ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนที่ 17 ฟิลิปปินส์

ASEAN Roundup เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนที่ 17 ฟิลิปปินส์

29 พฤษภาคม 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 22-28 พฤษภาคม 2565

  • เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนที่ 17 ฟิลิปปินส์
  • ฟิลิปปินส์ยกเลิกตรวจ RT-PCR นักเดินทางฉีดวัคซีนครบ
  • ไทยจับมือเวียดนามคุมค้าข้าวตลาดโลก
  • อินเทลจะขยายการลงทุนในเวียดนาม
  • เวียดนามตั้งเป้ามีท่าเรือประมง 184 แห่งภายในปี 2050
  • รถไฟบรรทุกสินค้าขบวนแรกจากฉงชิ่งสู่เมียนมาวิ่งแล้ว
  • รัฐบาลทหารเมียนมาห้ามภาครัฐใช้ดอลลาร์เพื่อการชำระเงินในประเทศ
  • เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนที่ 17 ฟิลิปปินส์

    ที่มาภาพ: https://www.congress.gov.ph/photojournal/zoom.php?photoid=3591
    เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ประชุมร่วมกันเพื่อให้ความเห็นชอบ ประกาศให้อดีตวุฒิสมาชิก
    เฟอร์ดินานด์ “บงบง” มาร์กอส จูเนียร์
    เป็นประธานาธิบดีและซารา ซิมเมอร์มัน ดูแตร์เต นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา เป็นรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องในการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม

    บงบงหรือมาร์กอส จูเนียร์ ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 31,629,783 คะแนนหรือ 58.77% ของการออกเสียงทั้งหมด นำคู่แข่งเลนี โรเบรโดถึงกว่า 16 ล้านเสียง และขึ้นทำหน้าที่ประธานาธิบดีคนที่ 17 ของฟิลิปปินส์ ขณะที่ ซาราได้ 32,208,417 เสียงหรือ 61.53% ได้เป็นรองประธานาธิบดี

    มาร์ติน โรมัลเดซ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้เทนราษฎรกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิสูงมาเป็นประวัติการณ์ 83.11% หรือมีผู้ใช้สิทธิกว่า 55 ล้านคน พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวฟิลิปปินส์ก้าวข้ามความแตกแยกและสนับสนุนผู้นำคนใหม่

    ประธานาธิบดีคนใหม่จะเข้าทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 30 มิถุนายน ขณะที่รองประธานาธิบดีจะเข้ารับหน้าที่วันที่ 19 มิถุนายน

    มาร์กอส จูเนียร์เป็นบุตรชายของอดีตประธานาธิบดีเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซีเนียร์ นับเป็นการกลับคืนสู่อำนาจของตระกูล
    มาร์กอสอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่เหตุนองเลือดในปี 1986 ที่ทำให้ตระกูลนี้ต้องเดินทางลี้ภัยออกนอกประเทศไปฮาวาย

    มาร์กอส จูเนียร์ อยู่ในวัย 64 ปี รู้จักกันดีในชื่อ บงบง จะรับช่วงต่อจากประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ในวันที่ 30 มิถุนายนและ อยู่ในตำแหน่งไปจนถึงปี 2028

    “ผมขอให้ทุกท่าน อวยพรให้ผมโชคดี” มาร์กอส จูเนียร์ซึ่งสวมเสื้อประจำชาติสีขาว กล่าวหลังจากการประกาศของรัฐสภา “ผมต้องการทำให้ประเทศดีขึ้น”

    ในการประกาศการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ภรรยาและบุตรชาย 3 คนของมาร์กอส จูเนียร์เข้าร่วมด้วย โดยที่ครอบครัวเขาชนะการเลือกตั้ง 1 ที่นั่งในเกือบทุกนัดนับตั้งแต่กลับเข้ามาในประเทศ รวมทั้งยังมีอิเมลด้า มาร์กอส มารดาวัย 92 ปีร่วมในพิธีด้วย

    มาร์กอส จูเนียร์ น่าจะคุมเสียงในสภาไว้ได้ เพราะพี่สาว ไอมี มาร์กอส เป็นวุฒิสมาชิก มีลูกชายคนหนึ่งอยู่ในสภา และมีลูกพี่ลูกน้อง คือ มาร์ติน โรมวลเดซ เป็นผู้นำเสียงข้างมากในสภา ที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสภา

    มาร์กอส จูเนียร์กล่าวอีกว่า จะให้ความสำคัญกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น การจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา อย่างไรก็ตามยังอยู่่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อมาดูแลเงินเฟ้อ ภาระหนี้และรักษาสมดุลนโยบายต่างประเทศระหว่างการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ และจีนที่มีอิทธิพลมากขึ้น

    แม้มาร์กอส จูเนียร์ ได้รับการคะแนนเลือกตั้งสูง แต่การปกครองฟิลิปปินส์ของเขาอาจจะสร้างความแตกแยกให้กับประเทศ จากกลุ่มผู้เห็นต่างที่ไม่พอใจและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากใช้กำลังและการล้างประวัติศาสตร์ให้กับตระกูลมาร์กอส

    ไอมี มาร์กอสกล่าวว่า ตระกูลมาร์กอส ดีใจที่มีโอกาสคืนสู่อำนาจอีกครั้ง

  • เลือกตั้งฟิลิปปินส์ 2022 ‘มาร์กอส จูเนียร์’ ทายาทอดีตผู้นำเผด็จการ จ่อเก้าอี้ประธานาธิบดี
  • การกลับคืนสู่อำนาจของตระกูลมาร์กอส ภาวะย้อนแย้งของคนชั้นกลางกับประชาธิปไตย
  • ฟิลิปปินส์ยกเลิกตรวจ RT-PCR นักเดินทางฉีดวัคซีนครบ

    ที่มาภาพ: https://www.manilatimes.net/2021/05/08/news/national/inbound-travelers-must-quarantine-for-14-days/871299/

    ชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับวัคซีนครบและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ไม่จำเป็นต้องแสดงผลการตรวจโควิดแบบ RT-PCR ที่เป็นลบอีกต่อไปเมื่อเดินทางมาถึงฟิลิปปินส์

    ในการแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ รักษาการรองโฆษกประธานาธิบดีและปลัดกระทรวงการสื่อสารมิเชล คริสทีน แอบลัน กล่าวว่า ระเบียบใหม่ได้รับอนุมัติจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการจัดการโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (IATF-EID) เมื่อวันพฤหัสบดี( 26 พ.ค.)

    ภายใต้คำสั่งที่ IATF-EID 168 ผู้โดยสารขาเข้าที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องแสดงการทดสอบ RT-PCR และต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มกระตุ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ ยังยกเว้นการตรวจแบบRT-PCR ก่อนออกเดินทาง สำหรับผู้ที่มีอายุ 12-17 ปีที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 สองครั้ง รวมทั้งผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีที่มาพร้อมกับพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ได้รับวัคซีนหรือได้รับเข็มกระตุ้นครบถ้วน

    คณะทำงาน IATF-EID ยังยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ผู้เดินทางเข้าต้องซื้อประกันเดินทางก่อนเข้าประเทศ จากเดิมที่ต้องซื้อประกันโควิด ด้วยทุนประกันขั้นต่ำ 35,000 ดอลลาร์ให้ครอบคลุมระยะเวลาที่พำนักในฟิลิปปินส์ แต่ผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนและพาสสปอร์ตที่ยังมีอายุใช้งานอย่างน้อย 6 เดือน

    สำหรับผู้เดินทางเข้าแบบชั่วคราว ต้องแสดงตั๋วโดยสารไปกลับจากต้นทาง หรือปลายทางไม่เกิน 30 วันนับตั้งแต่วันเดินทางเข้า

    สำหรับผู้เดินทางเข้าและไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบ หรือได้รับวัคซีนที่ไม่ผ่านการรับรอง ต้องแสดงผลตรวจแบบ RT-PCR ที่เป็นผลภายใน 48 ชั่วโมงหรือผลรวจ ATK เป็นลบและใบรับรองจากแพทย์อย่างเป็นทางก่อนเดินทางเข้า 24 ชั่วโมง หรือจากต้นทาง หรือจากการเปลี่ยนเครื่อง และต้องผ่านการกักตัวตามสถานที่ที่กำหนดจนกว่าจะมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบในวันที่ห้านับจากวันเดินทางเข้า จากนั้นต้องกักตัวที่บ้านไปจนถึงวันที่ 14

    ไทยจับมือเวียดนามคุมค้าข้าวตลาดโลก

    นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55068

    โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ผลักดันศักยภาพการส่งออกข้าวไทยต่อเนื่อง และยินดีที่ไทย-เวียดนามร่วมกันยกระดับราคาข้าวเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดโลกพร้อมเชิญชวนเข้าร่วมงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 “The Hybrid Edition” ขับเคลื่อนอาหารไทยสู่อาหารโลก

    วันที่ 27 พฤษภาคม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดผลักดันศักยภาพการส่งออกข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุตสาหกรรมข้าวไทยมีโอกาสและปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้เติบโต ทั้งด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานของข้าวไทยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาข้าวไทยสามารถแข่งขันได้และเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ได้กำชับภาครัฐและภาคเอกชนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขด้านการผลิตและการส่งออกอย่างเคร่งครัด เพื่อคงคุณภาพข้าวไทยในตลาดโลกให้ดีอยู่เสมอ

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ไทย-เวียดนามได้ร่วมกระชับความสัมพันธ์ด้านเกษตรกรรม โดยเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 ดร. ทรัน ทานห์ นาม (H.E. Mr. Tran Thanh Nam) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม ได้หารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยในกรอบการเพิ่มความร่วมมือหลากหลายประเด็น ได้แก่

      1. ความปลอดภัยด้านอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางเกษตร
      2. การสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์การเกษตร ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นว่าประเทศไทยมีสหกรณ์การเกษตรที่เข้มเข็งและมีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์ OTOP จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มาดูงานด้านสหกรณ์ในประเทศไทย
      3. การสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เครื่องมือทางการเกษตรแทนแรงงานคน
      4. การอบรมเกษตรกร และ
      5. ความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช โดยในการหารือในครั้งนี้ มุ่งหวังยกระดับราคาข้าวเพื่อเพิ่มรายได้แก่ชาวนา อีกทั้งเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดโลกหลังราคาข้าวมีอัตราที่ต่ำมากว่า 20 ปี สวนทางต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น

    ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เสนอความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อพัฒนาเกษตรกรในทุกมิติ อาทิ การสนับสนุนจัดตั้งสภายางพาราอาเซียน การเร่งรัดอนุญาตนำเข้ามะม่วงและเงาะจากไทย การส่งออกลูกไก่และไข่ฟักพ่อแม่พันธุ์ไปเวียดนาม หรือการเสนอเวียดนามเพิ่มความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ทั้งทางบกและทางเรือระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าทางการเกษตรสู่ประเทศจีน เป็นต้น

    นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมทุกฝ่ายในการร่วมกันทำงานเพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการผลิต และการส่งออกข้าวของไทย ตลอดจนสินค้าเกษตรอื่น ๆ ในตลาดโลก และยินดีที่ชาติสมาชิกอาเซียนร่วมกันผลักดันความร่วมมือเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการตลาดระหว่างภูมิภาค พัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการประเภทต่าง ๆ อีกทั้งขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยนายกฯ เชื่อมั่นในประสิทธิภาพอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่มีศักยภาพ ตลอดจนได้เชิญชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้าอาหารระดับโลก THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 “The Hybrid Edition” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 พฤษภาคม 2565 ณ อาคาร Challenger Hall 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารของไทยสู่การเป็นส่วนหนึ่งของอาหารโลก ตามแผนกลยุทธ์ Soft Power สร้างความต้องการสินค้าและบริการของไทย เพิ่มมูลค่าการส่งออกจากประเทศไทยไปทั่วโลกเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    อินเทลจะขยายการลงทุนในเวียดนาม

    ที่มาภาพ: https://english.thesaigontimes.vn/intel-plans-to-expand-investment-in-vietnam/

    อินเทลจะขยายธุรกิจและการลงทุนในเวียดนามในอนาคต นายแพทริก เกลซิงเจอร์ ซีอีโอ กล่าวระหว่างการเข้าคารวะนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ในฮานอยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม

    ซีอีโออินเทลกล่าวว่า เวียดนามเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะเศรษฐกิจมีพลวัต มีตลาดขนาดใหญ่ มีแรงงานทั้งด้านอุตสาหกรรมและการสร้างสรรค์ นอกเหนือจากสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติ

    ในช่วงวิกฤติโควิด เวียดนามได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการกับการระบาด ช่วยให้บริษัทสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

    อินเทลตัดสินใจที่จะขยายธุรกิจและการลงทุนในเวียดนาม โดยเน้นไปที่ไฮเทค เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แลกระชับความร่วมมือกับธุรกิจเวียดนาม เพื่อประสบความสำเร็จไปด้วยกันของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาระบบนิเวศของการลงทุนในเวียดนาม

    ผู้นำอินเทลเน้นย้ำว่า เวียดนามมีโอกาอย่างมากในการรวมกลุ่มกับห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและระดับโลกให้ รวมทั้งระบบนิเวศดิจิทัลให้มากขึ้น และยังได้ขอบคุณรัฐบาลที่สนับสนุนความก้าวหน้าของอินเทล และคาดว่าจะยังสนับสนุนเสนอเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอินเทล และบริษัทไฮเทครายอื่นๆ

    นายกรัฐมนตรีชื่นชมการลงทุนของอินเทลในเวียดนามตลอด 15 ปีที่ผ่านมา และแนะนำอินเทลเดินหน้าลงทุนในเวียดนามและสนับสนุนเวียดนามในการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล นวัตกรรม และสตาร์ตอัพ ตลอดจนสร้างศูนย์วิจัยในเวียดนาม รวมทั้งขอให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ อินเทลดำเนินขั้นตอนการลงทุนในเวียดนามให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วตามระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่

    เวียดนามตั้งเป้ามีท่าเรือประมง 184 แห่งภายในปี 2050

    ท่าเรือประมงตั่ม กวานในจังหวัดบิ่นห์ดิ่นห์ ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnam-to-have-184-fishing-ports-by-2050-draft-plan/229272.vnp

    ภายใต้แผนงานที่ร่างโดยกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท เวียดนามจะมี ท่าเรือประมงทั้งหมด 184 แห่ง สามารถรองรับปลาได้ประมาณ 3 ล้านตันต่อปี และที่หลบภัยไต้ฝุ่นให้กับเรืออีก 160 แห่งภายในปี 2050

    ภายในปี 2030 จะมีที่หลบพายุ 160 แห่ง ประกอบด้วย 30 แห่งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัดอีก 130 แห่ง สามารถรองรับเรือประมงได้ประมาณ 90,600 ลำ ท่าเรือและที่หลบภัยนี้จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,038 เฮกตาร์และพื้นผิวน้ำรวม 5,079 เฮกตาร์

    ระหว่างปี 2564-2573 เวียดนามมีแผนจะสร้างท่าเรือประมงชั้นหนึ่ง 5 แห่งสำหรับศูนย์กลางการประมงทั่วประเทศ ได้แก่ ไฮฟอง ดานัง คั้ญฮหว่า บาเหรี่ยะ-หวุงเต่า และเกียนซาง นอกจากนี้ยังจะจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านลอจิสติกส์ที่ท่าเรือประมงและที่หลบภัยพายุ โดยงบประมาณ 60.37 ล้านล้านด่อง (2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะจัดสรรสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ท่าเรือประมงและที่พักพิงสำหรับพายุ

    จากท่าเรือประมง 125 แห่งทั่วประเทศเวียดนาม ปัจจุบัน 68 แห่งเปิดดำเนินการแล้ว โดยประกอบด้วยท่าเรือชั้นหนึ่ง 3 แห่ง ชั้นสอง 54 แห่ง และท่าเรือชั้นสาม 11 แห่ง ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือไม่มีสิทธิ์เปิด นอกจากนี้ยังมีศูนย์หลบภัยไต้ฝุ่น 74 แห่ง รองรับเรือได้ทั้งหมด 50,885 ลำ ตามที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท

    รถไฟบรรทุกสินค้าขบวนแรกจากฉงชิ่งสู่เมียนมาวิ่งแล้ว

    ที่มาภาพ: https://www.gnlm.com.mm/chongqing-lincang-myanmar-first-freight-train-leaves-chongqing-for-myanmar/
    รถไฟสายระหว่างประเทศชิโน-เมียนมา (ฉงชิ่ง-หลิงซาง-เมียนมา)ขบวนแรกได้แล่นออกจากท่าเรือฉงชิ่งของสถานีอวี้ฉิงในฉงชิ่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม เพื่อไปยังเมียนมา

    สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมาให้ข้อมูลว่า รถไฟขบวนนี้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน 60 ตู้ รวมถึงเครื่องจักรกลหนัก อุปกรณ์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ที่ขนส่งโดยรถไฟจะส่งต่อไปมัณฑะเลย์โดยรถบรรทุกในสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน

    การขนส่งสินค้าจะถึงมัณฑะเลย์ในอีก 15 วันหลังจากนี้ผ่านด่านชายแดนหลิงซางในมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นการขนส่งทางถนนและทางรถไฟร่วมกัน

    ระยะเวลาในการขนส่งระหว่างฉงชิ่งและเมียนมาจะย่นระยะเวลาจากแบบเดิม 20 วัน ซึ่งจะช่วยลดการไหลของเงินทุนของสินค้าลง 20%

    รถไฟบรรทุกสินค้าระหว่างประเทศเป็นเส้นทางรถไฟและถนนที่ผสมผสานระหว่างเมียนมาและฉงชิ่งในจีนเป็นเส้นทางแรก วัสดุที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์และสิ่งอื่น ๆ จะถูกขนส่งจากฉงชิ่งไปยังหลิงซางโดยรถไฟ และจากด่านชินชเวฮอว์ไปยังมัรฑะเลย์โดยรถบรรทุก

    เส้นทางดังกล่าวจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่เพื่อส่งเสริมการค้าทวิภาคีระหว่างเมียนมาและจีน

    หลังจากเริ่มดำเนินการรถไฟสายด่วนแล้ว ขั้นตอนกรมศุลกากรและการสำแดงศุลกากร การตรวจสอบ สินค้าคงคลังของการขนส่ง และใบอนุญาตสามารถทำได้ในจุดเดียว ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการผ่านด่านอีก ทำให้สามารถผ่านได้โดยตรงและประหยัดเวลาได้ถึง 24 ชั่วโมง เวลาเดินทางไม่ถึง 1-2 วันและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 200 หยวนต่อตู้คอนเทนเนอร์

    บริการขนส่งด่วนนี้ขนไปสู่ประเทศลาว ไทย มาเลเซีย และเมียนมา และขยายไปยังภูมิภาคยูเรเซียกลาง รถไฟสายด่วนนี้ให้บริการจากจีนไปลาว 54 ครั้งระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 1,422 ตู้ และผลิตภัณฑ์มูลค่า 250 ล้านหยวน

    รัฐบาลทหารเมียนมาห้ามภาครัฐใช้ดอลลาร์เพื่อการชำระเงินในประเทศ

    ที่มาภาพ: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-currency-value-per-usd-increases-after-cbm-instruction

    รัฐบาลทหารเมียนมาได้ขอให้ภาครัฐระงับการใช้เงินดอลลาร์เพื่อการชำระเงินในประเทศ เพื่อลดการใช้เงินสกุลต่างประเทศในเมียนมา

    ธนาคารกลางแห่งเมียนมาได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนเมื่อวันพุธ (25 พ.ค.) ถึงกระทรวง หน่วยงานของรัฐและเทศบาลทุกแห่งให้ใช้เฉพาะจั๊ตซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศ สำหรับการบริโภคภายในประเทศและการชำระเงินของหน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจ

    รองผู้ว่าการธนาคารกลาง วิน ทอว์ แจ้งกระทรวงและหน่วยงานท้องถิ่นให้รายงานธนาคารกลาง ถึงการหมุนเวียนคำสั่งระหว่างหน่วยงานต่างๆ

    “เงินจั๊ตจะต้องใช้ในการชำระเงินภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราพบว่ามีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯในโรงแรม ร้านอาหาร โรงเรียนนานาชาติ ร้านขายของที่ระลึก และการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แก่ชาวต่างชาติ” วิน ทอว์ กล่าวในแถลงการณ์ และเสริมว่า หน่วยงานของรัฐก็ใช้เงินดอลลาร์ในกิจกรรมบางอย่าง เช่น การเช่าที่ดิน การลงทุนในธุรกิจประกันภัย และรายได้จากการร่วมทุน

    การใช้สกุลเงินต่างประเทศในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการภายในประเทศ จะทำความต้องการเงินดอลลาร์สูงขึ้น และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ธนาคารกลางระบุ เมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารกลางได้สั่งให้ผู้ถือสกุลเงินต่างประเทศแลกเป็นเงินจั๊ตภายในหนึ่งวันทำการหลังจากได้รับเงิน แต่ต่อมาได้ยกเว้นชาวต่างชาติส่วนใหญ่และผู้ค้าบางส่วนหลังจากที่มีการตอบโต้จากต่างประเทศ