ThaiPublica > คอลัมน์ > คาสิโนร้อนๆ จ้า! รับไหม?

คาสิโนร้อนๆ จ้า! รับไหม?

10 ธันวาคม 2021


ธนากร คมกฤส/strong>

และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่สภาผู้แทนราษฎรหาญกล้าพอที่จะเสนอญัตติขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการให้มีคาสิโน รวมถึงการพนันอื่นๆ ที่เคยอยู่ใต้ดินให้ถูกกฎหมาย (อ้างถึงข่าวการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564) โดยมีการเสนอเป็นญัตติเข้าสู่ที่ประชุมมากถึง 12 ญัตติ มีจำนวนผู้เสนอญัตติและร่วมอภิปรายกว่า 20 ราย ซึ่งประสานเสียงส่วนใหญ่ ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล พรรคขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ไปในทำนองเดียวกันว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเราต้องให้มีคาสิโน รวมทั้งบ่อนการพนันอื่น (ที่พูดถึงกันบ้างก็เช่น บ่อนหวย และบ่อนพนันออนไลน์) ขึ้นมาอยู่บนดิน

การนำเสนอครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความแตกต่างจากการเสนอในอดีตที่ผ่านมาพอสมควร ไม่นับเพียงการนำตัวเลขข้อมูลเม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่สวยหรูมาแสดงของ ส.ส. หลายท่าน (ที่พูดไปพลางกลืนน้ำลายตาม) แต่หากได้ติดตามกระบวนการที่มีมาก่อนหน้านี้จะพบว่า มีการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ที่ล้าสมัยมาระยะหนึ่งแล้ว ผ่านการทำงานของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 2-3 คณะที่มีความก้าวหน้าถึงระดับการยกร่างแก้ไข พ.ร.บ. รอไว้พร้อมแล้ว และอาศัยช่วงจังหวะที่ภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจถูกพิษของโควิด-19 ที่ดูไม่กระเตื้องขึ้นมากนักเสนอโมเดล “คาสิโนกู้ชาติ” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

คิดแบบ “เด็กอยากได้ของเล่น” ไม่ได้

เมื่อกล้าก้าวมาถึงจุดนี้กันแล้วขนาดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ก็ควรก้าวไปให้ถึงที่สุดของจุดที่ควรต้องศึกษา แต่ต้องตั้งสติให้มั่นก่อนว่า เรื่องนี้จะคิดแบบ “เด็กอยากได้ของเล่น” ไม่ได้ และต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะต้องกีดกันไม่ให้มีการใช้ “3อ.” เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ คือ

    1. “อ-อำนาจ” ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้อำนาจของฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายบริหารหรือฝ่ายทุนหนุนหลัง มาลากเรื่องนี้ไปสู่การสนองตอบความต้องการของตัวเอง โดยต้องพยายามเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายให้มากที่สุด
    2. “อ-อารมณ์” สังคมไทยอยู่ในภาวการณ์ “อารมณ์สองขั้ว” ที่คราใดมีความเห็นต่างก็จะใช้อารมณ์และวาจาที่รุนแรงใส่กัน (อาจรวมถึงการกระทำด้วย) ฉะนั้น ต้องพยายามใช้เหตุผลจากหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือมาหักล้างกันแทนการสาดอารมณ์เข้าใส่กันและกัน
    3. “อ-อคติ” ต้องพยายามทำใจให้เป็นกลาง วางอคติความชอบความชังที่เอียงไปในทางใดทางหนึ่งของตนลงก่อน แล้วเปิดใจรับฟังความเห็นและข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน

ต้องตอบให้ชัดว่า “จะทำเพื่ออะไร?”

ประเด็นเบื้องต้นที่ต้องตอบให้กระจ่างเสียก่อน คือ “การตั้งคาสิโนนั้นเพื่อเป้าหมายอะไร?” เช่น หนึ่ง เพื่อดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ กับนักพนันไทยที่มีทุนสูง หรือ สอง เพื่อดูดเงินกลับจากคาสิโนชายแดนที่นักพนันไทยจำนวนหนึ่งนิยมข้ามไปเล่นกัน หรือ สาม เพื่อแก้ปัญหาบ่อนใต้ดิน ทั้งบ่อนกลางเมือง บ่อนวิ่ง บ่อนงานศพ บ่อนบ้าน บ่อนหัวไร่ปลายนา (ที่ผูกพันกับเรื่อง “การจ่ายส่วยแก่เจ้าหน้าที่รัฐ”) เพราะว่าโจทย์ที่ต่างกัน ย่อมนำมาสู่การเลือกโมเดลของคาสิโนที่แตกต่างกัน (แสดงดังภาพ)

ในทางสากลมีกรอบคิดในการ “ควบคุมแหล่งพนัน” ประมาณ 5 ประเด็น อาจเรียกง่ายๆ ว่า “5 ย.” คือ

    1. “ย-ยาก” สิ่งที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต้องให้เกิดยากๆ ต้องกำหนดขั้นตอนให้ต้องฝ่าด่านหลายๆ ด่าน เช่น ต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ต้องผ่านกระบวนการประชามติ ผู้ประกอบการถูกกำหนดให้มีความรับผิดชอบสูง และอื่นๆ
    2. “ย-เยอะ” สิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต้องจำกัดจำนวน ไม่ให้มีเยอะ
    3. “ย-ยั้วเยี้ย” สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่เป็นที่เป็นทาง ต้องมีเงื่อนไขการเข้าถึงยากๆ เช่น อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีการตรวจตราผู้ที่จะเข้าไปอย่างเข้มงวด
    4. “ย-ยั่วยุ” กิจการแหล่งพนันต้องห้ามทำการโฆษณา ห้ามทำการส่งเสริมการขาย (หลักการเดียวกันกับการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์)
    5. “ย-ยุ่ง” กิจการจำพวกนี้ต้องห้ามยุ่งกับกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มเด็กเยาวชน ผู้ติดพนัน (อาจรวมถึงผู้สูงอายุด้วย เพราะหากผู้สูงอายุเสียเงินเก็บก้อนสุดท้ายของชีวิตไปกับการพนัน ย่อมส่งผลต่อการใช้ชีวิตช่วงที่เหลือ)

จากหลัก “5ย.” นี้จะเห็นได้ชัดว่า โมเดลไซส์ M กับไซส์ S ไม่ผ่านคุณสมบัติ เพราะจะส่งผลกระทบได้สูงทำนอง “ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ” ได้มาก จึงเหลือเพียงไซส์ XL กับไซส์ L ไว้พิจารณา

ช่วยบอกที “ใครจะคุมอยู่?”

ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อหากคิดจะเปิดแหล่งพนันขนาดใหญ่ให้ถูกกฎหมาย ก็คือ การกำกับและควบคุม ในระดับที่เชื่อมั่นได้ว่า “คุมอยู่”

ในด้านหนึ่งหลายคนอาจวาดฝันเห็นเม็ดเงินมหาศาลที่อาจจะได้จากการเปิดคาสิโน แต่ในอีกด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ กิจการพนันไม่ใช่กิจการที่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นกิจการที่มีพื้นเพเดิมอยู่ในที่มืดๆ และมีสีเทาเข้ม การเอากิจการ “ตัวเข้มระดับพ่อ” ขึ้นมาบนดินโดยยังตัดไม่ได้ขายไม่ขาดกับข่ายความสัมพันธ์เดิมที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมาย จะกลายเป็นการทำให้ “คาสิโนเป็นแหล่งฟอกเงิน” ที่เปลี่ยนเงินดำให้กลายเป็นเงินขาว ฉะนั้นแล้ว การจะทำคาสิโนที่ถูกกฎหมายจึงต้องการ “กลไกระดับพระกาฬ” ที่เชื่อมั่นได้สูงว่าจะ “เอาอยู่” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ณ ขณะนี้สังคมไทยยังไม่มี

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า “ที่ผ่านมาสังคมไทยยังไม่เคยแก้ปัญหาการพนันได้สำเร็จ” และนี่คงเป็นสาเหตุให้คนจำนวนหนึ่งเกิดความคิดว่า “ในเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ยอมให้มันถูกกฎหมาย เพื่อเอาประโยชน์จากมันดีกว่า” อาการคิดเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “ตรรกะวิบัติ” เพราะแทนที่เราจะไปคิดหาหนทางในการควบคุมมันให้ได้ด้วยแนวคิดหรือแนวทางใหม่ๆ เพื่อพยายามทำให้กลไกการควบคุมพนันเข้มแข็งขึ้น แต่เรากลับไปยอมรับด้านที่เป็นปัญหา แล้วไปสนับสนุนให้ฝ่ายที่สร้างปัญหาหรือพนันผิดฎหมายแข็งแรงขึ้นมาแทน

ใช้แมวอ้วนไปจับหนู … ล้มเหลวไม่เป็นท่า

การแก้ปัญหาการพนันที่ผ่านมาของบ้านเราอยู่ในสภาพ “ใช้แมวอ้วน 4-5 ตัวไล่จับหนู” เช่น ใช้แมว มท. คอยจับหนูบ้าง โดยถือ พ.ร.บ.การพนันฯ ไว้คอยพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตการจัดให้เล่นพนันแก่ใครบ้าง แมว มท. นี้นานทีจึงจะออกไปไล่จับหนูที่ฝ่าฝืนหากินโดยไม่ขออนุญาต ด้วยไม่อยากไปทับเส้นการทำมาหากินของแมวตัวที่สอง คือ แมว สตช. คอยจ้องจับหนูที่ทำรังอยู่ใต้ดินหรือตามท่อระบายน้ำ จำพวกแหล่งพนันผิดกฎหมายต่างๆ แมวอ้วนตัวนี้จับหนูมานานจนอาจจะคุ้นเคยกันจนบางท้องที่อาจใช้วิธีหากินกับหนูแทนที่จะจับมัน

ขณะเดียวกันระยะหลังมานี้เราก็มีแมวตัวใหม่ๆ เช่น แมว กสทช. ให้ดูแลจับหนูที่ไปผุดโผล่ตามช่องทางการสื่อสารและโทรคมนาคม กับมีแมวดีอีเอสให้คอยจับหนูออนไลน์ แต่แมวสองตัวนี้ก็มักจะอ้างว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่ชัดเจน จึงได้แต่จดๆ จ้องๆ ออกเสียงขู่ แล้วก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนแมวตัวสุดท้าย คือ แมว ปปง. ที่มีอำนาจชัดเจนแต่ติดเงื่อนไขว่าหนูตัวนั้นต้องใหญ่พอ มีฐานความผิดถึงห้าล้านบาทจึงจะจับได้

ลักษณะร่วมกันของแมวข้างต้นคือ ความเป็น “แมวอ้วน” ที่ขาดความคล่องตัว ทั้งในการทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบของตนเอง และการบูรณาการทำงานร่วมกัน ที่สำคัญคือ แมวแต่ละตัวที่กล่าวมา ไม่ได้มีหน้าที่จับหนูเพียงอย่างเดียว แต่มีหน้าที่อื่นๆ ด้วย ไม่ได้จ้องจับหนูตลอดเวลา

จึงกล่าวได้ว่า “ถึงเวลาต้องหาหน่วยงานที่ทำงานเต็มเวลากับปัญหาพนัน ที่ไว้วางใจได้ และมีประสิทธิภาพมากเพียงพอ” และหากตราบใดที่ยังพัฒนา “แมวเก่ง” ตัวนี้ไม่ได้ ก็คงไปถึงคำตอบสุดท้ายของการยอมให้มีคาสิโนถูกกฎหมายไม่ได้

อย่าหลงเหลี่ยมบ่อนพนันออนไลน์

ประการสุดท้ายที่สังคมไทยต้องรู้เท่าทันเป็นอย่างยิ่ง คือ อย่าหลงเหลี่ยมบ่อนพนันออนไลน์ เพราะพนันออนไลน์จะทำลายกำแพงทุกข้อของ “5ย.” และพื้นที่ออนไลน์จะไม่ใช่ที่รองรับนักพนันหน้าเดิมที่คุ้นชินกับการเล่นพนันในพื้นที่เก่า แต่พนันออนไลน์จะทะลุทะลวงไปสู่การสร้างลูกค้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งจะวิวัฒน์ไปสู่การพนันรูปแบบใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งยากแก่การรู้เท่าทันทั้งของผู้เล่นและผู้ควบคุม ที่อันตราย คือ การพนันออนไลน์ล้วนแล้วแต่เป็นการพนันอย่างเข้มที่เข้าถึงง่าย เล่นได้ตลอดเวลา 7 วัน 24 ชั่วโมง แถมเมื่อเล่นเสียแล้วหัวร้อน ก็มีโอกาสแก้มือได้ทันทีทันใด กลายเป็นยิ่งเล่นยิ่งเสีย และชวนให้ถลำลึกมากขึ้นๆ จนอาจนำไปสู่การเล่นพนันจนเป็นปัญหาหรือการติดพนันได้

ฉะนั้น จึงต้องยืนยันในจุดเดิมอย่างหนักแน่นว่า ตราบใดที่ยังไว้วางใจในหน่วยงานกำกับควบคุมไม่ได้ ก็ยังยอมให้มีไม่ได้ทั้งคาสิโน on-ground และห้ามเด็ดขาดกับคาสิโน on-line