ThaiPublica > เกาะกระแส > สหรัฐ-จีน สองมหาอำนาจ ยังครอง Super Power ในอินโด-แปซิฟิก

สหรัฐ-จีน สองมหาอำนาจ ยังครอง Super Power ในอินโด-แปซิฟิก

13 ธันวาคม 2021


สถาบันโลวี (Lowy Institute) ระบุในรายงาน Asia Power Index 2021 ว่า การระบาดใหญ่ของโควิด ได้ส่งผลให้อำนาจของยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เช่น จีนและอินเดียในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกลดลง และทำให้ความสามารถของทั้งสองประเทศในการกำหนดสภาพแวดล้อมภายนอกลดลงเช่นกัน

รายงาน Asia Power Index ระบุว่า

ในขณะที่ประเทศชั้นนำในเอเชียมีอิทธิพลลดลง สหรัฐฯ สามารถขยายอำนาจของตนเองผ่านการทูตที่ดีขึ้นและรักษาตำแหน่งในฐานะประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค

โดยจีนมาเป็นอันดับสอง หลังจากมีอิทธิพลในดัชนีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เมื่อเปรียบเทียบกับมหาอำนาจในเอเชีย สหรัฐฯ มีอิทธิพลมากขึ้นในทวีปนี้ในปีนี้ เนื่องจากการบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีขึ้น และการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการระบาดใหญ่ด้วยการช่วยเหลือด้านวัคซีน

รายงานระบุว่า สหรัฐฯ เอาชนะแนวโน้มขาลงในภูมิภาคและกลับมาครองอำนาจครอบคลุม(comprehensive power )ประจำปีครั้งแรกในดัชนี Asia Power Index ฉบับที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2561

นอกจากนี้สหรัฐฯยังมีอิทธิพลทางการทูตอย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดในช่วงการบริหารของอดีตประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์

โดยรวมแล้ว สหรัฐฯมีคะแนนสูงสุด 6 ใน 8 ตัววัดของดัชนีในปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 4 ตัววัดในปีที่แล้ว

รายงานระบุว่า พันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคและมหาอำนาจที่ถ่วงดุลหลัก เช่น อินเดีย ไม่เคยพึ่งพาความสามารถของสหรัฐฯ และเต็มใจที่จะคงการถ่วงดุลทางยุทธศาสตร์และการทหารไว้ เพื่อตอบสนองต่ออำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีน

ดัชนีอำนาจแห่งเอเชียประเมินจากหลายด้าน รวมถึงความสามารถทางเศรษฐกิจและการทหาร ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และเครือข่ายการป้องกัน ตลอดจนอิทธิพลทางการทูตและวัฒนธรรม

เฮอร์เว่ เลมาฮิว (Hervé Lemahieu) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Lowy Institute กล่าวในการให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวเอบีซีว่า “การระบาดใหญ่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศส่วนใหญ่ในแง่ของความสามารถในการกำหนดและตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมภายนอก แต่จริงๆ แล้วสหรัฐฯ มีอำนาจที่ครอบคลุมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561”

เอลิสสา เล้ง (Alyssa Leng) นักวิจัยและนักเศรษฐศาสตร์ของ Lowy ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมในรายงาน Asia Power Indexกล่าวว่า “ส่วนสำคัญของการมีอำนาจที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ มาจากการเข้าบริหารของประธานาธิบดีไบเดน”

“จากฐานที่ต่ำตั้งแต่สมัยทรัมป์ สหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งด้วยอิทธิพลทางการทูตในภูมิภาค” เอลิสสากล่าว พร้อมชี้ไปที่การบริจาควัคซีน 90 ล้านโดสของวอชิงตันไปยังเอเชีย สูงกว่าที่ปักกิ่งบริจาค 2 เท่า

อิทธิพลของจีนลดลงเป็นครั้งแรกนับการเริ่มจัดทำดัชนีในปี 2561

ความท้าทายทางเศรษฐกิจรวมถึงประชากรสูงวัยได้ส่งผลให้ความสามารถในการใช้อำนาจในเอเชียของจีนลดลง เลมาฮิว กล่าว

“อำนาจของจีนทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นต่อ แต่คำถามคือ การเพิ่มขึ้นนั้นจะต่อไปในระดับไหน?

“จีนจะไม่มีวันมีอำนาจเหมือนกับที่สหรัฐฯเคยเป็น แต่จริงๆแล้ว เราพร้อมสำหรับศตวรรษแห่งสองขั้วในอินโด-แปซิฟิก … พึ่งพาทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า การใช้จ่ายทางทหารของจีนตอนนี้มากกว่าอินเดีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน 50% และสมาชิกทั้งหมด 10 คนของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมกัน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่มาภาพ: https://www.abc.net.au/news/2021-12-06/lowy-institute-asia-power-index-2021/100675446

ด้านเอลลิสสากล่าวว่าจีน “นำหน้าทุกคนในภูมิภาคนี้ไปไกลโดยพื้นฐานแล้ว” ในแง่ของอำนาจโดยรวม

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ความไม่แน่นอนด้านความปลอดภัยที่มากขึ้นของภูมิภาคนี้ทำให้เกิดความเสี่ยง “สำคัญ” ต่อการทำสงคราม

“ความรุนแรงของความเป็นปรปักษ์ การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ-จีนในวงกว้าง และหลายประเด็นร้อนที่พร้อมจะปะทุ หมายความว่า ความเสี่ยงของสงครามมีนัยสำคัญ”

รายงานยังระบุอีกว่า แม้จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นชัดเจนในปี 2564 แต่สหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในการแข่งขันกับจีน ซึ่งเห็นได้ชัดว่า แม้สหรัฐฯมี 4 ตัวชี้วัดอำนาจที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับจีน แต่ลดลงในตัวชี้วัดด้านอื่น เช่น ความสามารถทางทหารและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

จีน-อินเดียสูญเสียอิทธิพล

ใน Asian Power Index ประจำปี 2564 ซึ่งจัดอันดับ 26 ประเทศและเขตปกครอง Lowy Institute ที่มีสำนักงานในซิดนีย์กล่าวว่า อำนาจของจีนลดลงในขณะที่ประเทศประสบจุดอ่อนเชิงโครงสร้างในด้านประชากรและระบบการเงินและกลายเป็นประเทศที่โดดเดี่ยวมากขึ้น

รายงานระบุว่า จีนสูญเสียอำนาจครึ่งหนึ่งในตัวชี้วัดอำนาจในปี 2564 ตั้งแต่อิทธิพลทางการทูตและวัฒนธรรม ไปจนถึงความสามารถทางเศรษฐกิจและทรัพยากรในอนาคต

อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดอันดับ 4 ในภูมิภาค รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเมื่อเทียบกับเส้นทางการเติบโตก่อนเกิดโควิด

รายงานระบุว่า อันดับของอินเดียตกลงจากตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อิทธิพลทางการทูตและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงรักษาอันดับที่ 4 ในตัวชี้วัดอำนาจอื่นๆ เช่น ความสามารถทางเศรษฐกิจ ความสามารถทางทหาร ความสามารถในการปรับตัว และอิทธิพลทางวัฒนธรรม

รายงานระบุว่า เมื่อเทียบกับทรัพยากรและศักยภาพ อินเดียยังคงเป็น “ผู้ไม่ประสบความสำเร็จ” ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

“การผงาดขึ้นของอินเดียในฐานะมหาอำนาจหลายขั้วอย่างแท้จริง ที่จะสามารถเทียบเท่าความสามารถทางการทหารและเศรษฐกิจของจีน จะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่ประกันว่าจะสำเร็จ” รายงานระบุ

เกมแห่งอำนาจในเอเชีย

รายงานระบุว่า ผลกระทบของการระบาดใหญ่ต่อประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย มีศักยภาพที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาวะสองขั้วในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยได้รับแรงหนุนจากความแตกต่างด้านอำนาจที่มากขึ้นของสหรัฐฯ และจีน

โดยระบุว่า ญี่ปุ่นและอินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศมีศักยภาพมากที่สุดในการสนับสนุนระเบียบแบบหลายขั้วระดับภูมิภาค มีอิทธิพลลดลงในปี 2564 มากกว่าจีน

“ญี่ปุ่นและอินเดีย อิทธิพลลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกันตั้งแต่ปี 2561” รายงานระบุ จากตัวชี้วัด ทั้งโตเกียวและนิวเดลี ต่างได้คะแนนต่ำกว่า 40 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์วัดมหาอำนาจหลัก(major power) และได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจระดับกลาง(middle powers)

อินเดียยังตามหลังในการทูตทางเศรษฐกิจ โดยตกไปที่อันดับ 8 ตามหลังประเทศไทยในตัวชี้วัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

รายงานชี้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในเอเชีย แต่ในระยะยาวยังคงถดถอย แม้ยกย่องโตเกียวในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขยายอิทธิพลทางการทูต เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในวงกว้างในภูมิภาค

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ มีอิทธิพลมากกว่าความสามารถที่มีอยู่จริง

ออสเตรเลีย-อินโดนีเซีย มหาอำนาจระดับกลางที่สำคัญในเอเชีย

ออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 6 ใน Asia Power Index ปี 2564 รองจากญี่ปุ่น อินเดีย และรัสเซีย

รายงานสรุปจากการวิเคราะห์ว่า แม้ข้อพิพาททางการทูตกับจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด จะยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน แต่ออสเตรเลียก็ปรับตัวได้ดีขึ้นในปี 2564

เอลิสสากล่าวว่า การบริจาควัคซีนของออสเตรเลียให้แก่ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกนั้น “ค่อนข้างใจกว้าง” เมื่อเทียบต่อหัวประชากร

ข้อตกลงการรักษาความปลอดภัยของ AUKUS ซึ่งลงนามโดยออสเตรเลีย สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน หมายความว่า “ต้องพึ่งพาความสามารถของสหรัฐฯ มากขึ้นและเต็มใจที่จะรักษาสมดุลของอำนาจทางทหารในเอเชียเมื่อเทียบกับอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีน” เลมาฮิวกล่าว

เอลิสสากล่าวว่า การลงนามในข้อตกลงแสดงถึง “ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศของออสเตรเลียที่ลึกมากขึ้นในภูมิภาคนี้ มากกว่าการขยายขอบเขต”

“ขณะนี้ มีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับ AUKUS … จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในรายละเอียด และเราเห็นปฏิกิริยาทางการทูตในระยะยาวจากภูมิภาคนี้ เป็นการยากที่จะคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบอย่างไร” เอลิสสากล่าว

การปิดพรมแดนอันเนื่องมาจากโควิด-19 ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของออสเตรเลียในการดำเนินการทางการทูตด้านการป้องกันประเทศ และใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรมผ่านการท่องเที่ยวและการศึกษาระหว่างประเทศ เลมาฮิว กล่าว

อิทธิพลทางเศรษฐกิจของออสเตรเลียในภูมิภาคนี้ก็ลดลงเช่นกัน เช่น การถูกแทนที่โดยจีนในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในปาปัวนิวกินี

“ออสเตรเลียลงทุนในนิวซีแลนด์มากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงอินโดนีเซีย” เลมาฮิวกล่าว

อินโดนีเซียติด 10 อันดับแรกของ Asia Power Index เป็นครั้งแรก แม้จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดใหญ่ทในประเทศ และแซงหน้าสิงคโปร์ในฐานะ “ผู้เล่นที่มีอิทธิพลทางการทูตมากที่สุด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เลมาฮิว กล่าวว่า “แปลกมาก” ที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไม่เคยติด 10 อันดับแรกมาก่อน

“ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก เช่น อินโดนีเซียค่อนข้างจะมองภายในประเทศและประสบปัญหาความสามารถในการแสดงอำนาจและความเป็นผู้นำในเวทีโลก”

รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ได้ “ก้าวขึ้นแท่นรัฐบุรุษชั้นนำในเวทีระดับภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า อินโดนีเซีย เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขาดพลังทางกองทัพที่ควรจะมีในการเผชิญหน้ากับจีน