เช้าวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ตามเวลาในประเทศจีน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ประชุม แบบเห็นหน้ากันผ่านระบบประชุมทางไกลครั้งแรก
การประชุมที่ถูกคาดหวังอย่างมากครั้งนี้จัดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจสูงขึ้น จากหลายประเด็น รวมทั้งประเด็นไต้หวัน การค้าและสิทธิมนุษยชน
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า ทั้งสองประเทศมีความรับผิดชอบเพื่อไม่อีกฝ่ายหนึ่งนำไปสู่การเริ่มต้นความขัดแย้ง
สำนักข่าวบีบีซีนำเสนอสิ่งที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันในการประชุมนับตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม
คุยอะไรกันบ้าง
ผู้นำของทั้งสองประเทศต่างฝ่ายกล่าวต้อนรับกันและกันอย่างอบอุ่น โดยประธานาธิบดีสี กล่าวว่า ยินดีที่ได้เจอหน้าประธานาธิบดีไบเดนเพื่อนเก่า ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดน “อันที่จริงผมน่าจะเริ่มอย่างเป็นทางการ แม้คุณและผมไม่เคยมีความเป็นทางการระหว่างกัน”
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวอีกว่า ทั้งสองผู้นำตลอดมาได้มีการสื่อสารระหว่างกันอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และเสริมว่า “เราไม่เดินออกไปพร้อมกับคิดว่าอีกคนกำลังคิดอะไร” จากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ส
จากการรายงานของสื่อทางการจีน ประธานาธิบดีสี กล่าวว่า….
ทั้งสองประเทศต้องยกปรับปรุง “การสื่อสาร” และเผชิญความท้าทาย”ร่วมกัน” และยังกล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนกับสหรัฐฯนั้น มีความสำคัญต่อการเผชิญกับความท้าทายของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งสองประเทศที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคนในสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการออกแถลงการณ์ร่วม เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการเจรจาที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์
“มนุษยชาติใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านโลก และเราประสบกับความท้าทายหลายด้านด้วยกัน จีนและสหรัฐฯต้องยกระดับการสื่อสารและความร่วมมือ” ประธานาธิบดีสี กล่าว
ประธานาธิบดีไบเดน เสริมว่า
ทั้งสองประเทศต้องมีกรอบสามัญสำนึก เพื่อประกันว่าการแข่งขันระหว่างกันไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง
“(เรา)เชื่อว่า- คุณและผมได้คุยเรื่องนี้มาก่อน -ทุกประเทศต้องยึดตามกฎกติกาเดียวกัน และนี่คือเหตุผลที่ว่าสหรัฐฯจะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์และคุณค่าของเรา และของพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราเสมอ” ประธานาธิบดีไบเดนกล่าว
ประเด็นอะไรที่นำขึ้นโต๊ะการประชุม?
ความเห็นของประธานาธิดีไบเดนดูหมือนว่าจะเอนไปทางไต้หวัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศตึงเครียดสูงขึ้น
จีนมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ไต้หวันซึ่งเป็นประชาธิปไตยมองว่าตัวเองเป็นประเทศหนึ่ง
สหรัฐฯออกมาให้ความเห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องไต้หวันมากขึ้น
ในเดือนที่แล้วประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า สหรัฐฯจะปกป้องไต้หวัน หากจีนโจมตี ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฉีกออกไปจากจุดยืนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่มี”ความคลุมเครือเชิงกลยุทธ์” มายาวนาน ที่เห็นว่าสหรัฐฯจงใจคลุมเครือเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำจริง
ประเด็นความปลอดภัยไซเบอร์ การค้าและการไม่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ อยู่ในประเด็นการประชุมครั้งนี้ด้วย
ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ ทำเนียบขาวระบุว่า” ผู้นำทั้งสองจะหารือแนวทางเกี่ยวกับการจัดการกับการแข่งขันระหว่างสกรัฐฯกับจีนอย่างรับผิดชอบ รวมทั้งแนวทางในการทำงานร่วมกับในจุดที่มีผลประโยชน์ตรงกัน”
เราคาดหวังอะไรได้บ้าง
วิเนช มอตวานี กรรมการผู้จัดการบริษัทวิจัย Silk Road Research กล่าวว่า “การปรับคำพูดให้นุ่มลงระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อนข้างชัดเจน” ในช่วงเริ่มต้นการประชุมสุดยอด
นายมอตวานีกล่าวว่า ไม่น่าจะมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญใดๆ เกิดขึ้น แต่มีความคาดหวังว่า “นำเสียงของความสัมพันธ์ [จะ] ถูกกำหนดไว้”
“ฝ่ายจีนเป็นกุญแจสำคัญในการกล่าวว่าเราจะมีส่วนร่วมบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้น ผมคิดว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้ส่วนใหญ่จะถูกขับเคลื่อนไปสู่การสร้างความไว้วางใจว่าจะเป็นอย่างนั้น”
การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ผู้นำทั้งสองได้หารือร่วมกัน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม การประชุมคาดว่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมง
ประธานาธิบดีสี ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศมาเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด -19 อุบัติขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯมีความสำคัญต่อกันและต่อโลกในวงกว้าง โดยจีนได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้สหรัฐฯปรับปรุงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงในช่วงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์