ตามไปดู “ยอดมนุษย์ นายกฯตู่” 7 ปี นั่งประธาน’หัวโต๊ะ’ – หัวหน้าคณะทำงานกี่ชุด ลุยแก้ปัญหาอะไรบ้าง
จากการที่ระบบราชการ รวมทั้งกฎหมายไทยหลายฉบับ กำหนดให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการ” ขึ้นมาทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับดูแล และขับเคลื่อนภารกิจ รวมแล้วเกือบ 100 คณะ การตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ใช้รูปแบบของ “องค์คณะ” ร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งบางครั้งก็อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดและปัญหาต่าง ๆตามมา กลายเป็นคอขวดในการบริหารจัดการ เพราะคณะกรรมการหลายๆชุด กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งมาโดยตำแหน่ง ซึ่งแต่ละตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการชุดต่างๆมากมาย อาทิ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ฯลฯ ไม่นับตำแหน่งที่ไปนั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆอีก
คำถามว่า…แล้วจะมีเวลาคิด ตรึกตรองมากน้อยแต่ไหนในการทำหน้าที่กรรมการแต่ละชุด แค่ใช้เวลาประชุมกับคณะกรรมการชุดต่างๆในแต่ละเดือน ก็หมดเวลาแล้ว แล้วจะมีเวลาไปบริหารจัดการงานประจำตำแหน่งได้อย่างไร
จะว่าไปแล้วคณะกรรมการชุดต่างๆที่แต่งตั้งมาแก้ปัญหา มาตรวจสอบ มากำกับดูแล ฯลฯ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เสือกระดาษ และเพื่อซื้อเวลา ผ่านไปสักระยะเรื่องนั้นๆก็เงียบหายไป…
ท่ามกลางวิกฤติปัญหาการระบาดเชื้อโควิด-19 เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ชัดถึงความล้มเหลวของผู้นำ ที่พยายามทำตนเป็น “ยอดมนุษย์” รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง บางครั้งการบริหารจัดการต้องให้ผู้ที่เชี่ยวชาญ ผู้รู้ เป็นผู้บัญชาการในการตัดสินใจ
นับเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ฯ แม้จะออกมาแสดงสปิริต ประกาศไม่รับเงินเดือนละ 125,590 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อนำเงินไปใช้แก้ปัญหาโควิดฯ แต่ปัญหามันบานปลายไปไกลแล้ว แค่ประชาชนมารอคิวเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ยังต้องเข้าคิวกันข้ามคืน นอนบนสะพานลอย วัด ข้างถนน…
หากนับเฉพาะช่วงเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่สมัย คสช.ในช่วงปี 2557-2564 นับเป็นเวลากว่า 7 ปีที่พลเอกประยุทธ์นั่งเป็นประธาน ‘หัวโต๊ะ’ ลุยแก้ปัญหาสารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ , สังคม , การเมืองการปกครอง , การค้าการลงทุน , การคมนาคมขนส่ง , การศึกษา , เทคโนโลยีดิจิทัล , ไกล่เกลี่ยปัญหาข้อพิพาท , แก้ปัญหาคอร์รัปชัน , สิ่งแวดล้อม , การท่องเที่ยว และสาธารณสุข
เกือบทุกเรื่องตามที่กล่าวข้างต้น ต้องมีนายกฯ นั่งเป็นประธาน ‘หัวโต๊ะ’ หรือ หัวหน้าคณะทำงานคอยแก้ปัญหาทุกเรื่อง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ เพราะไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง นายก ฯไม่ใช่ “ยอดมนุษย์” แม้แต่ยอดมนุษย์เอง ก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง
เนื่องจากมีพระราชบัญญัติหลายฉบับกำหนดให้นายก ฯ ต้องไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมการอยู่หลายคณะ 7 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ ต้องไปนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ อาทิ
- พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 : มาตรา 17 ให้นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ
- พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 : มาตรา 4 ให้นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
- พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ.2535 : มาตรา 5 ให้นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
- พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 : มาตรา 6 ให้นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ในช่วงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการใช้อำนาจแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีกมากมาย โดยอาศัยอำนาจจาก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ตัวอย่างเช่น พลเอกประยุทธ์แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย (คำสั่งนายกฯ ที่ 52/2558) หรือ ตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายบริหารข้าวแห่งชาติ (คำสั่งนายกฯ ที่ 194/2562)
อีกทั้งนายกฯ ยังมีอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งปกติไม่ค่อยถูกหยิบมาใช้ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ทำให้พลเอกประยุทธ์ออกคำสั่งนายก ฯ ที่ 5/2563 จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจในชื่อ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยมีพลเอกประยุทธ์เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ซึ่งมีอำนาจสูงที่สุด
จากการรวบรวมข้อมูลของสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า พบว่าตั้งแต่ปี 2557 มีคณะทำงานที่พลเอกประยุทธ์ แต่งตั้งตนเองเข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการไม่ต่ำกว่า 70 คณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปี 2557 – 2562 สมัยที่เป็นนายก ฯ จากการรัฐประหารรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศ และเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายคณะ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คำสั่งคสช.ที่ 72/2557), คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คำสั่งคสช.ที่ 127/2557 และ 3/2561), คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (คำสั่งคสช.ที่ 3/2560)
อย่างไรก็ตาม ยังมีตราพระราชบัญญัติอีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งเกิดขึ้นในยุคสมัยที่พลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช. กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตัวอย่างเช่น พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ฯลฯ
แต่ด้วยภาระหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวคนเดียว เนื่องจากต้องกำกับดูแลงานต่าง ๆมากมาย อีกทั้งยังไปนั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการหลายคณะ และแทบเป็นไปไม่ได้ที่นายกรัฐมนตรีจะสามารถเข้าประชุมทุกวาระ นายก ฯ จึงต้องถ่ายโอน – กระจายอำนาจการบริหารไปให้รองนายกรัฐมนตรี ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์สมัยที่ 2 นายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกอย่างน้อย 15 คณะ พลเอกประยุทธ์ถ่ายโอนอำนาจให้รองนายกฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้แก่
- คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน – พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน
- คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ – พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน
- คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ – วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน
- คณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ – วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน
- คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ – วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน
- คณะกรรมการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน – วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน
- คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ – นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน
- คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ – นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน
- คณะกรรมการว่าด้วยการประสานงานเพื่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา – นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน
- คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ – นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน
- คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ – นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นประธาน
- คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ – นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นประธาน
- คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ – นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นประธาน
- คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินคัาและบริการของประเทศ – นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นประธาน
- คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ – นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นประธาน
นอกจากนี้ กฎหมายไทยหลายฉบับ กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะทำงานโดยนิตินัย ทว่าความเป็นจริงแล้วพลเอกประยุทธ์ยังได้มอบหมายให้รองนายกฯ รับผิดชอบคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอยู่แล้ว ดังนี้
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะการ ดังนี้
- คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
- คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
- คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
- คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
- คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
- คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานคณะกรรมการ ดังนี้
- คณะกรรมการกฤษฎีกา
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
- คณะกรรมการคดีพิเศษ
- คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดีทัศน์แห่งชาติ
- คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
- สภาลูกเสือกไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานคณะกรรมการ ดังนี้
- คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
- คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี
- คณะกรรมการป้องกันและแก่ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
- คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ
- คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นประธานคณะกรรมการ ดังนี้
- คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
- คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
- คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ
- คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นประธานคณะกรรมการ ดังนี้
- คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
- สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
- คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นประธานคณะกรรมการ ดังนี้
- คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ
- คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
แนวคิดการถ่ายโอนอำนาจจะถูกใช้ยามพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรง จึงมีตัวสำรองอันดับ 1 อย่างพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณมาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะด้านการรักษาราชการแทน แต่กรณีที่พลเอกประวิตรไม่อยู่ กฎหมายก็จะส่งมอบหน้าที่ให้รองนายกฯ เป็นลำดับขั้น เรียงตามลำดับคือ นายวิษณุ เครืองาม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์, นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ และสุดท้ายนายดอน ปรมัตถ์วินัย
เช่นเดียวกันกับการ ‘กำกับบริหารราชการ’ ที่พลเอกประยุทธ์มักจะเลือกมือขวาและมือซ้ายให้ป็นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และนายวิษณุ เครืองาม เป็นลำดับแรกๆ ทำให้รองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายแทนสามารถให้ส่วนราชการชี้แจงหรือรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน และอนุมัติให้เสนอเรื่องต่อครม.แทนได้จากเดิมที่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวงจะขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่เมื่อพลเอกประยุทธ์มอบหมายการกำกับบริหารราชการ หมายความว่ารองนายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการสั่งการเทียบเท่านายกฯ
- พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รับผิดชอบ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน
- นายวิษณุ เครืองาม รับผิดชอบ 8 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม (ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ), กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงอุตสาหกรรม, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานราชบัณฑิตยสภา
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล รับผิดชอบ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข
- นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รับผิดชอบ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์
- นายดอน ปรมัตถ์วินัย รับผิดชอบ 2 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและพัฒนานวัตกรรม
- นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รับผิดชอบ 2 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน
ส่วนพลเอกประยุทธ์เองก็มีอำนาจกำหนดดูแล 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
นอกจากการกำกับบริหารราชการแล้ว ยังมีอำนาจ ‘กำกับ ฯ สั่งและปฏิบัติราชการ’ และ ‘สั่งและปฏิบัติราชการ’ ซึ่งเป็นอำนาจรองมาจากการกำกับบริหารราชการ ตามลำดับ
- พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำกับฯ สั่งและปฏิบัติราชการ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, สำนักงานประมาณ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
- พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กำกับฯ สั่งและปฏิบัติราชการ 1 หน่วยงาน คือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทั้งยังมีอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
- นายวิษณุ เครืองาม กำกับฯ สั่งและปฏิบัติราชการ 7 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
- นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กำกับฯ สั่งและปฏิบัติราชการ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย
การกระจายอำนาจในสมัยพลเอกประยุทธ์ ยังครอบคลุมไปถึงรายจังหวัด ดังนี้
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
- ภาคกลาง 6 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง
- ภาคเหนือ 4 จังหวัด เชียงราย พะเยา น่าน แพร่
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ชัยภูมิ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์
- ภาคใต้ 3 จังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา
นายวิษณุ เครืองาม
- ภาคกลาง 4 จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร (ภาคกลางตอนล่าง)
- ภาคเหนือ 4 จังหวัด กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี
- ภาคใต้ 5 จังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงชลา พัทลุง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล
- ภาคกลาง 3 จังหวัด กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี
- ภาคเหนือ 4 จังหวัด เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จังหวัด นครพนม มุกดาหาร สกลนคร
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี
- ภาคตะวันออก 5 จังหวัด จันทบุรี ปราจีนบุรี ตราด สระแก้ว นครนายก
- ภาคใต้ 6 จังหวัด กระบี่ ภูเก็ต ตรัง ระนอง สตูล พังงา
นายดอน ปรมัตถ์วินัย
- ภาคเหนือ 5 จังหวัด ตาก พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ร้อยเอ็ด
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
- ภาคกลาง 4 จังหวัด นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด บึงกาฬ หนองบัวลำภู เลย อุดรธานี หนองคาย
- ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ ที่ต้องปฏิบัติงานทั้งในสถานการณ์ปกติ และในช่วงวิกฤติโควิด ฯกิจวัตรประจำวัน คือ เดินออกจากห้องโน้น มาประชุมต่อห้องนี้ นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะวันละ 2-3 คณะ สัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 15 ครั้ง ปีละ 780 ครั้ง ต่อให้เป็นยอดมนุษย์ ก็ไม่ได้รู้และเก่งทุกเรื่อง…