ThaiPublica > เกาะกระแส > ออมสินตั้งบริษัทลูก รุก “สินเชื่อขายฝากที่ดิน” ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยลูกค้าฐานราก

ออมสินตั้งบริษัทลูก รุก “สินเชื่อขายฝากที่ดิน” ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยลูกค้าฐานราก

20 ธันวาคม 2021


นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

ออมสิน เตรียมเสนอบอร์ดตั้งบริษัทลูก ลุยปล่อย “สินเชื่อขายฝากที่ดิน” ดอกเบี้ยไม่เกิน 10% ต่อปี ช่วยกลุ่มลูกค้าฐานราก คาดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงแผนงานของธนาคารในปี 2565 ภายใต้จุดยืนธนาคารเพื่อสังคม ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินที่เป็นธรรม ธนาคารมุ่งเน้นดำเนินการ 5 ภารกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย

1) การสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อช่วยสร้างทักษะอาชีพ สนับสนุนเงินทุน และช่องทางการสร้างรายได้ ช่วยเหลือประชาชนที่ต้องออกจากการจ้างงานจากวิกฤติโควิด

2) จัดทำโครงการสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาให้บริการสินเชื่อที่ดิน และบริการขายฝาก โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 10% ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นกลไกในการแทรกแซงโครงสร้างของอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาะสมเป็นธรรมแก่กลุ่มลูกค้าฐานราก ซึ่งปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้ต้องเสียดอกเบี้ยให้กับนายทุนนอกระบบ 30-40% ต่อปี หากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคาร คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565

  • ออมสิน จับมือ SAWAD รุกสินเชื่อจำนำรถ ตั้งเป้าดึงดบ.ทั้งตลาดเหลือ 18% ช่วยรากหญ้า
  • 3) การพัฒนา Digital Lending ให้สามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบนสมาร์ทโฟนด้วยแอป MyMo ให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล Alternative Data Analytic หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่าน MyMo ได้มากกว่า 1.5 ล้านราย วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 24,000 ล้านบาท นับว่าธนาคารประสบความสำเร็จสามารถเติมเม็ดเงินช่วยเหลือประชาชนเป็นจำนวนมากด้วยระยะเวลาอันสั้น

    4) การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมสินเพื่อการเกษียณ ซึ่งธนาคารเตรียมยกระดับการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มฐานรากมีความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย และ

    5) การขาย หรือ โอนหนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ซึ่งคาดว่ากฎกระทรวงจะผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับภายในปี 2565

    ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2564 ธนาคารได้ขับเคลื่อนภารกิจ “ธนาคารเพื่อสังคม” อย่างเต็มกำลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่สร้างความเดือดร้อนอย่างรุนแรง ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการบริหารจัดการเสริมความแข็งแกร่งของธนาคารด้วยในเวลาเดียวกัน โดยเน้นการควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้สามารถลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้มากกว่า 12,259 ล้านบาท โดยกำไรที่เกิดจากการประหยัดค่าใช้จ่ายดังกล่าว ธนาคารได้นำไปสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคมตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร และคาดว่าตัวเลขกำไรของธนาคารน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกำไรในปี 2562 ที่เป็นช่วงสถานการณ์ปกติก่อนเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19

    ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานในปี 2564 ธนาคารได้นำไปช่วยเหลือประชาชนระดับฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs ผ่านมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และเสริมสภาพคล่องอย่างครบวงจรอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 36 โครงการ สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 11.6 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 1.8 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ธนาคารยังได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนอีก 2.16 ล้านคน ให้ได้รับบริการสินเชื่อเป็นครั้งแรก ซึ่งที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ไม่สามารถขึ้นถึงแหล่งเงินในระบบได้ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยธนาคารได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล

    นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถนำส่งรายได้เข้ารัฐได้สูงสุดในรอบ 3 ปีย้อนหลัง จำนวนเงิน 15,978 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและต้นทุนทางธุรกิจที่ลดลงมาก ทำให้ธนาคารสามารถยกระดับความแข็งแกร่งขององค์กร โดยในปี 2564 ธนาคารได้ตั้งสำรองทั่วไป (General Provision) ได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ณ เดือนพฤศจิกายน 2564 ธนาคารมีสินทรัพย์ 2.97 ล้านล้านบาท เงินฝาก 2.55 ล้านล้านบาท สินเชื่อ 2.26 ล้านล้านบาท ระดับ NPLs เท่ากับ 2.56% และ BIS Ratio = 15.82%