ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > Krungsri Research > วิจัยกรุงศรีลดประมาณการ GDP อีกรอบโตแค่ 2% ระบาดระลอก 3 แรงกว่าคาด

วิจัยกรุงศรีลดประมาณการ GDP อีกรอบโตแค่ 2% ระบาดระลอก 3 แรงกว่าคาด

18 พฤษภาคม 2021



วิจัยกรุงศรีเผยแพร่รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ใน Monthly Economic Bulletinโดยระบุภาพรวม ว่า การระบาดของไวรัสโควิดยังเป็นความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจโลก แต่แนวโน้มการเติบโตและการจ้างงานสดใสขึ้นจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด

สำหรับเศรษฐกิจไทยการฟื้นตัวสะดุดหัวทิ่ม แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกสลาย

  • GDP ไตรมาสแรกปีนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบสองแต่หดตัวน้อยกว่าคาด การฟื้นตัวสะดุดเพราะการระบาดระลอกสามยาวนานกว่าประเมินไว้
  • การประมาณการแนวโน้มการติดเชื้อครั้งล่าสุดพบว่า ยอดผู้ติดเชื้อรายวันจะลดต่ำกว่า 100 ช่วงปลายกรกฎาคมและปลายสิงหาคม
  • วิจัยกรุงศรีคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งไปไปจนถึงปีหน้า
  • วิจัยกรุงศรีมีความเห็นต่อเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2564 หดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ที่-2.6% YoY คาดทั้งปีขยายตัว 2.0% GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ -4.2% ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน และหดตัวน้อยกว่าที่วิจัยกรุงศรีและผลสำรวจ Bloomberg คาดไว้ที่ -3.3% และ -3.6% ตามลำดับ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายรัฐบาลและการเติบโตเร่งขึ้นของการลงทุนภาครัฐ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนกลับมาหดตัวอีกครั้ง

    ผลกระทบจากการระบาดระลอกที่สองในช่วงปลายปี 2563 บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับตลาดแรงงานยังคงมีความเปราะบาง ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกจากมาตรการเยียวยาของรัฐช่วยพยุงการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนมิให้ทรุดแรง

    วิจัยกรุงศรีปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เป็นขยายตัว 2% จาก 2.2% ผลกระทบจากการระบาดระลอกสามมีแนวโน้มรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน

    โดยจากแบบจำลองสถานการณ์การระบาดล่าสุด (ข้อมูลถึงวันที่ 17 พฤษภาคม) คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันกว่าจะปรับลดลงมาต่ำกว่า 100 ราย อาจเป็นในช่วงเดือนสิงหาคม ช้าลงจากเดิมเคยคาดไว้ต้นเดือนกรกฎาคม ดังนั้น กิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะการใช้จ่ายภาคเอกชนอาจถูกจำกัดมากขึ้น รวมถึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทยในปีนี้มีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 3.3 แสนคน

    อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไตรมาสแรกที่หดตัวน้อยกว่าคาด การขยายตัวของภาคส่งออกในปี 2564 มีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศแกนหลัก และหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดวงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ปัจจัยบวกเหล่านี้จะช่วยลดแรงกระทบจากผลเชิงลบที่เพิ่มขึ้นในการคาดการณ์ล่าสุด ทางด้านสภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เป็น 1.5- 2.5% จากเดิมคาด 2.5-3.5%

    วิจัยกรุงศรีมองว่าความเป็นไปได้ที่กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในครึ่งหลังของปีนี้ ขณะนี้ ธปท. ให้ความสำคัญกับนโยบายการเงินแบบมีเป้าหมายมากกว่านโยบายอัตราดอกเบี้ย เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ทั่วถึง จึงคงมุมมองว่ากนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จนถึงปีหน้าหรือจนกว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะฟื้นตัวเต็มที่

    ทางการปรับเป้าหมายการจัดหาและการฉีดวัคซีน ขณะที่วิจัยกรุงศรีประเมินสถานการณ์การระบาดเลวร้ายกว่าเดิม การประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ (วันที่ 12 พฤษภาคม) มีมติในประเด็นสำคัญดังนี้

      1) ปรับเพิ่มจำนวนการจัดหาวัคซีนเป็น 150 ล้านโดส ภายในปี 2565 (จากเดิม 100 ล้านโดส ในปี 2564)
      2) ปรับแนวทางการฉีดวัคซีนเป็นการปูพรมฉีดเข็มแรกแก่ประชาชนให้มากที่สุด (จากแผนฉีดให้ครบคนละ 2 โดส จำนวน 50 ล้านคน)
      3) เร่งการเจรจาจัดหาวัคซีนให้ได้จำนวนมากที่สุดและหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการระบาดและความรุนแรงของโรค

    จากการพบการระบาดเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล วิจัยกรุงศรีได้ทบทวนประมาณการแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันอีกครั้ง โดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึง ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 จำแนกเป็น 3 กรณีด้วยกัน คือ

  • กรณีแรก หากสามารถคุมการระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ได้ (เส้นสีเหลือง) จำนวนสูงสุดของผู้ติดเชื้อใหม่จะยังอยู่ในเดือนพฤษภาคม (เช่นเดียวกับคาดการณ์เดิม) แต่กว่าจะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 100 รายต่อวันล่าช้าขึ้นเป็นปลายเดือนกรกฎาคม (จากเดิมต้นเดือนกรกฎาคม)
  • กรณีที่สอง หากไม่สามารถคุมการระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ได้ (เส้นสีส้ม) จำนวนสูงสุดของผู้ติดเชื้อจะอยู่ราวปลายเดือนพฤษภาคม และจะใช้เวลามากขึ้นกว่าจะปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 100 รายต่อวัน เป็นในปลายเดือนสิงหาคม และ
  • กรณีเลวร้ายสุด หากมีการระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ (เส้นสีแดง) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า และอาจทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมสูงขึ้นแตะระดับ 3 แสนกว่ารายในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดความเป็นไปได้ของสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อจะอยู่ในช่วงระหว่างกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 (อยู่ระหว่างเส้นสีเหลืองและสีส้ม)
  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบจากจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นและยาวนานขึ้น

    ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมรัฐบาลได้ใช้มาตรการที่เข้มงวดใน 6 จังหวัดที่มียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่เกิน 100 รายขึ้นไปในช่วง 7 วันก่อนหน้าโดยกำหนดเป็น “พื้นที่สีแดงเข้ม (ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด)” อีก 45 จังหวัดถูกกำหนดเป็น “พื้นที่สีแดง (ควบคุมสูง)” และอีก 26 จังหวัดที่เหลือเป็น “พื้นที่สีส้ม (ควบคุม)” รัฐบาลยังขยายระยะเวลากักกันสำหรับผู้เดินทางกลับเข้าประเทศเป็น 14 วันหลังจากวางแผนที่จะลดให้เหลือ 7-10 วันก่อนหน้านี้ และได้ขอความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนให้ใช้มาตรการการทำงานจากที่บ้าน

    กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหยุดชะงักในเดือนพฤษภาคมและอาจจะจนไปถึงเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะใน “พื้นที่สีแดงเข้ม” ซึ่งทั้ง 6 จังหวัดมีส่วนประมาณ 50% ใน GDP

  • วิจัยกรุงศรี ลดคาดการณ์ GDP ปี 64 เหลือ 2.2% ไตรมาส 2 เจอ Technical Recession
  • เศรษฐกิจโลกสดใสจากภาคการผลิตขยับภาคบริการเริ่มฟื้น

    ในส่วนของเศรษฐกิจโลก แม้อัตราเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นในสหรัฐฯและจีนแต่คาดว่าธนาคารกลางยังใช้นโยบายผ่อนคลายต่อไป ส่วนการฟื้นตัวของญี่ปุ่นอาจเผชิญแรงกดดันจากการระบาดรอบใหม่ วิจัยกรุงศรีมองว่าเฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป ส่วนแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อนั้นเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวและยังห่างจากเป้าหมายระยะยาว ตลาดแรงงานสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องสะท้อนจากจำนวนการเปิดรับสมัครงานเดือนมีนาคมแตะ 8.12 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2543 ขณะที่จำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 พฤษภาคมลดลงสู่ระดับ 4.73 แสนรายต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 4.2% พุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551

    เศรษฐกิจสหรัฐฯทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าเดิม วิจัยกรุงศรีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้นจากปัจจัยชั่วคราวทั้งจากฐานต่ำในปีก่อน ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการผลิตที่เร่งตัวขึ้นจากการชะงักงันของอุปทานหลังจากกลับมาเปิดการผลิต ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากภาคบริการกลับมาดำเนินการตามปกติ แต่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะไม่เป็นอุปสรรคต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับเฟดที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวและยังห่างจากเป้าหมายระยะยาวของเฟด ดังนั้น จึงคาดว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปอีกอย่างน้อยไปจนถึงสิ้นปี 2566

    การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเผชิญกับความไม่แน่นอนท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยังรุนแรง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 6.2% YoY สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ขณะที่ผลการสำรวจความเห็นต่อภาวะเศรษฐกิจเดือนเมษายนลดลงสู่ระดับ 39.1 ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยยอดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 4.8% MoM ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน

    การปรับตัวดีขึ้นของตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมีนาคมยังไม่สะท้อนผลจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ ขณะที่ตัวเลขในเดือนเมษายนบ่งชี้ว่าภาคเศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบ ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินโดยเพิ่มพื้นที่ออกไปครอบคลุม 9 จังหวัด (เดิม 6 จังหวัด) และขยายช่วงเวลาจากวันที่ 25 เมษายนไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะระดับ 7,521 รายสูงสุดนับจากเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่ถือเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมทั้งยืนยันว่าธนาคารจะเข้าซื้อหลักทรัพย์ผ่านกองทุน Exchange Traded Fund ในมูลค่าที่สูงพอหากมีเหตุจำเป็น สะท้อนว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยังคงแนวนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป

    คาดธนาคารกลางจีนคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินควบคู่กับการป้องกันความเสี่ยงจากการเก็งกำไร ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 0.9% YoY สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตปรับตัวขึ้นถึง 6.8% สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่ยอดขายรถยนต์เดือนเมษายนเติบโต 8.6% ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ด้านยอดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 11.7% YoY ชะลอลงจากเดือนก่อน

    อัตราเงินเฟ้อซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวทั้งฐานต่ำเทียบจากปีก่อนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อการทยอยกลับมาเปิดการผลิต คาดว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) จะยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป พร้อมกับการใช้มาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อในบางภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจมีความเสี่ยงจากการเก็งกำไร นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อแก่กลุ่มธุรกิจรายย่อย รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนว่า PBOC จะมุ่งเน้นมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดแบบเจาะจงเป้าหมายเพื่อกำกับเฉพาะภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงยิ่งขึ้น ขณะที่ยังคงแนวทางนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปเพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง