ASEAN Roundup ประจำวันที่ 26 กันยายน-2 ตุลาคม 2564
นายกฯมาเลเซียเปิดแผนพัฒนา 5 ปีเน้นสวัสดิการสังคมกับคน
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดาโต๊ะ สรี อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ ได้เปิดแผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 12 ใน สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันจันทร์ (27 ก.ย.)แผนพัฒนา 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568) จัดทำภายใต้แนวคิด “มาเลเซียที่มั่งคั่ง ทั่วถึง ยั่งยืน หรือ “A Prosperous, Inclusive, Sustainable Malaysia “
“ขอให้เราละทิ้งความแตกต่างทั้งหมดในจิตวิญญาณของครอบครัวมาเลเซีย และทำงานร่วมกันเพื่อสร้างมาเลเซียที่มีความสามารถในการแข่งขันและมีความสามารถในการปรับตัว รวมถึงความสามารถในการเผชิญกับความท้าทาย” นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ยาคอบ กล่าว
“ขอให้เรารวบรวมจุดแข็ง ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งหมดจากทั้งสองฝ่ายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฉบับที่ 12”
นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ได้รวมพลังของชาติเป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้เกิดโอกาสในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง
แผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 12 ที่มีวงเงิน 400 พันล้านริงกิตมาเลเซีย มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองที่ครอบคลุมสำหรับประชาชน ในยุคหลังโควิด-19
จุดหลักๆของโรดแมปการพัฒนามีด้วยกัน 9 ด้าน ได้แก่ สวัสดิการสังคมและการคุ้มครองแรงงานและประชาชน โดยเฉพาะความต้องการของกลุ่ม 40% ล่าง ส่วนประเด็นสำคัญอื่นๆ ได้แก่ การปิดช่องว่างการพัฒนาระหว่างรัฐและพื้นที่ต่างๆ ในประเทศ โดยเฉพาะผ่านการปรับเข้าสู่ดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในซาบาห์และซาราวัก
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ยังเป็นด้านสำคัญสำหรับการพัฒนาในช่วง 5 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึง “การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ในด้านการพัฒนาที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ สะอาด และมีความสามารถในการปรับตัว
แผนพัฒนาฉบับที่ 12 ประกอบด้วย 3 แนวคิดหลักได้แก่ 1) การฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีกว่าเดิม 2) เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ความมั่นคง และทั่วถึง 3) ก้าวสู่ความยั่งยืน
เป้าหมายหลักทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1) เศรษฐกิจ/ผลิตภาพ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ย (GDP) ที่ 4.5 – 5.5% ต่อปี การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยในแผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 11 อยู่ที่ 2.7% ต่อปี รวมทั้งผลิตภาพแรงงานของมาเลเซียต้องขยายตัวจาก 1.1% เป็น 3.6% ต่อปี
เป้าหมายด้านคน คือ การเพิ่มรายได้ประชาชาติต่อหัวจาก 42,503 ริงกิตเป็น 57,882 ริงกิต (เพื่อให้เข้าเกณฑ์ประเทศรายได้สูงตามมาตรฐานของธนาคารโลก) รวมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนพนักงานขึ้นจาก 37.2% เป็น 40% ของ GDP เพิ่มรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือนจาก 7,160 ริงกิตเป็น 10,065 ริงกิต และยกระดับดัชนีความเป็นอยู่ที่ดีของมาเลเซียจาก 0.5% เป็น 1.2% ต่อปี
เป้าหมายด้านอื่นๆ ประกอบด้วย ด้านสภาพภูมิอากาศ ลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 45% ต่อ GDP ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับระดับปี 2548 ซึ่งสอดคล้องกับข้อตกลงปารีส
รัฐซาบาห์ รัฐซาราวัก ลดช่องว่าง GDP ต่อหัวระหว่างเขตภาคกลางและรัฐบอร์เนียว ด้วยอัตราส่วน 1:2.5 สำหรับรัฐซาบาห์ และอัตราส่วน 1:1.2 สำหรับรัฐซาราวัก และธุรกิจ วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดเล็ก และขนาดกลางมีส่วนใน GDP ถึง 45% และคิดเป็น 25% ของการส่งออกทั้งหมดภายในปี 2568
แบงก์ชาติสิงคโปร์พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลกันธุรกรรมธนาคารผิดกฎหมาย
สิงคโปร์จะมีความสามารถมากขึ้นด้วยชั้นความปลอดภัยดิจิทัลใหม่ภายในปี 2566 เพื่อจัดการกับธุรกรรมทางการเงินที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการประกอบอาชญากรรมและการก่อการร้าย และการพัฒนาอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง
Monetary Authority of Singapore (MAS) ซึ่งกำกับดูแลศูนย์กลางทางการเงินที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งได้ประกาศเมื่อวันศุกร์ (1 ต.ค. ) ว่า จะเปิดตัวแพลตฟอร์มข้อมูลและแชร์ข้อมูลที่มีชื่อว่า Cosmic เพื่อป้องกันการฟอกเงิน เงินทุนสนับสนุนการก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
Cosmic จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถแบ่งปันข้อมูลลูกค้าหรือธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยในเวลาที่ทันการณ์ เมื่อพบธุรกรรมที่เข้าข่ายความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ
“การแบ่งปันข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้สถาบันการเงินแยกแยะและขัดขวางเครือข่ายที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะช่วยปกป้องศูนย์กลางการเงินของสิงคโปร์” ธนาคารกลางของสิงคโปร์ระบุในแถลงการณ์
แพลตฟอร์ม Cosmic เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง MAS และธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 6 แห่งในสิงคโปร์ ได้แก่ DBS, OCBC, UOB, Standard Chartered, Citibank และ HSBC และธนาคารทั้ง 6 แห่งจะยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มร่วมกับ MAS ต่อไป และจะเป็นผู้ใช้รายแรกเมื่อเปิดตัวในปี 2566 ควบคู่ไปกับกรอบการกำกับดูแลเพื่อควบคุมการแบ่งปันข้อมูล
MAS วางแผนที่จะขยายขอบเขต Cosmic ไปสู่สถาบันการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำหนดให้มีการแบ่งปันบางแง่มุม โดยในขั้นต้น Cosmic จะมุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงินที่สำคัญ 3 ประการในการธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ การใช้บริษัทที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่มีการดำเนินงานในทางที่ผิด การใช้บริการการเงินเพื่อการค้าในทางที่ผิด และการจัดหาเงินทุนเพื่อการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และจะขยายไปสู่ด้านอื่นต่อไป
“MAS จะอนุญาตให้แบ่งปันข้อมูลนี้ตามกฎหมาย โดยสถาบันการเงินได้รับอนุญาตเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการกับการฟอกเงิน การจัดหาเงินทุนให้กับการก่อการร้าย และการจัดหาเงินทุนเพื่อการขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ” ธนาคารกลางกล่าว
MAS จะเริ่มกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะเกี่ยวกับกรอบกฎหมายที่เสนอสำหรับ Cosmic รวมถึงคุณสมบัติของแพลตฟอร์ม
“MAS ขอเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่งความคิดเห็น ข้อเสนอและการแก้ไขกฎหมาย ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564” แถลงการณ์ระบุ
ธนาคารกลางระบุว่า Cosmic จะมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตและจะดำเนินการโดย MAS
MAS จะกำหนดให้ผู้เข้าร่วม Cosmic ทั้งหมดใช้มาตรการที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการใช้และการเปิดเผยข้อมูล Cosmic โดยไม่ได้รับอนุญาต จะกำกับดูแลสถาบันการเงิน (FIs) ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้และดำเนินการกับความผิดพลาด
นางสาว ลู ซิว ยี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านนโยบาย การชำระเงิน และอาชญากรรมทางการเงินแห่ง MAS กล่าวว่า Cosmic จะเพิ่มความสามารถของ FIs ในประเทศอย่างมีนัยสำคัญในการตรวจจับและควบคุมธุรกรรมที่น่าสงสัย ขณะที่ลดผลกระทบต่อผู้ที่ทำธุรกรรมถูกกฎหมาย
“กรอบการแบ่งปันข้อมูลได้รับการออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายพฤติกรรมทางอาญาที่ร้ายแรง และช่วยให้ FIs สามารถตรวจจับผู้ไม่หวังดีเพื่อกำจัดและยับยั้งได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่เชื่อถือได้และศูนย์กลางธุรกิจที่ FI สามารถให้บริการ ลูกค้าที่ถูกกฎหมายส่วนใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น”
MAS ระบุว่า Cosmic ซึ่งย่อมาจาก Collaborative Sharing of Money Laundering, Terrorism Financing Information and Cases จะช่วยให้ FIs เตือนระหว่างกันเกี่ยวกับธุรกรรมที่ผิดปกติในบัญชีของลูกค้า ซึ่งเป็นความท้าทายทั่วไปที่เผชิญในเขตอำนาจรัฐส่วนใหญ่
“ช่องว่างนี้มักถูกใช้โดยอาชญากรทางการเงินเพื่อทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายผ่านเว็บของหน่วยงานที่มีบัญชีใน FI ต่างกัน ดังนั้น FI แต่ละแห่งจึงไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะตรวจจับธุรกรรมเหล่านี้ได้ทันท่วงที”
นายลัม ฉี คิน หัวหน้ากลุ่มกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และสำนักเลขาธิการธนาคารดีบีเอส กล่าวว่าเทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เปลี่ยนเกมในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน
นางสาวลอเร็ตต้า เหยียน หัวหน้ากลุ่มกฎหมายและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ ธนาคารโอซีบีซี กล่าวว่า แท้ธนาคารต่างๆ ได้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ได้ต่อสู้กับอาชญากรรมเหล่านี้อย่างมากด้วยตัวเอง ซึ่งจำกัดความสามารถในการป้องกันผลกระทบให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ .
“ผู้กระทำความผิดด้านอาชญากรรมทางการเงินมักใช้บัญชีธนาคาร จากธนาคารต่าง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อซ่อนและใช้เงินที่ผิดกฎหมาย การแบ่งปันข้อมูลและข้อมูลของบัญชีที่น่าสงสัยในขั้นแรกบนแพลตฟอร์มทั่วไป จะส่งการแจ้งด้วยธงสีแดงทั่วทั้งเครือข่ายอย่างรวดเร็ว เพื่อระงับไม่ให้ธนาคารถูกนำไปใช้ในอาชญากรรมทางการเงิน”
นายจามิล อาห์เมด หัวหน้าเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ เอชเอสบีซี สิงคโปร์ กล่าวว่า Cosmic จะช่วยให้ธนาคารสามารถขยายขีดความสามารถที่มีอยู่ขึ้นไปอีก ในการตรวจจับ วิเคราะห์ และบรรเทาอาชญากรรมทางการเงินได้
PayNow ของสิงคโปร์- DuitNow ของมาเลเซียจะเชื่อมกันในไตรมาส4 ปีหน้า
ธนาคารกลางสิงคโปร์(Monetary Authority of Singapore:MAS) และธนาคารกลางมาเลเซีย( Bank Negara Malaysia:BNM) ได้ร่วมแถลงแผนการที่จะเริ่ม การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ของ PayNow ของสิงคโปร์และ DuitNow ของมาเลเซีย
การเชื่อมโยงระยะแรกจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 4 ปีหน้า ส่งผลให้ลูกค้าสถาบันการเงินที่เข้าร่วม สามารถทำการโอนเงินแบบเรียลไทม์ระหว่างทั้งสองประเทศโดยใช้เพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือสแกนที่ QR codes ตามร้านค้า
ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมให้ความเห็นว่า ลูกค้ารายบุคคลและลูกค้าองค์กรจะได้รับประโยชน์จากการโอนเงินที่ถูกกว่าและเร็วกว่า ขณะที่ธนาคารและฟินเทครายอื่นๆ ที่มีความสามารถด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งสามารถให้บริการได้มากขึ้น ในระดับที่กว้างขึ้น การเชื่อมโยงการชำระเงินนี้สามารถลดความยุ่งยากการใช้เงินสดเมื่อเปิดพรมแดนการเดินทางอีกครั้ง
ในแถลงการณ์ร่วม MAS และ BNM กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยให้การชำระเงินราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับการส่งเงินจำนวนมากระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งมีมูลค่าถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2020
นอกจากนี้ยังจะรองรับนักเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศซึ่งมีปริมาณนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยประมาณ 12 ล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาด
หลังจากการเปิดตัวเฟสแรก การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow จะขยายต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ให้มากขึ้นและมีผู้เข้าร่วมที่หลากหลายขึ้น
หน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองจะประเมินความเป็นไปได้ในการผสานฟีเจอร์ที่มีลักษณะเป็นนวัตกรรม เช่น โซลูชันที่ใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย(distributed ledger technology-based solutions) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหักบัญชีการชำระเงินและการชำระบัญชีระหว่างธนาคารที่เข้าร่วม
โซปเนนดู โมฮันตี ผู้บริหารด้านฟินเทคของ MAS กล่าวว่า “ช่องทางการโอนเงินของสิงคโปร์กับมาเลเซียเป็นช่องทางการโอนเงินที่ใหญ่ที่สุดของเรา การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อรองรับความต้องการการชำระเงินข้ามพรมแดนของบุคคลและธุรกิจ ตลอดจนการเติบโตของดิจิทัล กิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ”
ฟราเซียลี อิสมาอิล ผู้ช่วยผู้ว่าการ BNM กล่าวว่า “การริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังเกิดโรคระบาด”
การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow เป็นอีกก้าวหนึ่งสู่การบรรลุเครือข่ายระดับภูมิภาคของระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมโยงกัน
ในเดือนเมษายน MAS และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศว่า ได้เปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายย่อยของ 2 ประเทศ เป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของประเทศไทย และระบบเพย์นาว (PayNow) ของประเทศสิงคโปร์ การเชื่อมโยงมุ่งเป้าไปที่การลดค่าใช้จ่ายในการโอนเงินและช่วยให้การโอนเงินระหว่างสองประเทศเสร็จสิ้นภายใน 5 นาที ซึ่งต่างจาก 1-2 วันทำการค่าเฉลี่ยก่อนหน้า จากการใช้โซลูชันการโอนเงินข้ามพรมแดนส่วนใหญ่
เวียดนามปรับเงื่อนไขใหม่แรงงานต่างชาติ
มติของรัฐบาลล่าสุดได้อำนวยความสะดวกแก่วิสาหกิจ สหกรณ์ และธุรกิจครัวเรือน อย่างมากในการออกใบอนุญาตแก่แรงงานต่างด้าวในเวียดนาม
การปรับเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยที่เกี่ยวข้องกับคนงานและผู้เชี่ยวชาญเป็น 1 ใน 4 แนวทางหลักที่ระบุไว้ในมตินี้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่องค์กรและพนักงานต้องเผชิญโดยตรง
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเวียดนาม รัฐบาลได้ขอให้กระทรวงแรงงาน ผู้ทุพพลภาพ และกิจการสังคม สั่งให้ท้องถิ่นผ่อนคลายกฎระเบียบและเงื่อนไขบางประการเกี่ยวกับการอนุญาตและการขยายเวลาใบอนุญาตทำงานภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ยังคงให้การป้องกันและควบคุมโรคระบาด
ข้อ ก ของวรรค 3 ในมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาหมายเลข 152/2020/ND-CP ระบุว่าชาวต่างชาติต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าหรือเทียบเท่า และมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 3 ปีในด้านความเชี่ยวชาญพิเศษที่ได้รับการฝึกอบรม และตรงกับงานที่วางแผนจะทำในเวียดนาม
กฎข้อนี้ได้ผ่อนคลายลง เป็น ชาวต่างชาติต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าหรือเทียบเท่า และมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 3 ปีซึ่งตรงกับงานที่วางแผนจะทำในเวียดนาม
ข้อ ก วรรค 6 ในมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาหมายเลข 152/2020/ND-CP กำหนดว่าต้อง “มีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 3 ปีในด้านความเชี่ยวชาญพิเศษที่แรงงานได้รับการฝึกอบรม” ได้รับการแก้ไขเป็น “มีประสบการณ์การทำงานที่ตรงกับงานที่วางแผนจะทำในเวียดนามอย่างน้อย 3 ปี
นอกจากนี้ ข้อ ข วรรค 4 ในมาตรา 9 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 152/2020/ND-CP ได้เพิ่มคำว่า “giay chung nhan” (รับรอง) และใบอนุญาตทำงานที่ออกให้แล้วสามารถใช้เป็นเอกสารที่แสดงคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญและ เจ้าหน้าที่เทคนิคในเอกสารขอใบอนุญาตทำงาน และปรับเป็น “เอกสารที่แสดงคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญ ผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคภายใต้ข้อบังคับในข้อ 3, 6 ในมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกานี้คืออนุปริญญา ปริญญา ใบรับรองเอกสารรับรอง เอกสารยืนยันที่ออกโดยหน่วยงาน องค์กร และองค์กรในประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิค หรือใบอนุญาตทำงานที่ออกแล้วเพื่อแสดงถึงประสบการณ์
อัตราการว่างงานของเวียดนามพุ่งสูงสุดตั้งแต่โควิดระบาด
อัตราการว่างงานของเวียดนามในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นเป็น 3.72% ซึ่ง สูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2563 เมื่อมีการตรวจพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาครั้งแรกในประเทศ
อัตราว่างงานนี้คำนวณจากประชากรวัยทำงาน ที่เป็นผู้ชายอายุ 15-60 ปี และผู้หญิง 15-55 ปี ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติทั่วไป
เวียดนามมีคนประมาณ 49.2 ล้านคนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปในไตรมาสที่ 3 ลดลง 1.9 ล้านคนเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 และลดลง 2.1 ล้านคนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
อัตราการว่างงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 2.91% สถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่ซับซ้อนส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอย่างมากในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สำนักงานสถิติระบุในรายงาน
ณ วันที่ 21 กันยายน ได้มีการแจกเงินช่วยเหลือประกันสังคมเกือบ 13.8 ล้านล้านด่อง (600 ล้านดอลลาร์) ให้กับประชาชนประมาณ 17.6 ล้านคน ซึ่งรวมถึงการใช้จ่าย 11.4 ล้านล้านดองใน 23 เมืองและจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดรุนแรงที่สุด เฉพาะนครโฮจิมินห์เพียงแห่งเดียวมีการใช้จ่ายเงินกว่า 5.446 ล้านล้านด่องให้คนมากกว่า 4.8 ล้านคน
นอกจากนี้มีการนำข้าวสารสำรองของประเทศมากกว่า 136,349 ตันไปแจกจ่ายให้กับครัวเรือนมากกว่า 2.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นจำนวนสมาชิกครัวเรือนเกือบ 9.1 ล้านคน
ในสิ้นปี 2020 เวียดนามมีประชากร 97.58 ล้านคน โดย 36.8% อาศัยอยู่ในเขตเมืองและส่วนที่เหลืออยู่ในพื้นที่ชนบท อัตราการว่างงานของประชากรวัยทำงานในปีที่แล้วอยู่ที่ 2.48%