ThaiPublica > เกาะกระแส > EU รับยูเครนเป็นประเทศ “ผู้สมัคร” สมาชิก สะท้อนความสำเร็จการยกฐานะเศรษฐกิจอดีตยุโรปตะวันออก

EU รับยูเครนเป็นประเทศ “ผู้สมัคร” สมาชิก สะท้อนความสำเร็จการยกฐานะเศรษฐกิจอดีตยุโรปตะวันออก

25 มิถุนายน 2022


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2565 ผู้นำ 3 ประเทศสมาชิก EU ที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดคือโอลาฟ โชลซ์ จากเยอรมัน เอมมานูเอล มาครอง จากฝรั่งเศส และมารีโอ ดรากี จากอิตาลี ไปเยือนกรุงเคียฟ ยูเครน และพบปะเจรจากับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน
ที่มาภาพ : https://www.voanews.com/a/eu-leaders-visit-kyiv-amid-rising-divisions-tensions/6620317.html

สหภาพยุโรป หรือ EU ได้อนุมัติเป็นทางการให้ยูเครน เป็น “ประเทศผู้สมัคร” การเข้าเป็นสมาชิก EU

การประกาศดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ท่ามกลางสงครามทำลายล้างจากรัสเซีย อนาคตของยูเครนจะอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตยตะวันตก แม้การเข้าเป็นสมาชิกของยูเครนจะใช้เวลาหลายปี แต่การตัดสินใจของ EU เรื่องสมาชิกภาพของยูเครน เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณอย่างมีพลังของตะวันตก ที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับยูเครน

ที่ประชุมฝ่ายบริหาร (Council of Ministers) ของ EU ที่ประกอบด้วยผู้นำ EU ทั้งหมด 27 ประเทศเห็นชอบว่า ยูเครนสมควรได้รับฐานะการเป็น “ประเทศผู้สมัคร” เพราะยูเครนได้แสดงออกชัดเจนถึงความประสงค์และมุ่งมั่น ที่จะบรรลุค่านิยมและมาตรฐานของยุโรป ประเทศที่สมัครเข้าเป็นสมาชิก EU จะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 4 ปีกว่า จึงจะเป็นสมาชิกทางการ แต่บางประเทศในประเทศยุโรปตะวันออก ต้องรอนานกว่า 10 ปี

ฐานะเร่งด่วนการเป็น “ผู้สมัคร”

ก่อนหน้านี้ ประเทศสมาชิก EU หลายประเทศมีความเห็นต่างกันในเรื่องฐานะของยูเครน ที่จะเข้าเป็นสมาชิก EU เดนมาร์ก โปรตุเกส สเปน และเนเธอร์แลนด์ ไม่เห็นด้วยกับความเร่งด่วน ที่จะอนุมัติให้แก่ยูเครน กับการเป็นประเทศผู้สมัครสมาชิก EU ส่วนโปแลนด์และประเทศแถบทะเลบอลติก กลับเห็นว่า กระบวนการพิจารณาเรื่องยูเครน ยังไม่รวดเร็วพอ

ดังนั้น เมื่อกลางเดือนมิถุนายน การที่ผู้นำจาก 3 ประเทศสมาชิก EU ที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดคือโอลาฟ โชลซ์ จากเยอรมัน เอมมานูเอล มาครอง จากฝรั่งเศส และมารีโอ ดรากี จากอิตาลี ได้ไปเยือนกรุงเคียฟ ยูเครน และพบปะเจรจากับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน จึงมีความสำคัญมาก เป็นการส่งสัญญาณว่า ให้การสนับสนุนที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิก EU โดยมาครองกล่าวว่า ผู้นำทั้ง 4 เห็นชอบ ที่ยูเครนจะได้รับฐานะประเทศผู้สมัครสมาชิก EU โดยทันที แต่ฐานะประเทศผู้สมัครอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่านมาได้ เช่น ตุรกี มีฐานะเป็นผู้สมัคร EU มาตั้งแต่ปี 1999

ประธานาธิบดีเซเลนสกี้เรียกการตัดสินใจของ EU ว่า เป็นหนึ่งในตัดสินใจสำคัญสุดเพื่อยูเครน ในช่วง 30 ปีของยูเครนที่มีเอกราช ส่วนนายดมิโทร คูเลบา (Dmytro Kuleba) รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนกล่าวว่า การเข้าเป็นสมาชิก EU อาจใช้หลายปี หรือนับสิบปี แต่เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในความคิดของผู้นำยุโรป ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งในโลกของรัสเซีย

ปฏิกิริยาจากรัสเซีย

แม้เมื่อเร็วๆนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะให้สัมภาษณ์ว่า ทางรัสเซียไม่ขัดขวางที่ยูเครนจะเป็นสมาชิก EU แต่ความต้องการของยูเครนที่จะใกล้ชิดกับ EU เคยเป็นชนวนจุดเริ่มต้นความขัดแย้งกับรัสเซียมาแล้ว ในปี 2013 วิคเตอร์ ยานูโควิช (Victor Yanukovych) ประธานาธิบดียูเครน ที่รัสเซียหนุนหลัง ไม่ยอมเซ็นสัญญาการค้ากับ EU ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ และล้มรัฐบาลของเขา ปูตินจึงส่งกำลังเข้ายึดครองคราบสมุทรไครเมีย

ส่วนเจ้าหน้าที่รัสเซียถือว่า การขยายตัวของ EU เป็นหนึ่งในสองภัยคุกคามต่อรัสเซีย เช่นเดียวกับการขยายสมาชิกกลุ่มนาโต้ แต่ฐานะการเป็นประเทศผู้สมัครสมาชิก EU ของยูเครน ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ในรัสเซีย เพราะเป็นประเด็นรองลงมา สิ่งที่เป็นประเด็นใหญ่คือ ยูเครนจะรอดได้อย่างไรจากการบุกของรัสเซีย และอะไรอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้

หลักเกณฑ์การขยายสมาชิก EU

หนังสือ The Economic Integration of Europe (2021) อธิบายว่า การพังทะลายของอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ทำให้หลายประเทศเหล่านี้สนใจสมัครเข้าเป็นสมาชิก EU ดังนั้น ในการประชุมสุดยอด EU ที่โคเปนเฮเกน เมื่อเดือนมิถุนายน 1993 ทาง EU ได้วางกฎเกณฑ์ 3 อย่างของการเข้าเป็นสมาชิก EU คือ

    1) มีสถาบันประชาธิปไตยมั่งคง ที่ส่งเสริมหลักนิติธรรม (rule of law)
    2) มีเศรษฐกิจกลไกตลาดที่ทำงานได้ผล โดยสามารถรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ จากการเป็นประเทศสมาชิก EU
    3) ความสามารถในการมีภาระผูกพันจากการเป็นสมาชิก รวมทั้งการดำเนินงานตามเป้าหมายด้านการเมือง เศรษฐกิจ และด้านสหภาพการเงิน

หลักเกณฑ์โคเปนเฮเกนสะท้อนสิ่งที่เป็นค่านิยมหลักของ EU นอกเหนือจากการเป็นตลาดเดียวกัน ในปี 1995 EU ขยายสมาชิกจาก 12 เป็น 15 ประเทศ สมาชิกใหม่คือออสเตรีย สวีเดน และฟินแลนด์ การรับ 3 ประเทศนี้ไม่มีปัญหายุ่งยาก เพราะมีเรื่องการปรับตัวไม่มาก
แต่การขยายสมาชิกไปยังประเทศยุโรปตะวันออก มีความยากลำบากมากขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากเศรษฐกิจที่วางแผนโดยรัฐส่วนกลาง มาเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด และการเมืองจากระบบอำนาจนิยมมาเป็นประชาธิปไตย ปี 2004 ยุโรปตะวันออก 8 ประเทศ คือ สาธารณรัฐเชค เอสโตเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ สโลวาเกีย และสโลเวเนีย เข้าเป็นสมาชิก EU ส่วนบัลกาเรียและโรมาเนียเป็นสมาชิกในปี 2007

ในปี 2000 10 ประเทศในยุโรปตะวันออกที่ต่อมาเป็นสมาชิก EU มีรายได้เฉลี่ยต่อคน 40% ของ EU ในปี 2008 เพิ่มเป็น 52% แต่เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของ EU เพราะการลงทุนต่างประเทศ การถ่ายโอนเทคโนโลยี และการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chain) ที่เด่นชัดมากคือ การผลิตรถยนต์ใน 4 ประเทศสมาชิก EU คือ สาธารณรัฐเช็ค ฮังการี โปแลนด์ และสโลวาเกีย

ที่มาภาพ : https://www.hup.harvard.edu/catalog.php?isbn=9780674244139

คุณประโยชน์จากสมาชิก EU

The Economic Integration of Europe บอกว่า หลังปี 1989 ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ของรัฐในยุโรปตะวันออกแห่งไหน ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้เลย ในทศวรรษ 1990 บริษัทรถยนต์ตะวันตก ได้เข้าไปลงทุนในยุโรปตะวันออก เริ่มต้นจาก Volkswagen เข้าไปซื้อกิจการ Skoda ต่อมา Opel Suzuki และ Audi เข้าไปลงทุนในฮังการี และต่อมา Opel เปิดโรงงานในโปแลนด์ ที่มีกำลังผลิตรถยนต์ปีหนึ่ง 70,000 คัน

ในปี 2004 เมื่อ 8 ประเทศยุโรปตะวันออกได้เข้าเป็นสมาชิก EU ทำให้สามารถลดต้นทุนจากการค้าภายในกลุ่ม EU และยังเป็นตัวผลักดันการพัฒนาการผลิตห่วงโซ่อุปทานโลก ในด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ สโลวาเกียกลายเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ด้วยการผลิตใช้เทคโนโลยีทันสมัย

บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 3 แห่งเข้าไปลงทุนในสโลวาเกีย Volkswagen มีกำลังการผลิตปีหนึ่ง 300,000 คัน PSA Peugeot Citroen 450,000 คันต่อปี และ Kia 300,000 คันต่อปี ทำให้สโลวาเกีย รวมทั้งสาธารณรัฐเชค กลายเป็นประเทศที่มีปริมาณการผลิตรถยนต์ต่อคน สูงสุดของโลก

การปรับโครงสร้างการผลิตของภาคเอกชนในยุโรปตะวันออก ทำให้ผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันขันของ EU โดยรวมเพิ่มขึ้น มีหลักฐานน้อยมากที่แสดงว่า การย้ายแรงงานของประเทศสมาชิก EU จากทางยุโรปตะวันออกมาทางตะวันตก ทำให้เกิดการว่างงานในประเทศสมาชิกเดิมของ EU

ช่วงปี 2006-2009 มีแรงงานที่อพยพจากสมาชิก EU ด้านตะวันออกมายังตะวันตกจำนวน 1.6 ล้านคน เมื่อรวมกับแรงงานที่อพยพมาก่อนหน้านี้ เป็นทั้งหมด 3.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศสมาชิก EU เดิม ดังนั้น ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากสมาชิกใหม่ จึงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

ผู้อพยพจากซีเรีย : https://www.brinknews.com/millions-of-syrian-refugees-are-changing-the-middle-east-economy/

ในหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาต่างๆล้วนสะท้อนภาพลักษณ์ที่ตกต่ำของ EU เช่น วิกฤติการเงินของกรีซ ปัญหาผู้อพยพนับล้านคนจากตะวันออกกลาง กระแสการเมืองและผู้นำแบบประชานิยม และสหราชอาณาจักถอนตัวออกจาก EU แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่สามารถลบบทบาทของ EU ในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจ ที่มีอิทธิพลต่อการค้าโลก

การที่ยูเครนต้องการเข้าเป็นสมาชิก EU นอกเหนือจากค่านิยมด้านประชาธิปไตย และการเมืองที่มีธรรมาภิบาลแล้ว ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของอดีตประเทศยุโรปตะวันออก ที่เข้าเป็นสมาชิก EU ก็เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญเช่นกัน ประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจระดับกลาง เมื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเดียว EU ที่มีมูลค่าเศรษฐกิจปีหนึ่ง 17 ล้านล้านดอลลาร์ ยอมได้รับอนิสงส์มหาศาลจากสมาชิกภาพดังกล่าว

เอกสารประกอบ
First Step Toward Ukraine Joining EU Signals Solidarity Amid War, June 23, 2022, nytimes.com
The Economic Integration of Europe, Richard Pomfret, Harvard University Press, 2021.