ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup ผู้นำอาเซียนกล่าวอะไรกับประชาชนในวาระปีใหม่

ASEAN Roundup ผู้นำอาเซียนกล่าวอะไรกับประชาชนในวาระปีใหม่

2 มกราคม 2022



ASEAN Roundup ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2564-1 มกราคม 2565

ผู้นำอาเซียนกล่าวอะไรกับประชาชนในวาระปีใหม่

  • นายกฯลี เซียน ลุง ชี้ 2565 ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของสิงคโปร์-กลับมาเชื่อมต่อกับโลก
  • ประธานาธิบดีโจโกวีขอให้ทำงานหนักเพื่อวิสัยทัศน์Advanced Indonesia
  • นายกฯมาเลเซียย้ำประเทศกลับอยู่บนเส้นทางเติบโตระยะยาวและ ESG
  • ประธานประเทศลาวเรียกร้องร่วมมือหนุนยุทธศาสตร์ชาติ
  • ประธานาธิบดีดูแตร์เตขอให้ตั้งเป้าหมายไว้สูงเพื่อทำสิ่งที่ดีขึ้น
  • นายกฯลี เซียน ลุง ชี้ 2565 ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของสิงคโปร์และกลับมาเชื่อมต่อกับโลก

    ลีเซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่มาภาพซhttps://www.channelnewsasia.com/singapore/pm-lee-hsien-loong-2022-new-year-message-transition-economy-gst-covid19-2409271

    ปี 2565 จะเป็น “ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และสิงคโปร์กลับมาเชื่อมโยงกับโลก นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ระบุใน สาส์นปีใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (31 ธ.ค.2564)

    ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คาดว่าจะเติบโต 3-5%ในปี 2565 นายลีกล่าวว่าเศรษฐกิจของสิงคโปร์ “จะเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก”เว้นแต่ว่าจะมีชะงักงันอีกครั้ง

    “เราจะค่อยๆ ยกเลิกมาตรการสนับสนุนฉุกเฉินในขณะที่ธุรกิจฟื้นตัว แม้บางภาคส่วนจะใช้เวลานาน”

    “เราจะขยายการเดินทางข้ามพรมแดนอย่างปลอดภัยและเชื่อมต่อกับโลกอีกครั้ง หากโอไมครอนไม่สร้างผลกระทบ

    “เราจะเร่งดำเนินการเพื่อดึงดูดแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นที่ต้องการเข้ามาจำนวนมาก และจะทำให้ผู้ที่มีความสามารถระดับนานาชาติรู้สึกว่าได้รับต้อนรับและสามารถเสริมชาวสิงคโปร์ได้”

    รัฐบาลกำลัง “วางแผนล่วงหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว” ตัวอย่างเช่น จะเร่งการดำเนินการในการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพื่อเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ และช่วยให้บริษัทปรับโครงสร้างใหม่และพนักงานได้ยกระดับทักษะ เพื่อให้คนงานยังสร้างผลงานได้และมีงานทำตลอดอาชีพการงาน รัฐบาลจะลงทุนในคนงานร่วมกับธุรกิจและขบวนการแรงงาน

    นอกจากนี้ จะแสวงหาพื้นที่การเติบโตใหม่ ๆ รวมไปถึงในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว ต่อยอดจาก Smart Nation ในปัจจุบัน และแผนสีเขียวของสิงคโปร์ 2030(Singapore Green Plan 2030)

  • มาตรการแรงเพื่อการช่วยชีวิต ความเป็นอยู่

  • นายลีชี้ว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เป็น “การต่อสู้ที่ยาวนานและหนักหน่วง”

    รัฐบาลได้ใช้มาตรการแรงในการปกป้องชีวิตและการดำรงชีวิต โดยชี้ไปที่การปิดพรมแดนของสิงคโปร์เป็นครั้งแรก

    “เราใช้เงินสำรองที่ผ่านมาของเราจำนวนมากเพื่อสนับสนุนคนงานและธุรกิจ เราคิดค้นและปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้รูปแบบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว”

    สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบการรักษาพยาบาลของสิงคโปร์รับมือได้และป้องกัน “การเสียชีวิตจำนวนมาก”

    งบประมาณของรัฐบาลยัง “ช่วยให้มีงานทำและหนุนเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแรง” “ในทุกก้าวย่างของแนวทางนี้ ชาวสิงคโปร์ผนึกความแข็งแกร่งและตั้งใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หลายคนทำเกินกว่าหน้าที่”

    “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในแนวหน้าและบุคลากรทางการแพทย์ของเรา ได้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา”

    “ธุรกิจและวีรบุรุษที่เกิดขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่ไม่เปิดเผยตัว ได้แสดงความกล้าหาญและมีจิตวิญญาณสาธารณะ และทำให้สิงคโปร์เดินหน้าต่อไปและทุกคนปลอดภัย”

    นายลียังเน้นย้ำถึงความสำเร็จของนักกีฬาชาวสิงคโปร์ ทั้ง 2 เหรียญทองของนักว่ายน้ำในโตเกียวพาราลิมปิกส์ เช่นเดียวกับชัยชนะของแชมป์บิลเลียดและโบว์ลิ่ง

    “ปีนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง สิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและมุ่งมั่นใน Suzuki Cup และโลห์ เคียน ยิว กลายเป็นแชมป์แบดมินตันโลกคนแรกของเรา”

    “ในช่วงเวลาที่ท้าทายเหล่านี้ Team Singapore ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราด้วยจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา และทำให้เราภาคภูมิใจ”

    อย่างไรก็ตาม นายลีเตือนว่าการต่อสู้กับ โควิด -19 ยังไม่จบ เนื่องจากไวรัสกลายพันธุ์สายใหม่โอไมครอนทำให้เกิดความไม่แน่นอนอีกครั้ง

    “โชคดีที่ตอนนี้เราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อสองปีก่อน”

    “เราได้เริ่มการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และเริ่มให้วัคซีนแก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ที่จะจัดการความท้าทายด้านสาธารณสุขให้ดีขึ้น ขณะที่ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเรา”

    “ในขณะที่เราเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบของโอไมครอน เรามั่นใจลึกๆ ว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า”

    นายลีกล่าวว่า งานเร่งด่วนของรัฐบาลมีมากกว่าการจัดการโควิด-19 โดยชี้ว่าสิงคโปร์ต้องสร้างการเติบโตใหม่ งานใหม่ และความเจริญรุ่งเรืองในเศรษฐกิจหลังเกิดโรคระบาด ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมระดับโลกและระดับภูมิภาคที่มีเสถียรภาพ และศูนย์กลางของด้านนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน

    “ความแตกต่างระหว่างมหาอำนาจทั้งสองยังคงมีอยู่มากมายและลึก แต่การมีส่วนร่วมระดับสูงเมื่อเร็วๆ นี้และความร่วมมือเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ทำให้มีความหวัง”

    สำหรับสิงคโปร์เองจะยังคงมีส่วนร่วมกับพันธมิตร “ทั้งใกล้และไกล” นายลีกล่าว

    “เราจะดำเนินการเปิดเสรีการค้าและการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาคต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนของเรา ซึ่งรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ครอบคลุม(Regional Comprehensive Economic Partnership:RCEP) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันแรกของปี 2565”

  • การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไม่ใช้วิกฤติสุดท้ายที่เป็นบททดสอบ

  • นายลี กล่าวถึงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ว่าเป็น “เบ้าหลอมสำหรับชาวสิงคโปร์รุ่นนี้” การระบาด “ได้แสดงให้เราเห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกัน”

    “นี่ไม่ใช่วิกฤติสุดท้ายที่จะทดสอบเรา เราจะต้องเผชิญกับการทดสอบและการพิสูจน์มากขึ้นในเส้นทางการสร้างชาติของเรา”

    “เราต้องต่อต้านกระแสภายนอกอันทรงพลังที่จะกดดันให้เกิดรอยร้าวในสังคมของเรา และไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้มาแบ่งแยกเรา”

    “ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นหลัง ๆเติบโตมาพร้อมมุมมองและความคาดหวังใหม่ๆ บรรทัดฐานทางสังคมของเราจะพัฒนาขึ้น เราควรทำเช่นนี้ด้วยความระมัดระวัง โดยคงไว้ซึ่งค่านิยมหลักที่ทำให้เราเป็นคนสิงคโปร์”

    ในการทำเช่นนั้น สิงคโปร์จะต้องเสริมสร้างฉันทามติทางสังคมและอัตลักษณ์ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความพยายามในการสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และในหมู่ชาวสิงคโปร์ที่มีภูมิหลังที่ต่างกันทั้งหมด

    “แม้ท่ามกลางการระบาดใหญ่ เราไม่ได้ละเลยงานสำคัญนี้”

    “เราอนุญาตให้พยาบาลมุสลิมในโรงพยาบาลของรัฐใส่ผ้าคลุมศรีษะหรือ tutong( tutong คือรูปแบบของฮิญาบที่มีกระบังหน้าโค้งแบบเย็บติด)กับเครื่องแบบ

    “เรากำลังเสริมสร้างความเป็นธรรมในที่ทำงานและสนับสนุนผู้หญิงอย่างแข็งขัน ตลอดจนปรับปรุงการคุ้มครองและความเพียงพอในการเกษียณอายุสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ”

    “ก้าวไปข้างหน้า เราจะพยายามทำให้สัญญาประชาคมของเราแข็งแกร่งขึ้น – การแก้ไขรอยร้าวที่ลึกจากการระบาดใหญ่ ยกระดับผู้ที่อยู่ข้างหลัง เสริมสร้างสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ การดูแลสุขภาพจิตของผู้คน และตอบสนองความต้องการของสังคมสูงอายุ

    “นั่นคือเส้นทางสู่สิงคโปร์ที่เป็นธรรมมากขึ้น ครอบคลุมมากขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น”

  • ขึ้นภาษี GST

  • เพื่อให้สิงคโปร์บรรลุเป้าหมาย เศรษฐกิจของสิงคโปร์ต้องเติบโต มีรายได้ที่มั่นคงและมากพอเพื่อดำเนินโครงการทางสังคม ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจะ “เริ่มดำเนินการ” สำหรับการปรับขึ้นภาษีสินค้าและบริการ (GST) ในงบประมาณปี 2565 ซึ่งจะเป็นรากฐานทางการเงินที่มั่นคงของรัฐบาลและยั่งยืนสำหรับการพัฒนาในขั้นต่อไปของสิงคโปร์

    “เราเห็นความจำเป็นนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจของเรากำลังฟื้นตัวจากโควิด -19 เราต้องเริ่มดำเนินการในเรื่องนี้”

    รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในขณะนั้น เฮง สวี คีต ได้ประกาศแผนขึ้นภาษี GST เป็นครั้งแรกในปี 2561 จาก 7% เป็น 9%

    นายลีกล่าวว่า ชาวสิงคโปร์ “ยืนหยัดร่วมกัน สนับสนุนการตัดสินใจที่ยากลำบาก เสียสละหลายอย่าง และผ่านไปได้อย่างปลอดภัย” ในช่วงการระบาดใหญ่

    ด้วยเหตุนี้ ประเทศจึงสามารถ “พูดได้อย่างมั่นใจว่าเราเป็นหนึ่งเดียว” “ในช่วงวิกฤติ ทุกคนเห็นความจำเป็นในการตัดสินใจที่ยากลำบาก และยอมรับนโยบายที่เข้มงวดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม”

    “มองไปข้างหน้า การเผชิญกับความท้าทายในระยะยาว เราต้องรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ และเต็มใจที่จะยอมรับมาตรการที่เข้มงวด เพื่อก้าวข้ามอย่างเด็ดขาดและเดินหน้าต่อไปร่วมกัน

    “นี่คือวิธีที่เราจะสร้างสิงคโปร์ที่ทุกคนมีที่ยืนและไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

    “ขอให้เรารวมเป็นหนึ่งเดียวและเป็นสิงคโปร์เดียว – มองไปข้างหน้าเสมอ รักษาพื้นที่ของเราในโลก และสร้างสังคมที่ทุกคนภูมิใจเรียกว่าบ้าน”

    ประธานาธิบดีโจโกวีขอให้ทำงานหนักเพื่อวิสัยทัศน์ Advanced Indonesia

    ที่มาภาพ: https://en.antaranews.com/news/185878/president-jokowi-highlights-three-key-economic-and-business-strategies

    ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดแห่งอินโดนีเซีย เรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้อนรับปี 2565 ด้วยความกระตือรือร้นและ ทำงานหนักเพื่อทำให้วิสัยทัศน์ Advanced Indonesia เป็นจริง

    ประธานาธิบดีโจโกวีชี้ว่า มีความท้าทายมากมาย ทั้งการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความไม่แน่นอนสร้างผลกระทบอินโดนีเซียในปี 2564

    “จากความท้าทายเหล่านี้ ขอให้เราต้อนรับปีใหม่ 2565 ด้วยความกระตือรือร้นและทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Advanced Indonesia ” ประธานาธิบดีกล่าวผ่านบัญชีอินสตาแกรมทางการของเขา @jokowi ในวันเสาร์(31 ธ.ค.)

    ประธานาธิบดีโจโกวี กล่าวว่า ความท้าทายเหล่านี้ได้เสริมความแข็งแกร่งและทำให้ทั้งประเทศเป็นหนึ่งเดียว

    “ความท้าทายทั้งหมดเหล่านี้ได้หล่อหลอมประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ เสริมสร้างความเข้มแข็งและทำให้เรารวมกันเป็นหนึ่ง”

    ประธานาธิบดีได้กล่าวไว้วันศุกร์(30 ธ.ค.)ว่า ในปี 2564 ประเทศอินโดนีเซียเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ 2 ประการ โดยเฉพาะการสกัดการระบาดของไวรัสและการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    ประธานาธิบดีโจโกวี กดดันให้จัดการกับโรคระบาดและปัญหาเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว และชี้ว่า ความรุนแรงของการระบาดใหญ่ได้ลดลงแล้วในปัจจุบัน

    “ปัจจุบัน โรงพยาบาลหลายแห่งมีความสามารถในการรับมือมากขึ้นในการจัดการผู้ป่วยโรคที่ไม่ใช่ โควิด-19 ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของพวกเราทุกคนในการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านสุขภาพและการเร่งการฉีดวัคซีน”

    รัฐบาลได้แจกจ่ายวัคซีนไปแล้ว 273 ล้านโดส ณ วันที่ 30 ธันวาคม โดย 160 ล้านคนได้รับวัคซีนเข็มแรกและ 113 ล้านคนได้รับวัคซีนครบสองเข็ม

    โดยรวมแล้ว รัฐบาลตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนครบทั้งสองเข็มแก่ประชาชน 208 ล้านคน

    ประธานาธิบดีกล่าวถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจว่า ในช่วงนี้ อินโดนีเซียประสบกับภาวะถดถอย การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน และความไม่แน่นอนสูงในเกือบทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นและการทำงานหนัก ชาวอินโดนีเซียสามารถเอาชีวิตรอดจากความลำบากได้

    เศรษฐกิจอินโดนีเซียในไตรมาส 2 ของปี 2564 ขยายตัว 3.51% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การระบาดใหญ่ได้ทำให้เกิดยุคใหม่แห่งอารยธรรมดิจิทัล “ตัวอย่างเช่น อีคอมเมิร์ซมีมูลค่า 24,800 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้”

    นายกฯมาเลเซียย้ำประเทศกลับอยู่บนเส้นทางเติบโตระยะยาวและ ESG

    นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ กำลังละหมาดที่มัสยิดปุตรา ในเมืองปุตราจายา วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่มาภาพ: https://www.malaymail.com/news/malaysia/2021/12/31/2022-will-see-malaysia-back-on-track-of-long-term-economic-plan-says-pm/2032265

    ในการกล่าวปราศรัยอวยพรปีใหม่วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดาโต๊ะ สรี อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า ปี 2565 จะเป็นปีที่มาเลเซียกลับมาเดินหน้ากำหนดแผนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวด้วยการระดมแนวคิดสำคัญหลายด้าน
    ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลตามความต้องการที่แท้จริงในปัจจุบัน

    “จากความตระหนักเช่นเดียวกันนี้ถึงความจำเป็นในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต มาเลเซียยังได้ให้คำมั่นที่จะบรรลุสถานะประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 หรือปี 2593″

    “ปี 2565 จะเป็นปีที่มาเลเซียกลับสู่เส้นทางเศรษฐกิจในระยะยาว ด้วยแนวคิดสำคัญหลายด้าน” ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

    “เราตระหนักดีว่าเราจำเป็นต้องปรับให้เข้ากับความต้องการในปัจจุบันและสำหรับอนาคต และมาเลเซียได้ให้คำมั่นที่จะบรรลุสถานะ ‘ชาติที่เป็นกลางทางคาร์บอน’ ในปี 2050″

    “การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ของการจัดการ การบริหาร และกรอบความคิดในการกำหนดนโยบาย”

    ดาโต๊ะอิสมาอิล ซาบรี กล่าวว่า ในแง่ของการสร้างงาน มาเลเซียต้องพร้อมที่จะสร้างระบบนิเวศที่สามารถสร้างกิจกรรมและตลาดงานให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับ ESG

    เป้าหมายด้าน ESG ต้องอาศัยความกล้าของรัฐบาลในการสร้างนโยบายและกรอบแรงจูงใจที่เอื้ออำนวย “หลักฐานที่แสดงว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในด้านนี้ คือการยกเว้นอากรและภาษีต่างๆ เช่น ภาษีถนนและภาษีการขาย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV)”

    “รัฐบาลตระหนักดีว่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ระบบนิเวศต้องเอื้อ เช่น โครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV ต้องมีการก่อตั้งและปรับปรุง เช่นเดียวกับในประเทศที่พัฒนาแล้ว” ดาโต๊ะอิสมาอิล ซาบรี กล่าว

    รัฐบาลจะเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 ด้วยการดำเนินการตามความริเริ่มต่างๆ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 (Malaysia Plan หรือ12MP) และงบประมาณปี 2565 เพื่อประกันว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งและความเจริญรุ่งเรืองของครอบครัวมาเลเซีย

    รัฐบาลจะมุ่งเน้นการสร้างงานอย่างน้อย 600,000 ตำแหน่งและส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ฟื้นตัว อย่างรวดเร็ว

    ดาโต๊ะอิสมาอิล ซาบรี มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโตราว 5.5- 6.5% ในปี 2565 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟที่ 6% และของธนาคารโลกที่ 5.8%

    ปี 2564 มีตัวบ่งชี้เชิงบวกหลายด้านถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หนึ่งในนั้นคือ การค้าที่ทะลุ 2 ล้านล้านริงกิตเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

    นอกจากนี้ มาเลเซียมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิ (FDI) จำนวน 12,800 ล้านริงกิตในไตรมาสที่ 3 เทียบกับ 8.2 พันล้านริงกิตในไตรมาสที่สอง เพิ่มขึ้น 56%

    “FDI สุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านริงกิต” ดาโต๊ะอิสมาอิล ซาบรีกล่าวและว่า อัตราการว่างงานก็ฟื้นตัวเช่นกัน โดยลดลงมาที่ระดับ 4.3% ในเดือนตุลาคม 2564 เทียบกับระดับสูงสุดที่ 5.3% ในเดือนพฤษภาคม 2563

    ประธานประเทศลาวเรียกร้องร่วมมือหนุนยุทธศาสตร์ชาติ

    นายทองลุน สีสุลิดเลขาธิการพรรคและประธานประเทศ สปป.ลาว ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/LaoNewsAgency/photos/a.414692222074768/1825033261040650/

    นายทองลุน สีสุลิด เลขาธิการพรรคและประธานประเทศ สปป.ลาว ได้กล่าวอวยพรปีใหม่ผ่านสื่อ โดยเน้นถึงโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับลาวในปี 2565

    ในการกล่าวปราศรัยอำลาปี 2564 และต้อนรับปีใหม่ 2565 ประธานประเทศได้ส่งความปรารถนาดีไปยังชาวลาวทุกเชื้อชาติ และเรียกร้องให้พวกเขาเดินหน้าใช้ความรู้และพลังเพื่อช่วยลาวก้าวข้ามความท้าทาย

    ในปี 2564 มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเปิดทางรถไฟลาว-จีนมูลค่า 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ลาวได้รับความสนใจจากทั่วโลก และเป็นการเชื่อมต่อทางรถไฟที่สำคัญ โดยทำให้ประเทศยกสถานะจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สู่ศูนย์กลางทางบก

    รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลของทางรถไฟ โดยการให้บริการขนส่งมวลชนในวงกว้าง

    แม้แผนพัฒนาของลาวเผชิญกับความยากลำบากและความท้าทายในปี 2564 แต่ประเทศก็สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างมั่นคง ประธานประเทศกล่าว

    เศรษฐกิจยังคงเติบโตและมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แม้จะมีปัญหามากมายที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

    ประธานประเทศชื่นชมชาวลาวทั่วประเทศที่ได้ทุ่มเททำงานหนักและเป็นหนึ่งเดียวในการฝ่าฟันอุปสรรคและปฏิบัติตามมติและนโยบายที่พรรคและรัฐบาลประกาศใช้

    นายทองลุนกล่าวว่า หวังว่า ปี 2565 จะเป็นปีที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาลาวในก้าวใหม่ อย่างไรก็ตาม ก็ทราบว่า จะต้องมีความท้าทายและความยากลำบากเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปี 2565 เนื่องจากยังประเมินไม่ได้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

    จากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ ประธานประเทศได้เรียกร้องให้ประชาชนทุกคนทุ่มเทพลัง และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในยุทธศาสตร์ชาติทั้งการป้องกันและการพัฒนาประเทศ

    การมีส่วนร่วมของพลเมืองทุกคนเป็นหลักประกันว่า ลาวจะพ้นจากสถานะประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในปี 2569 และเข้าสู่บทใหม่ของการพัฒนาที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ชาวลาว

    ในขณะเดียวกันขอให้ทุกคนตื่นตัวต่ออันตรายจากโควิด-19 และปรับตัวสู่ “ความปกติใหม่” ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปนอกบ้าน ใช้เจลล้างมือ และปฏิบัติตามกฎรักษาระยะห่างทางสังคม

    ปีนี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจลาวจะเติบโต 3% ต่ำกว่า 4% ที่สมัชชาแห่งชาติเห็นชอบ อัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงเชื่อมโยงกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก และทำให้บริษัท ร้านค้า และโรงงานต้องปิดดำเนินการ ส่งผลให้การว่างงานสูงขึ้น

    ประธานาธิบดีดูแตร์เตขอให้ตั้งเป้าหมายไว้สูงเพื่อทำสิ่งที่ดีขึ้น

    ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่มาภาพ:https://www.rappler.com/nation/duterte-message-new-year-2022/

    ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต กล่าวเมื่อวันศุกร์(30 ธ.ค. 2564) ว่า “ ปี 2565 เป็นปีที่ชาวฟิลิปปินส์ “เริ่มต้นใหม่และมีโอกาสที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นและทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น” ขณะที่ประเทศกำลังส่งท้ายปีด้วยการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกปีหนึ่ง

    ในสาส์นส่งท้ายปีเก่าในฐานะประธานาธิบดี นายดูแตร์เตเรียกร้องให้ชาวฟิลิปปินส์ถนอมประสบการณ์ของพวกเขาในปี 2564 “รวมถึงการต่อสู้และชัยชนะของเราในการเอาชนะโรคระบาดและการทำลายล้างของไต้ฝุ่นโอเด็ตต์”

    “ขณะที่เราต้อนรับปีใหม่ 2565 ด้วยความหวังอย่างมาก ขอให้เราทะนุถนอมทุกสิ่งที่เราได้ประสบในปีที่แล้ว รวมถึงการต่อสู้และชัยชนะของเราในการเอาชนะการแพร่ระบาดของ โควิด-19 และการทำลายล้างของไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ อันที่จริง เราผ่านช่วงเวลาท้าทายมาหลายครั้งแล้ว แต่การฟื้นตัวที่ชัดเจนและจิตวิญญาณแบบบายานีฮันทำให้เรายืนหยัดและแข็งแกร่งขึ้น”

    ทุกวัน เรายังคงเห็นจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อของชาวฟิลิปปินส์ที่ปรับตัว อดทน และเอาชนะความยากลำบากทั้งหมด ความทุ่มเทและความกล้าหาญของบุคลากรของเรา โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในแนวหน้า บริการในเครื่องแบบ บุคลากรพลเรือน และอาสาสมัคร แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่เราสามารถทำได้หากเราทำงานด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

    ขณะที่เรากำลังฟื้นฟูทั้งประเทศและกลับมาดีขึ้น เราทุกคนต้องมีแรงบันดาลใจด้วยคำสัญญาของการเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่ ตอนนี้เราได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่และโอกาสที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นและทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น

    “ขอให้ความปรารถนาและการกระทำทั้งหมดของเราสอดคล้องกับสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นชาติและศรัทธาอันลึกซึ้งของเราในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราตั้งเป้าหมายที่เข้มแข็งและสูงขึ้นในชีวิตของเราด้วย เพื่อเราจะได้แสวงหาแต่สิ่งที่ดีต่อครอบครัว ชุมชน และคนทั้งชาติของเรา”