ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup ลาวทำรายได้จากการส่งออกไฟฟ้า 2 พันล้านดอลลาร์

ASEAN Roundup ลาวทำรายได้จากการส่งออกไฟฟ้า 2 พันล้านดอลลาร์

7 พฤศจิกายน 2021


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 31 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน 2564

  • ลาวทำรายได้จากการส่งออกไฟฟ้า 2 พันล้านดอลลาร์
  • ลาวคาดรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 2,649 เหรียญสหรัฐ
  • ลาวจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรตามแนวรถไฟและทางด่วน
  • เวียดนามไฟเขียวโครงการพัฒนาระบบชำระเงินไร้เงินสด 2564-2568
  • เมียนมาตั้งเพดานใช้เงินสดไม่เกิน 20 ล้านจั๊ดต่อครั้ง
  • ฟิลิปปินส์คงตำแหน่งตลาดรถยนต์ที่โตเร็วสุดในอาเซียน
  • ลาวโกยรายได้จากการส่งออกไฟฟ้า 2 พันล้านดอลลาร์

    ที่มาภาพ: https://www.rfa.org/english/news/laos/electric-03112021192827.html
    ลาวทำรายได้จากการส่งออกไฟฟ้าถึง 2,012 ล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ดร.สินไซ สีพันดอน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน รายงานข้อมูลต่อที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติ
    การขายไฟฟ้าให้กับประเทศอื่น ๆ มีปริมาณ 26,972 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง คิดเป็น 80.75% ของเป้าหมายที่ 33,400 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาและเพิ่มขึ้น 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดร.สอนไซ กล่าว

    นอกจากนี้มีการจ่ายไฟฟ้าไปยังตลาดภายในประเทศจำนวน 7,253 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มูลค่า 7,547 พันล้านกีบ คิดเป็น 80% ของแผน 9,021 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่วางไว้

    ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มีการผลิตไฟฟ้า 30,723 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง คิดเป็น73.29% ของ 41,916 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่วางแผนไว้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ลาวจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 11,305 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มูลค่า 5,939 พันล้านกีบ และคาดว่าปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจะบรรลุเป้าหมายตามแผน

    ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของลาว โดยเฉพาะจากการขายให้กับประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา

    กระทรวงพลังงานและบ่อแร่คาดการณ์ว่าโรงไฟฟ้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 79% สำหรับตลาดในประเทศและส่งออกในปี 2564-2568 เมื่อเทียบกับที่ผลิตได้ในปี 2559-2563

    กระทรวงคาดการณ์ว่าจะมีการผลิต 276,096 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มูลค่า 140,879 พันล้านกีบภายใน 5 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าจะทำให้การนำเข้าไฟฟ้าลดลงเหลือ 2,880 เมกะวัตต์ และทำให้ลาวส่งออกได้อย่างน้อย 5,000 เมกะวัตต์

    ความต้องการไฟฟ้าในลาวคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.1-10.7% ต่อปีซึ่งหมายถึงว่าต้องมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 2,132 เมกะวัตต์เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการอย่างน้อย 2,880 เมกะวัตต์ในช่วงความต้องการสูงสุด

    ลาวจะจัดหาไฟฟ้า 28,628 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือมีมูลค่ารวม 2,431 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 28,176 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งมีมูลค่า 1,731 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะซื้อจากโรงงานของเอกชน และอีกประมาณ 3,000 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มูลค่า 172 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากการ นำเข้า

    ปัจจุบันลาวมีโรงไฟฟ้ามากกว่า 80 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกันมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 53,000 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ถ่านหิน ชีวมวล และพลังงานแสงอาทิตย์ จากข้อมูลของกระทรวงที่รายงานเมื่อเดือนมกราคมปีนี้

    ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้ามากขึ้นและกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้สำหรับโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังก่อสร้างโรงใหม่

    กระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในประเทศปัจจุบันมีมากเกินความต้องการ โดยจ่ายพลังงานให้กับภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และภาคส่วนอื่นๆ
    ทั้งนี้ประมาณ 95% ของครัวเรือนทั่วประเทศมีไฟฟ้าใช้ โดย 93% ของทุกหมู่บ้านมีไฟฟ้าและเมืองหลวงของจังหวัดและเมืองหลักอื่นๆ ทั้งหมดเชื่อมต่อกับสายส่ง

    ลาวคาดรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 2,649 เหรียญสหรัฐ

    ที่มาภาพ: http://kpl.gov.la/En/Detail.aspx?id=62887

    ดร.สอนไซ สีพันดอน รองนายกรัฐมนตรี รายงานต่อที่ประชุมสามัญครั้งที่ 2 ของสมัชชาแห่งชาติว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของลาว(GDP) คาดว่าจะแตะ 180 ล้านล้านกีบในปีนี้ เพิ่มขึ้น 3% (ประมาณการที่สมัชชาแห่งชาติเห็นชอบ 4%) โดยรายได้ต่อหัวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,649 เหรียญสหรัฐ สูงกว่า 2,536 เหรียญสหรัฐที่ได้สมัชชาแห่งชาติเห็นชอบ

    ดร.สอนไซ สีพันดอน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนด้วย ได้รายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในช่วง 9 เดือนแรกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้จะถูกขับเคลื่อนโดยภาคธุรกิจที่ทำสัญญาไว้แล้ว ภาคสารสนเทศและการสื่อสารและภาคไฟฟ้าที่มีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่สำคัญ ได้แก่ น้ำเทิน 2 น้ำสาน 3A และน้ำสาน 3B น้ำทา 1 และน้ำลิก 1ที่ผลิตได้เกินเป้า

    ภาคเหมืองแร่ ค้าปลีก และค้าส่ง ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจจะกลบจากการหดตัว 28.6% ของอุตสาหกรรมที่พักและร้านอาหาร จากการระบาดของโควิด-19 และภาคขนส่งและคลังสินค้าที่หดตัว 0.7% แต่คาดวาภาคการขนส่งสาธารณะจะเติบโตในไตรมาสที่ 4 จากการเปิดเดินรถไฟลาว-จีน

    อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 3.32% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ วัตถุดิบและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของคู่ค้าหลัก อุปทานต่ำ และเงินดีอ่อนค่า 6.55% เมื่อเทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ

    รองนายกรัฐมนตรีรายงานว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศยังเทียบเท่าการนำเข้าได้ 3.67 เดือน (สมัชชาแห่งชาติเห็นชอบที่ ไม่น้อยกว่า 3 เดือน) โดยยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น 19.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดสินเชื่อของ ภาคการธนาคารเพิ่มขึ้น 4.9% และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 2.8% ((สมัชชาแห่งชาติเห็นชอบที่ระดับต่ำกว่า 3%)

    “แม้จะเผชิญปัญหามากมาย แต่รัฐบาลก็สามารถออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์และสมเหตุสมผลเพื่อส่งเสริมการจัดเก็บรายได้และรับรองการจัดการค่าใช้จ่าย” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

    การจัดเก็บรายได้ทะลุ 16 ล้านล้านกีบ คิดเป็น 59% ของแผนรายปี รวมถึงรายรับในประเทศ 14.4 ล้านล้านกีบ เท่ากับ 57% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
    การจัดเก็บรายได้ในปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 26.9 ล้านล้านกีบ คิดเป็น 98% ของเป้าหมายที่อนุมัติในปี 2564

    รายจ่ายใน 3 ไตรมาสแรกแตะ 16.9 ล้านล้านกีบ คิดเป็น 54 % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยรายจ่ายส่วนกลางแตะ 11 ล้านล้านกีบ คิดเป็น 49% ของแผน และรายจ่ายต่างจังหวัดประมาณ 5.8 ล้านล้านกีบ เท่ากับ 64% ของ กำหนดเป้าหมาย

    ในช่วง 9 เดือนแรกมีการนำเข้าและส่งออกมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการนำเข้าและส่งออกไฟฟ้าโดยประมาณ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    การส่งออกมีมูลค่า 5.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 85% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพิ่มขึ้น 26.8% การนำเข้าอยู่ที่ 4.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 69.7% ของจำนวนที่อนุมัติ ส่งผลให้เกินดุลการค้า 1.16 พันล้านดอลลาร์

    รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า การนำเข้าและส่งออกในปีนี้คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ได้รับอนุมัติจากสมัชชาแห่งชาติ เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินการมากขึ้นในการกำหนดนโยบายที่เอื้ออำนวยเพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อให้การนำเข้าและส่งออกและภาคบริการยังดำเนินการได้ตามปกติ

    ลาวจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรตามแนวรถไฟและทางด่วน

    ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/LaosChinaRailway/photos/4200585910025824
    กระทรวงเกษตรและป่าไม้ได้กำหนดมาตรการพัฒนาการเกษตรที่สำคัญสำหรับปี 2565 โดยเร่งการจัดสรรพื้นที่ผลิตทางการเกษตรทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญในจังหวัดตามแนวรถไฟลาว-จีนและทางด่วน และจังหวัดที่มีศักยภาพ

    นายเพชร พรมพิพัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ กล่าวในการประชุมสามัญครั้งที่ 2 ของสมัชชาแห่งชาติ ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ว่า มาตรการนี้จัดทำให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของพืชผลและสัตว์ที่จะทำการเกษตรเพื่อการค้าและการส่งออก เพื่อดึงดูดการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยกำหนดนโยบายที่เอื้ออำนวยและสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ยังจะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกำลังการผลิต โดยจัดลำดับความสำคัญของการผลิตเชิงพาณิชย์ กลุ่มการผลิตทางการเกษตร สมาคมและสหกรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งเสริม การเข้าถึงทุนและข้อมูลทางการตลาด
    แผนนี้จะเน้นไปที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูป โดยกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต เช่น โรงสีข้าว โรงเลื่อย เครื่องอบแห้ง โรงงานปุ๋ยหมัก โรงฆ่าสัตว์ และสถานีขนถ่ายสินค้าที่สถานีรถไฟ และใช้เทคนิคการผลิตที่ทันสมัยเพื่อลดต้นทุน

    “เราจะประสานงานกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปรับปรุงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเพิ่มการส่งออก โดยเฉพาะไปยังจีน” นายเพชร กล่าว “ในปัจจุบันและอนาคต กระทรวงเกษตรกรรมและป่าไม้จะมุ่งเน้นการส่งเสริมการผลิตปศุสัตว์และการเพาะปลูกเพื่อเป็นการประกันการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชนบทและชุมชนห่างไกล”

    เวียดนามไฟเขียวโครงการพัฒนาระบบชำระเงินไร้เงินสด 2564-2564

    ที่มาภาพ:https://en.vietnamplus.vn/project-on-cashless-payment-development-for-202125-approved/213977.vnp

    รองนายกรัฐมนตรี เล มินห์ ข่าย ได้ลงนามอนุมัติ โครงการพัฒนาการชำระเงินแบบไร้เงินสดในเวียดนามในช่วงปี 2564-2568

    โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดในระบบเศรษฐกิจที่เติบโตสูง ปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติของผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองและค่อย ๆขยายออกไปในพื้นที่ชนบทห่างไกลและพื้นที่สูง และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินสด

    โดยตั้งเป้าหมายว่ามูลค่าของการชำระเงินที่ไม่ใช่เงินสดจะสูงกว่า GDP ถึง 25 เท่า สัดส่วนของการชำระเงินในอีคอมเมิร์ซจะคิดเป็น 50% ภายในปี 2568

    นอกจากนี้ 80% ของผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปจะมีบัญชีธุรกรรมที่ธนาคารหรือสถาบันที่ได้รับอนุญาตอื่นๆ

    อัตราการเติบโตเฉลี่ยในด้านปริมาณและคุณภาพของธุรกรรมการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดคาดว่าจะสูงถึง 20-25%ต่อปี

    ธุรกรรมที่ทำผ่านโทรศัพท์มือถือแตะ 50-80% ต่อปี โดยมูลค่าธุรกรรมขยายตัว 80-100%ต่อปี และผ่านทางอินเทอร์เน็ตเติบโต 35-40%ต่อปี
    สัดส่วนการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของทั้งบุคคลและองค์กรที่คาดว่าจะสูงถึง 40%

    ในด้านการบริการสาธารณะ สถานศึกษาในเมืองเกือบทั้งหมดจะรับชำระค่าเล่าเรียนโดยไม่ใช้เงินสด และมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยจะรับชำระค่าเล่าเรียนผ่านเว็บท่าบริการสาธารณะของประเทศ

    ในขณะเดียวกัน คาดว่าจะมีการชำระเงินด้วยแนวทางนี้ใน 60% ของสถานพยาบาลในเขตเมือง และ 60% ของผู้รับบำนาญและประกันสังคมและผู้รับเงินช่วยเหลือการว่างงานจะได้รับการชำระเงินด้วยวิธีไร้เงินสด

    มูลค่าอีคอมเมิร์ซของเวียดนามจะเกิน 11.8 พันล้านดอลล์

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnam-s-e-commerce-forecast-to-surpass-11-8-billion-usd/213990.vnp

    ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนามจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงหลังเกิดโรคระบาด โดยรายได้จะมากกว่าปีที่แล้ว

    ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนามภายใต้กรอบงาน Techfest Vietnam 2021ที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เชี่ยวชาญได้เปิดเผยข้อมูล ว่า าอีคอมเมิร์ซของเวียดนามในปีที่แล้ว มีมูลค่า 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18%

    เหงียน ทิ ทั่น ธุย ผู้บริหารแผนกอีคอมเมิร์ซของ Voso E-commerce Platform กล่าวว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามมีอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    อีคอมเมิร์ซคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากควบคุมการระบาดของโควิด -19ได้ และก่อให้เกิดแนวโน้มการบริโภคใหม่ ความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคระบาด

    ปัจจุบัน ประชากรเวียดนามมากกว่า 70% เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยเกือบ 50% ของผู้บริโภคได้ลองซื้อของออนไลน์ และ 53% ใช้ e-wallets และการชำระเงินออนไลน์

    ธุย กล่าวว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ จากการที่ลดกิจกรรมการจับจ่ายและหันมาสนใจสินค้าจำเป็นและสนใจสินค้าเวียดนามแทน

    ตราน ทิ ดุง หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมเทคโนโลยีของสมาคมธุรกิจโลจิสติกส์เวียดนาม กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของได้สร้างโอกาสที่ดีในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม อีคอมเมิร์ซของเวียดนามยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น ความไว้วางใจของผู้บริโภคเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ รูปแบบการจัดส่งและการชำระเงิน ความปลอดภัยของข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง

    เล ทิ มั่น อันห์ หัวหน้าแผนกขายไปรษณีย์อีคอมเมิร์ซของ Vietnam Post กล่าวว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดคาดว่าจะต่อเนื่องในอนาคต การเติบโตนี้จะไม่เพียงแต่นำมาซึ่งโอกาสสำคัญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความท้าทายสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มโลจิสติกส์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดที่เพิ่มขึ้น

    ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศน้อยมาก โดยปัจจุบัน มีธุรกิจเพียง 11%เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและติดตามสินค้า การจัดส่งและคลังสินค้า ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการไม่มีกรอบทางกฎหมายสำหรับโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ

    เมียนมาตั้งเพดานใช้เงินสดไม่เกิน 20 ล้านจั๊ดต่อครั้ง

    ที่มาภาพ: https://www.frontiermyanmar.net/en/the-currency-crisis-and-why-we-should-brace-for-stagflation/
    ธนาคารกลางเมียนมาร์ออกประกาศฉบับที่ 43/2564 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564โดยใช้อำนาจตามมาตรา 121 แห่งกฎหมายธนาคารกลางแห่งเมียนมา กำหนดเพดานการชำระเงินด้วยเงินสด

    ธนาคารกลางระบุว่า เพื่อให้ระบบการชำระเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การชำระเงินด้วยเงินสดสำหรับการซื้อ การขาย และการโอนสินค้าพื้นฐาน บริการ หรือการชำระเงินประเภทอื่น ๆ ด้วยเงินสดไม่ควรเกิน 20 ล้านจ๊าดต่อครั้ง

    สำหรับการชำระเงินใด ๆ ที่เกินจากจำนวนนี้ ต้องใช้วิธีการชำระเงินดิจิทัลโดยใช้ระบบธนาคาร เช่น โมบายแบงกิ้ง ชำระเงินผ่านธนาคารทางอินเทอร์เน็ต ชำระด้วยบัตรธนาคาร ชำระด้วยเช็ค/สั่งจ่าย (PO) โอนบัญชี ชำระเป็นเงินสดที่ธนาคาร และต้องใช้หลักฐานการชำระเงิน

    ฟิลิปปินส์คงตำแหน่งตลาดรถยนต์ที่โตเร็วสุดในอาเซียน

    ที่มาภาพ: https://www.philstar.com/business/2021/11/04/2138751/philippines-remains-2nd-fastest-vehicle-market-asean
    ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดที่เติบโตเร็วเป็น อันดับ 2 สำหรับการประกอบและการขายยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลักในช่วง 9 เดือนถึงกันยายน

    ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แสดงให้เห็นว่า มีการผลิตยานยนต์ 63,341 คันในฟิลิปปินส์ ณ สิ้นเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 35.8% จาก 46,628 คันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ฟิลิปปินส์ตามหลังอินโดนีเซียซึ่งมีการเติบโตของการผลิตยานยนต์สูงสุดที่ 64.4% ในช่วง 9 เดือน ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอื่นๆ ที่มีการส่งออกยานยนต์สูงขึ้นในช่วงเดียวกัน ได้แก่ ไทย (25.9%) และเวียดนาม (13.7%) ส่วนประเทศที่ผลิตได้น้อย ได้แก่ เมียนมา (-88.1%) และมาเลเซีย (-3.7%)
    อาเซียนจำหน่ายรถยนต์ 2.49 ล้านคันในช่วง 9 เดือน เพิ่มขึ้น 29.7% จาก 1.92 ล้านคันในปีที่แล้ว

    ฟิลิปปินส์ยังครองอันดับ 2 ในด้านยอดขายยานยนต์ โดยขายได้ 191,605 คัน ณ สิ้นเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 29.5%จาก 148,012 คันในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

    อินโดนีเซียรั้งอันดับหนึ่งอีกครั้งจากยอดขายยานยนต์ที่พุ่งขึ้น 68.7% ประเทศที่มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น ได้แก่ สิงคโปร์ (19.5%) และเวียดนาม (5.5%)
    ส่วนประเทศที่ยอดขายรถยนต์ลดลง ได้แก่ เมียนมา (-51.2%) มาเลเซีย (-7.3%) และไทย (-0.5%)

    ณ สิ้นเดือนกันยายน รถยนต์ทั้งหมดที่จำหน่ายในอาเซียนเพิ่มขึ้น 17.2% เป็น 1.91 ล้านคัน จาก 1.63 ล้านคันในปีที่แล้ว จากชุดข้อมูลเดียวกันนี้แสดงให้เห็นว่าฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดชั้นนำสำหรับการผลิตและการขายรถจักรยานยนต์เนื่องจากมีการเติบโตสูงสุดในอาเซียน

    รถจักรยานยนต์ที่ประกอบในโรงงานของฟิลิปปินส์เติบโต 55.5% เป็น 639,268 คันในช่วง 9 เดือนจาก 411,143 คันในปีที่แล้ว

    การผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยเพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่มาเลเซียเพิ่มขึ้น 0.1% โดยรวมอาเซียนผลิตรถจักรยานยนต์ 2.24 ล้านคันในช่วง 9 เดือนจาก 1.85 ล้านคันในปีที่แล้ว

    ยอดขายรถจักรยานยนต์ของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 29.2% เป็น 1.04 ล้านคันในช่วงม.ค.-ก.ย. จาก 807,020 คันในปีที่แล้ว สิงคโปร์มาเป็นอันดับสองด้วยยอดขายรถจักรยานยนต์เติบโต 15.2% ขณะที่ไทยรั้งอันดับ 3 โดยเพิ่มขึ้น 4.9% แต่ยอดขายรถจักรยานยนต์ของมาเลเซียลดลง 2%

    ณ สิ้นเดือนกันยายน ยอดขายรถจักรยานยนต์ทั้งหมดในอาเซียนเพิ่มขึ้น 12.5% เป็น 2.58 ล้านคัน จาก 2.29 ล้านคันในปีที่แล้ว