปี 2551 เป็น 169.1 ล้านด่องในปีที่แล้ว
จุดแข็งที่โดดเด่นของ ไฮ ฟอง ในการเข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล คือ ความเชื่อมโยงระหว่างอุปสงค์และอุปทานในแง่ของเทคโนโลยีระหว่างกิจการเวียดนามและกิจการต่างประเทศ
ในปี 2563-2564 ไฮ ฟองได้จัดการประชุมสร้างเครือข่าย 9 ครั้ง โดยมีการประชุมและการแลกเปลี่ยนมากกว่า 5,000 ครั้งเพื่อซื้อและขายเทคโนโลยีและอุปกรณ์ระหว่างองค์กรธุรกิจเวียดนามและพันธมิตรจากสาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น จีน อิสราเอล เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ในระหว่างการประชุมเครือข่ายเหล่านี้ ธุรกิจเวียดนามได้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงมากมายสำหรับการจัดการท่าเรือและการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลของประเทศที่พัฒนาแล้ว
Pham Xuan Duong อธิการบดีมหาวิทยาลัยการเดินเรือเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล กล่าวว่า หนึ่งในแรงผลักดันหลักในการส่งเสริมและรักษาการพัฒนาที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจทางทะเลของเมือง คือ การทำให้การวิจัยเข้มข้นขึ้น และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเลร่วมกับการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทรัพยากรมนุษย์ทางวิทยาศาสตร์มีบทบาทหลัก
Pham Xuan Duong ชี้ว่า เมืองต้องคาดการณ์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์สำหรับภาคเศรษฐกิจทางทะเล และกำหนดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการจ้างงาน เพื่อออกแบบกลไกและนโยบายใหม่ เฉพาะเจาะจงและเหมาะสม และเหมาะสมกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคนี้
ประธานคณะกรรมการประชาชนของเทศบาล Nguyen Van Tung กล่าวว่า ไฮ ฟอง กำลังส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องอธิปไตยเหนือทะเลและหมู่เกาะ การป้องกันประเทศ และความมั่นคง
นอกจากนี้ เมืองยังชี้นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการวิจัย จัดการ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ ศึกษาและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจทางทะเลที่สำคัญของเมือง เช่น ท่าเรือ ท่าเรือและบริการทางทะเล บริการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการต่อเรือ บริการโลจิสติกส์ประมง เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประมง และแปรรูปอาหารทะเล
สปป.ลาวมุ่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะกระจายแหล่งพลังงานในประเทศลาวโดยให้ความสำคัญกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แก้ไขปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในฤดูแล้ง และลดการนำเข้าปัจจุบัน 81% ของไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศลาวเป็นไฟฟ้าพลังน้ำ รองลงมาคือโรงไฟฟ้าถ่านหิน 17% ในขณะเดียวกัน แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และชีวมวล มีเพียง 2% ของพลังงานที่ใช้ในลาว จากรายงานล่าสุดจากกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่
รัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนเป็น 11% ตามแผน 5 ปีในช่วงปี 2564-2568 ในทางกลับกัน สัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าถ่านหินจะคิดเป็น 75% และ 14% ตามลำดับภายในปี 2568
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตไฟฟ้า 90 แห่งทั่วประเทศ โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเกือบ 11,000 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 77 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 แห่ง โครงการชีวมวล 4 แห่ง และโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 แห่ง
แม้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้จะไม่มีโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เปิดดำเนินการ แต่รัฐบาลก็กำลังผลักดันการก่อสร้างโครงการพลังงานขนาดใหญ่ให้มีความคืบหน้าตามที่กำหนดไว้ในแผน 5 ปี ในจำนวนนี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 3 โรงไฟฟ้าถ่านหินในเขตละมามและอำเภอกะลึมของจแขวงเซกอง และอำเภอบัวละพาในแขวงคำม่วน และเขื่อนในแม่น้ำโขงในหลวงพระบางและแขวงเวียงจันทน์
ความท้าทายหลักคือโรงไฟฟ้าพลังน้ำประมาณ 1,500 เมกะวัตต์จะสูญเปล่าในช่วงฤดูฝนที่มีกระแสน้ำไหลสูง ขณะที่ลาวต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศไทยในฤดูแล้ง ราคาที่การไฟฟ้าลาว(EDL) จ่ายสำหรับไฟฟ้าที่นำเข้านี้ทำให้ราคาแพงกว่าไฟฟ้าที่นำเข้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เกือบสองเท่า
ดร.สินาวา สุภานุวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ เปิดเผยว่า ลาวมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 10,000-15,000 เมกะวัตต์ และพลังงานลมประมาณ 100,000 เมกะวัตต์
ปัจจุบันมีการวางแผนฟาร์มกังหันลมที่ผลิตไฟฟ้าได้ 1.6 กิกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงโครงการลมมรสุมขนาด 600 เมกะวัตต์ ในแขวงเซกองและแขวงอัตตะปือ ซึ่งจะขายไฟฟ้าให้กับเวียดนาม ตามรายงานของ Asian Development Outlook 2022 ของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย
ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว รัฐบาลและผู้ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 2 ได้ลงนามในข้อตกลงพัฒนาโครงการเพื่อพัฒนาน้ำเทิน 2-โซลาร์ ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 240 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกสร้างขึ้นบนอ่างเก็บน้ำน้ำเทิน 2 ในแขวงคำม่วน
รัฐบาลให้คำมั่นที่จะดึงศักยภาพของภาคพลังงาน โดยเฉพาะการพัฒนาพลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เพื่อให้สามารถขายไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น
กัมพูชาเตรียมทำแผนแม่บทการเกษตร
กัมพูชาเตรียมจัดทำแผนแม่บทที่ครอบคลุมเพื่อปรับปรุงภาคการเกษตรในประเทศให้ทันสมัย แถลงการณ์ของกระทรวงเกษตรระบุว่า กระทรวงฯร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของจีน เห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานจัดทำแผนแม่บทเพื่อติดตาม และประเมินความก้าวหน้าของพืชผลต่างๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด ยางพารา มันสำปะหลัง การผลิตสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่เกษตรของกระทรวงที่นำโดยนายเวง สาคอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะผู้แทนกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน กระทรวงเกษตรฯยังเสนอให้รวมพืชที่มีศักยภาพเช่น มะม่วงและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไว้ในแผนแม่บทด้วย
นายสาคอนแจ้งกับคณะผู้แทนจีนที่นำโดยจาง ลู่เปียว อธิบดีศูนย์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างประเทศ ของกระทรวงเกษตรของจีนว่า กระทรวงเกษตรฯกัมพูชาตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมแผนแม่บทเพื่อติดตาม และประเมินความคืบหน้า ของการนำไปปฏิบัติ
“เพื่อให้แผนแม่บทการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ รัฐมนตรีแนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองสถาบันตรวจสอบและพิจารณาผลักดันให้มีการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัย เติมเต็มห่วงโซ่การผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจร โดยเน้นที่การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ภาคเอกชน และตลาด” แถลงการณ์ระบุ
นายสาคอนกล่าวว่า ควรมีการเชื่อมโยงโครงข่ายเพื่อ เสริมสร้างการปลูกพืช การแปรรูป และการบรรจุหีบห่อที่มีคุณภาพ ความปลอดภัย มาตรฐานตลาด และความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาการเกษตรของกัมพูชาอย่างยั่งยืน
นายลู่เปียว กล่าวว่า ภารกิจหลักของคณะผู้แทนจีนในกัมพูชาในครั้งนี้ คือ การเสริมสร้างและขยายความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการช่วยกัมพูชาในการเตรียมแผนแม่บทการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่กับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับชาติที่จัดตั้งขึ้นแล้ว ซึ่งมีความสามารถและประสบการณ์สูงในด้านนี้
“การจัดทำแผนแม่บทมีความสำคัญมาก แต่การดำเนินการและกลไกการดำเนินการมีความสำคัญมากกว่า เช่น การรวบรวมและจัดสรรทรัพยากรที่รวมถึงทรัพยากรมนุษย์และการเงินจากระดับชาติถึงระดับรากหญ้าและจากระดับรากหญ้าถึงระดับประเทศพร้อมกับการติดตามติดตาม และประเมินผลการดำเนินการ”
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรยังชื่นชมจีนที่เปิดตลาดสำหรับมะม่วงและปลาสวายของกัมพูชา และจะเปิดให้ลำไยกัมพูชาเข้าไปมากขึ้น
“รัฐมนตรีคาดหวังและเชื่อว่าความร่วมมือจะมีความเข้มแข็งและขยายไปสู่ระดับถัดไป โดยเริ่มการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไข โดยเฉพาะสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น พริกไทย รังนก และทุเรียนในเร็วๆ นี้”
เมื่อเร็ว ๆ นี้นายสาคอนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับศูนย์การค้ากัมพูชา (เซียะเหมิน) บริษัทของจีนเพื่อปูทางให้ผู้เลี้ยงนกนางแอ่นกัมพูชาส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดจีนและอนุญาตให้ศูนย์ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำความสะอาด และบรรจุหีบห่อรังนกนางแอ่น และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่จะได้รับการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรจีน ก่อนส่งออกผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังลงนาม MoU อีกฉบับกับ Korea Agro-Fisheries and Food Trade Corporation และ Orient Group เพื่อปูทางให้ภาคเอกชนของกัมพูชาส่งออกสินค้าเกษตรไปยังเกาหลีใต้ ในช่วงต้นเดือนนี้ระหว่างการเยือนพร้อมกับเจ้าหน้าที่การเกษตรของกัมพูชาในเกาหลีใต้ มุ่งสร้างความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจเกษตรระหว่างสองประเทศ
“อันที่จริง การส่งออกยังก่อให้เกิดประโยชน์มากมายแก่ประเทศโดยรวมและเกษตรกรชาวกัมพูชาตามที่รัฐบาลคาดไว้ ดังนั้นข้อตกลงในวันนี้จะมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าเกษตรจากกัมพูชาไปยังเกาหลีใต้ และผลิตภัณฑ์กลับไปยังกัมพูชา”