ThaiPublica > สู่อาเซียน > สหภาพยุโรปคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐทหารเมียนมา 10 คน บริษัทกองทัพ 2 แห่ง

สหภาพยุโรปคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐทหารเมียนมา 10 คน บริษัทกองทัพ 2 แห่ง

20 เมษายน 2021


พลเอกมินอาวุโส อ่อง หล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง มุขมนตรีแห่งรัฐ และสภาบริหารแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 7เมษายน 2564 ที่มาภาพ: https://www.seniorgeneralminaunghlaing.com.mm/en/date/2021/04/

สหภาพยุโรปคว่ำบาตรบุคคล 10 คนและ บริษัทที่ควบคุมโดยทหาร 2 แห่งจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์และการปราบปรามที่ตามมาในภายหลัง

คณะมนตรียุโรป ได้พิจารณาตัดสินใจ ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับบุคคล 10 คนและบริษัทที่ควบคุมโดยกองทัพ 2 แห่งคือ Myanmar Economic Holdings Public Company Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation Limited (MEC) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารของกองทัพที่มีขึ้นในเมียนมาพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รวมทั้งการปราบปรามของทหารและตำรวจต่อผู้ชุมนุมอย่างสันติ ทั้งนี้การตัดสินใจมีการดำเนินการโดยขั้นตอนเป็นลายลักษณ์อักษร

บุคคลทั้ง 10 คน ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสภาบริหารแห่งรัฐหรือ State Administration Council(SAC) ได้แก่ ซอ เดเนียล, ซาย โลง ส่าย,หม่อง ฮา,พะโด มาน เงน หม่อง, เต็ง ยุ่นต์,ขิ่น หม่อง ส่วย, เอ นุ เส่ง, Jeng Phang หน่อ ต่อง,บันบาร์ ออง โม และ อู ชิต เนียง รัฐมนตรีกระทรวงข้อมูล

แถลงการณ์ระบุว่า SAC ได้มีการตัดสินใจที่จำกัด สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลและการชุมนุมโดยสงบ กองกำลังทหารและหน่วยงานที่ปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมของ SAC ได้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 สังหารผู้ประท้วงที่เป็นพลเรือนและไม่มีอาวุธ มีการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออก รวมถึงการจำกัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต มีการจับกุมและควบคุมตัวผู้นำฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามของการรัฐประหารโดยพลการ นอกจากนี้ SAC ยังได้กำหนดกฎอัยการศึกในบางส่วนของประเทศ ส่งผลให้กองทัพมีอำนาจเต็มในพื้นที่ที่กำหนด รวมถึงการบริหาร การพิจารณาคดีและการบังคับใช้กฎหมาย ในพื้นที่ภายใต้กฎอัยการศึก พลเรือน รวมทั้งนักข่าวและผู้ประท้วงอย่างสันติจะถูกดำเนินคดีโดยศาลทหาร ซึ่งทำให้พวกเขาขาดสิทธิในกระบวนการอันสมควรรวมถึงสิทธิ์ในการอุทธรณ์ การกระทำที่รุนแรงของกองกำลังทหารและตำรวจที่คุกคามสันติภาพ ความมั่นคงและเสถียรภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในพื้นที่ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก

“บุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตร ล้วนมีส่วนรับผิดชอบ ต่อการบ่อนทำลายประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมใน
เมียนมา”
และการตัดสินใจปราบปรามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง นิติบุคคลที่ถูกคว่ำบาตรทั้งสองรายเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจของเมียนมา และมีกองทัพเมียนมา(Tatmadaw)เป็นเจ้าของและบริหาร และจัดหารายได้ให้ มาตรการคว่ำบาตรที่นำมาใช้มุ่งเป้าโดยเฉพาะไปที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของระบอบทหารของเมียนมาซึ่งโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของเมียนมา มาตรการคว่ำบาตรยังมีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดมีผลกระทบต่อชาวเมียนมา

การตัดสินใจในวันนี้เป็นสัญญาณของเอกภาพและความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปในการประณามการกระทำที่โหดร้ายของรัฐบาลทหาร และมีเป้าหมายที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงผู้นำของรัฐบาลทหาร การตัดสินใจในวันนี้ยังส่งสารที่ชัดเจนไปยังผู้นำทางทหารว่า การดำเนินการต่อไปในแนวทางปัจจุบันมีแต่จะนำมาซึ่งความเสียหายและจะไม่สร้างความชอบธรรมใด ๆ

  • อังกฤษ-แคนาดา คว่ำบาตรนายพลเมียนมาหลังยึดอำนาจ
  • คลังสหรัฐฯเผยรายชื่อกลุ่มนายพลเมียนมาก่อรัฐประหารที่ถูกคว่ำบาตร
  • ก่อนหน้านี้วันที่ 22 มีนาคม สหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับบุคคล 11 คน ในเมียนมาไปแล้ว

    มาตรการบังคับมีผลบังคับใช้กับบุคคลทั้งหมด 35 รายซึ่งรวมที่คว่ำบาตรไปก่อนหน้านี้และ บริษัท 2 แห่งนี้ ครอบคลุมการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน นอกจากนี้พลเมืองและ บริษัทในสหภาพยุโรปไม่ได้รับอนุญาตให้การสนุบสนุนทางการเงินแก่บุคคลและนิติบุคคลที่มีรายชื่อดังกล่าว

    มาตรการที่มีข้อจำกัดของสหภาพยุโรปที่มีอยู่เดิมยังคงมีผลบังคับใช้ ซึ่งรวมถึงข้อห้ามเกี่ยวกับอาวุธและอุปกรณ์ที่สามารถใช้ในการปราบปรามภายในประเทศ, การห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองวัตถุประสงค์ทั้เพื่อใช้โดยทหารและตำรวจรักษาชายแดน, ข้อ จำกัด ในการส่งออกอุปกรณ์สำหรับการตรวจสอบการสื่อสารที่สามารถใช้ในการปราบปรามภายในประเทศและ ข้อห้ามในการฝึกทหารและความร่วมมือทางทหารกับ Tatmadaw

    มาตรการที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปเป็นการดำเนินการนอกเหนือ จากการระงับความช่วยเหลือทางการเงินที่ส่งไปยังรัฐบาลโดยตรงและการระงับความช่วยเหลือทั้งหมดไปยังหน่วยงานของรัฐที่อาจถูกมองว่าเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหาร

    สหภาพยุโรปยังคงเป็นผู้สนับสนุนประชาชนเมียนมาอย่างแน่วแน่และการเปลี่ยนผ่านของประเทศในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้การสนับสนุนนี้เป็นรูปธรรม คณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดสรรเงินช่วยเหลือฉุกเฉินด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมอีก 9 ล้านยูโร เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ตั้งแต่ปี 1994 สหภาพยุโรปได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาไปแล้วจำนวน 287 ล้านยูโรโดยจัดสรร 20.5 ล้านยูโรในปี 2564 สหภาพยุโรปทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านมนุษยธรรมที่เชื่อถือได้และเป็นอิสระ เพื่อจัดการกับความต้องการด้านการคุ้มครอง อาหาร โภชนาการและสุขภาพของผู้ที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ รัฐชิน รัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน