ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup กัมพูชาเล็งทำ FTA กับ อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ASEAN Roundup กัมพูชาเล็งทำ FTA กับ อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

6 สิงหาคม 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม-6 สิงหาคม 2565

  • กัมพูชาเล็งทำ FTA กับ อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  • กัมพูชาเชื่อมเคเบิ้ลใต้น้ำจากฮ่องกง
  • การลงทุนของจีนในลาวสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • รถไฟลาว-จีน วางแผนขายตั๋วออนไลน์ปลายปีนี้
  • เวียดนามเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดน้ำตาลไทย 5 ปี
  • เมียนมาให้ผู้ส่งออกแปลงดอลลาร์ 65% เป็นเงินจั๊ต
  • กัมพูชาเล็งทำ FTA กับ อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์


    รัฐบาลได้พิจารณาตลาดที่มีอยู่และตลาดใหม่ผ่านการลงนามในพิธีสาร ข้อตกลง และบันทึกเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรของกัมพูชาไปยังตลาดโลก ซึ่งขณะนี้ถูกคุกคามจากวิกฤติความไม่มั่นคงด้านอาหาร

    รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับคู่ค้า ซึ่งรวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

    เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายสก โสพาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นผู้นำคณะจากกระทรวงพาณิชย์ได้พบปะกับคณะผู้แทนสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ASEAN Plus 3 (AMRO) ที่มีจินโฮ ชอย รองผู้อำนวยการ AMRO ที่เป็นหัวหน้าคณะ

    นายโสพากได้บรรยายสรุปให้กับคณะผู้แทนจาก AMRO ถึงความสำเร็จของรัฐบาลในการแยกแยะและใช้กลไกสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคมในบริบทของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการรณรงค์ฉีดวัคซีนทั่วประเทศและนโยบายที่เอื้ออำนวย รวมถึงการท่องเที่ยวและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกัมพูชา

    นายโสพากกล่าวว่า “ด้วยนโยบายคุ้มครองเหล่านี้ กัมพูชาประสบความสำเร็จในการส่งออกที่เติบโตราว 26% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 แม้ว่าวิกฤติโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยังส่งผลกระทบต่อสายการผลิตและอุปทานทั่วโลก”

    “ในมุมมองของกัมพูชาต่อบริบทของวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่สูงในประเทศหลักๆ และการปิดกั้นทางกระแสการค้าอันเป็นผลมาจากวิกฤติโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน รัฐบาลยังคงมีมุมมองในทางบวกเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เพราะกัมพูชาสามารถเข้าถึงตลาดในวงกว้างและยั่งยืนกว่าที่กำหนดไว้ภายใต้เขตการค้าเสรีที่กัมพูชาได้เข้าร่วมภายใต้กรอบอาเซียนพลัสวัน กรอบอาเซียน และกรอบทวิภาคี

    “นอกจากนี้ กัมพูชากำลังประเมินตลาดที่มีอยู่เดิมและพิจารณาตลาดใหม่ผ่านการลงนามในพิธีสารข้อตกลง และบันทึกเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรของกัมพูชาไปยังตลาดโลก ซึ่งกำลังถูกคุกคามจากวิกฤตความไม่มั่นคงด้านอาหาร” เขากล่าว

    ในขณะเดียวกัน กัมพูชากำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับคู่ค้าที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัฐบาลยังได้ผลักดันการปฏิรูปภายในประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานและมาตรฐานสากล รวมถึงการจัดทำกฎหมายอีคอมเมิร์ซ กฎหมายการแข่งขัน กฎหมายการกระจายการค้า กฎหมายการลงทุนใหม่ สัญญาการค้า ตัวแทนการค้า และเขตเศรษฐกิจพิเศษ

    นอกจากนี้ ยังได้ใช้นโยบายเพื่อส่งเสริมระบบดิจิทัลในธุรกิจ การค้า และการกำกับดูแลกิจการ ทางด่วนพนมเปญ-สีหนุวิลล์ ท่าเรือน้ำลึกสีหนุวิลล์ โครงการขยายสถานีไฟฟ้าพลังน้ำ และโครงการเขตเศรษฐกิจอเนกประสงค์สีหนุวิลล์ ซึ่งยังเป็นกลไกหลักของกัมพูชาในการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามแดนที่โปร่งใสและต้นทุนต่ำ

    สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคอาเซียนบวกสามได้เริ่มการแลกเปลี่ยนและแนะนำประจำปี(Annual Consultation)กับสถาบันของรัฐและเอกชนกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมถึง 3 สิงหาคม 2565 เพื่อหาข้อมูลโดยละเอียดและเป็นทางการเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกและมีคุณภาพ ในการจัดทำรายงานการวิจัย เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคในกัมพูชา โดยรวมแล้ว เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะต้องหารือเกี่ยวกับนโยบายและสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่จะพิจารณาลงทุนในกัมพูชา รายงานนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ และเผยแพร่ในเดือนกันยายน 2565

    กัมพูชาเชื่อมเคเบิ้ลใต้น้ำจากฮ่องกง

    นายเจีย วันเดค รัฐมนตรีกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม ที่มาภาพ:https://www.khmertimeskh.com/501125940/hong-kong-preah-sihanouk-ambitious-fibre-optic-project-to-kickstart-this-year/
    นายเจีย วันเดค รัฐมนตรีกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงมีแผนจะเชื่อมต่อเครือข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงใต้น้ำความยาว 2,715 กิโลเมตร จากฮ่องกงไปยังจังหวัดพระสีหนุ

    นายวันเดคได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ว่า โครงการจะเริ่มขึ้นในปีนี้และจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมกล่าวว่า หลังจากการเชื่อมต่อเครือข่ายนี้เสร็จสิ้นในปี 2567 สมรรถนะอินเตอร์เน็ตในกัมพูชาจะดีขึันกว่าเมื่อก่อน และไม่ต้องกังวลกับอินเตอร์เน็ตอ่อนอีกต่อไป รวมทั้งจะสามารถเข้าถึงบริการอินเตอร์เน็ตที่ถูกลงได้

    “เรามีเครือข่ายเคเบิลใต้น้ำประมาณ 640 กิโลเมตร และเรากำลังพิจารณาเชื่อมจากฮ่องกง 2,700 กิโลเมตร” นายวันเดคกล่าว

    นอกจากนี้ เขายังให้ข้อมูลว่า กัมพูชามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 17.8 ล้านคน สูงกว่าประชากรทั้งหมดของประเทศที่มีจำนวน 16 ล้านคน เนื่องจากมีคนจำนวนมากสมัครใช้บริการอินเตอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งบัญชี

    รัฐมนตรีกล่าวว่า มีผู้สมัครใช้บริการอินเตอร์เน็ตบนมือถือ 17.48 ล้านคน และใช้บริการอินเตอร์เน็ตบ้าน 312,233 ราย

    “จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่มีมาก มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอีคอมเมิร์ซในกัมพูชา”

    นายวันเดคกล่าวว่า อีคอมเมิร์ซมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมูลค่าตลาดของอีคอมเมิร์ซในกัมพูชาอยู่ที่ 970 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565

    “มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซคาดว่าจะสูงถึง 1.78 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568”

    ปัจจุบันกัมพูชามีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 5 ราย และผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต 38 ราย มีคนประมาณ 13.2 ล้านคนในกัมพูชาใช้ Facebook ในขณะที่มีผู้ใช้ Instagram 2 ล้านคน

    การลงทุนของจีนในลาวสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/LaosChinaRailway/photos/5017539128330494
    จีนยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในลาว ด้วยยอดเงินลงทุนสะสมประมาณ 16,400 ล้านดอลลาร์ใน 833 โครงการจากการเปิดเผยของนายคำเจน วงโพสี รัฐมนตรีกระทรวงแผนการและการลงทุน สปป.ลาว

    เงินลงทุนของจีนก้อนใหญ่ได้ลงไปให้การรถไฟลาว-จีน ทางด่วนเวียงจันทน์-วังเวียง เขตพัฒนาไซเศรษฐา รวมถึงโครงการอื่นๆ

    พื้นที่การลงทุนของจีนมีความหลากหลาย ส่งผลให้สปป.ลาวผันนำเงินเข้าสู่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน

    เงินลงทุนก้อนใหญ่ได้ให้ทุนแก่การรถไฟลาว-จีน, ทางด่วนเวียงจันทน์-วังเวียง, เขตพัฒนาไซเศรษฐา, เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็น-บ่อหาน, สายส่งไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งให้ประโยชน์มากมายแก่ทั้งลาวและจีน นายคำเจนกล่าว

    นายคำเจนกล่าวในการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลลาวและจีนและผู้ประกอบธุรกิจในปลายเดือนกรกฎาคมว่า อยากจะใช้โอกาสนี้ หารือเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมและจัดการการลงทุนภาคเอกชนในประเทศลาวและต่างประเทศในอนาคต

    “เราเห็นว่ามีความสนใจอย่างมากในการลงทุนในภาคการเหมืองแร่ ดังนั้นในกระบวนการพิจารณาและอนุมัติโครงการ สิ่งสำคัญคือต้องมุ่งเน้นไปที่ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดโดยนักลงทุน”

    สำหรับการผลิตพลังงาน การติดตามการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจและข้อตกลงการพัฒนาโครงการเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน นายคำเจนกล่าว

    รัฐบาลมีแผนที่จะขยายตลาดไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเปิดโครงการที่มีศักยภาพแต่ขาดโอกาสทางการตลาด ส่วนภาคการเกษตรยังมีศักยภาพอย่างมากและได้รับความสนใจจากนักลงทุนชาวจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลต้องส่งเสริมการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งขันเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ในประเทศจีน และให้ประกันว่ามีการปลูกผักและผลไม้เพื่อขายให้กับจีนมากขึ้น

    ในขณะเดียวกัน ภาคบริการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างถนน อำเภอ และท่าเรือใหม่ ซึ่งต้องใช้ที่ดินจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่าทั้งรัฐบาลกลางและส่วนท้องถิ่นต้องกำหนดขอบเขตของพื้นที่สัมปทานอย่างรวดเร็ว เพื่อให้นักลงทุนสามารถออกแบบและพัฒนาโครงการได้ในเวลาอันสั้น

    การประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลลาวและจีนและผู้ประกอบธุรกิจล่าสุดเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนของจีนในลาว และมุ่งสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลลาวกับนักลงทุนชาวจีน

    ในเวลาเดียวกัน จีนกำลังสร้างเวทีสำหรับความเข้าใจที่กว้างขึ้นระหว่างรัฐบาลลาวกับนักลงทุน และสร้างกลไกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าใจถึงปัญหาที่ธุรกิจจีนในลาวต้องเผชิญ

    รถไฟลาว-จีน วางแผนขายตั๋วออนไลน์ปลายปีนี้

    ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/LaosChinaRailway/photos/4968835556534185
    บริษัท รถไฟลาว-จีน จำกัด วางแผนที่จะเริ่มขายตั๋วรถไฟออนไลน์ในปลายปีนี้เพื่อลดความยุ่งยากให้กับผู้โดยสารหลังจากมีข้อร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับระบบในปัจจุบัน

    ปัจจุบันผู้ที่ต้องการเดินทางจากเวียงจันทน์ต้องต่อคิวที่สถานีนานเพื่อซื้อตั๋ว อีกทั้งสถานีอยู่นอกเมืองและไม่มีห้องน้ำในบริเวณที่รอนอกสถานี สร้างความไม่สะดวกให้กับผู้โดยสาร

    ปัญหามากมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตั๋ว ทำให้คนจำนวนมากใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้และทำตัวเป็นเอเย่นต์ ซึ่งแม้คนจะซื้อตั๋วได้ง่ายขึ้นแต่มีราคาสูงเกินจริง สถานการณ์ดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดความคิดเห็นมากมายบนโซเชียลมีเดีย และเกรงว่า ข่าวเกี่ยวกับระบบตั๋วจะทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวในประเทศลาว

    บริษัท การรถไฟลาว-จีน จำกัด ตระหนักถึงปัญหาและกำลังดำเนินการแก้ไขสถานการณ์โดยทำให้การขายตั๋วมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นายดาวจินดา สีหะลาด รองผู้อำนวยการบริษัท กล่าวในงานแถลงข่าวที่เวียงจันทน์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (3 ส.ค.)กล่าวว่า บริษัทยอมรับข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องในการให้บริการและกำลังเตรียมที่จะแก้ไขสถานการณ์ไปทีละขั้น

    สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริการ บริษัทยินดีรับข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์เพื่อนำไปปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการจำหน่ายตั๋ว

    บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบขายตั๋วออนไลน์ ด้วยแอปมือถือที่ออกแบบจากบริษัทโดยตรงซึ่งหวังว่าจะพร้อมใช้งานโดยเร็วที่สุด

    “ปัจจุบันเราได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่สำคัญแล้ว และขั้นตอนต่อไปคือการปรับปรุงและซื้ออุปกรณ์สำหรับการติดตั้งให้เสร็จสมบูรณ์ เราหวังว่าระบบจะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปีนี้” นายดาวจินดากล่าว

    ส่วนข้อร้องเรียนเกี่ยวกับไม่มีห้องน้ำที่สถานีเวียงจันทน์ บริษัทจะใช้ชั้นสองของสถานีเพื่ออำนวยความสะดวก

    “ในขณะเดียวกัน เราจะจัดเตรียมจุดจำหน่ายตั๋วให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถซื้อตั๋วได้ง่ายและรวดเร็วกว่าในปัจจุบัน”

    บริษัท รถไฟลาว-จีน จำกัด จะร่วมกับกรมรถไฟของกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง และกรมการจัดการการท่องเที่ยวของกระทรวงข้อมูล วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงการขายตั๋ว

    นอกจากนี้กำลังพิจารณาเปิดสถานีนานขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันประชาชนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสถานีจนกว่าจะถึงเวลารถไฟออก ผู้โดยสารต้องต่อคิวนอกสถานีเป็นเวลานาน

    พันเอก ไกสอน แก้วมะนี อธิบดีกรมตำรวจรถไฟ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะกล่าวว่า สถานการณ์ที่ไม่เป็นระเบียบที่สถานีเวียงจันทน์เกิดขึ้นจากความต้องการเดินทางสูงและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

    นอกจากนี้ ตัวแทนขายตั๋วที่ไม่ได้รับอนุญาตยังขายตั๋วในราคาที่สูงเกินจริง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักท่องเที่ยว บ่อยครั้งที่บริษัททัวร์ได้แจกจ่ายตั๋วตามโควตาที่จัดสรรไว้แล้ว แต่ซื้อเพิ่มจำนวนมากเพื่อขายและทำกำไร

    ตำรวจรถไฟจะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่การรถไฟเพื่อดูแลคิวของคนที่รอซื้อตั๋วที่สถานี เพื่อให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้นและกำจัดการขายตั๋วผี

    เวียดนามเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดน้ำตาลไทย 5 ปี

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/industries/vietnam-begins-probe-into-thai-sugar-for-circumventing-anti-dumping-measures-4360720.html
    เวียดนามเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการเลี่ยงภาษีน้ำตาลไทยที่นำเข้าผ่าน 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียน

    คำตัดสินขั้นสุดท้ายมีขึ้นในวันจันทร์(1 ส.ค.)และอัตราภาษี 47.64% จะมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 9 สิงหาคม ถึง 15 มิถุนายน 2569

    การไต่สวนเริ่มขึ้นในเดือนกันยายนปีที่แล้ว หลังจากที่บริษัทในประเทศรายงานว่า มีผลิตภัณฑ์น้ำตาลที่นำเข้าจากลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเมียนมา แต่ไม่ได้ผลิตในประเทศเหล่านั้น

    กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระบุว่า การนำเข้าน้ำตาลในเวียดนามเพิ่มขึ้น 5 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปีมีปริมาณรวม 527,200 ตันในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2563 ถึงมิถุนายน 2564 ซึ่งการนำเข้าจากไทยลดลง 38% ในช่วงเวลาเดียวกัน และเป็นช่วงที่เวียดนามกำลังตรวจสอบการทุ่มตลาดและการอุดหนุนน้ำตาลของไทย

    “อุตสาหกรรมน้ำตาลได้ให้หลักฐานแสดงถึงสัญญาณของน้ำตาลของไทยหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ด้วยการค้าผ่าน 5 ประเทศข้างต้น การนำเข้าน้ำตาลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน” กระทรวงการค้ากล่าวในแถลงการณ์

    เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เวียดนามได้กำหนดการจัดเก็บภาษีการทุ่มตลาด 47.64% สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำตาลบางชนิดจากประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี

    ข้อมูลกระทรวงการค้าพบว่า เกษตรเวียดนามราว 3,300 คนตกงาน และครัวเรือนภาคเกษตร 93,225 ครัวเรือนได้รับผลกระทบจากปัญหาในอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศ

    เมียนมาให้ผู้ส่งออกแปลงดอลลาร์ 65% เป็นเงินจั๊ต

    ที่มาภาพ: https://elevenmyanmar.com/news/cbm-changed-foreign-currency-exchange-rate-from-ks1850-to-ks2100-per-us-dollar

    วันที่ 6 สิงหาคม ธนาคารกลางแห่งเมียนมาได้ออกประกาศฉบับใหม่ตามมาตรา 49 (ข) แห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ส่งออก นำรายได้เงินดอลลาร์ 65% แปลงเป็นจั๊ตของรายได้ดอลลาร์ทั้งหมด

    เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 ธนาคารกลางเมียนมา ได้ออกประกาศฉบับที่ 12/2565 เรื่องรายได้แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของประชาชนและการโอนเงินตราต่างประเทศไปต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องแปลงเงินดอลลาร์ที่ได้จากการส่งออกเป็นเงินจั๊ต

    ประกาศฉบับใหม่ระบุว่ามีผลตั้งแต่วันที่ออก การไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้จะส่งผลให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

    นอกจากนี้วันที่ 5 สิงหาคม ธนาคารกลางเมียนมา ได้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจาก 1,850 จั๊ตต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 2,100 จั๊ตต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 1,850 จั๊ตต่อดอลลาร์สหรัฐฯเป็นเวลากว่าสี่เดือน

    ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรป ธนาคารกลางได้กำหนดไว้เท่ากับ 2,148 จั๊ต หนึ่งดอลลาร์สิงคโปร์เท่ากับ 1,526.1 จั๊ต หนึ่งปอนด์อังกฤษเท่ากับ 2,549.2 จั๊ต และหนึ่งฟรังก์สวิสเท่ากับ 2,199.2 จั๊ตและ 100 เยนญี่ปุ่น เท่ากับ 1,580.2 จั๊ต