ThaiPublica > เกาะกระแส > ‘บีทีเอส’เล็งฟ้อง กทม.ใช้หนี้‘รถไฟฟ้าสีเขียว’กว่า 30,000 ล้าน

‘บีทีเอส’เล็งฟ้อง กทม.ใช้หนี้‘รถไฟฟ้าสีเขียว’กว่า 30,000 ล้าน

26 เมษายน 2021


นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

‘บีทีเอส’ เตรียมฟ้อง กทม.-กรุงเทพธนาคม ชดใช้หนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’กว่า 30,000 ล้านบาท ยันไม่มีเจตนาที่จะนำมาใช้เป็นเงื่อนไขต่อขยายสัญญาสัมปทานฯ

วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงความคืบหน้า เรื่อง “การดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว” ผ่านทางเพจ Facebook ว่าสืบเนื่องจากบริษัท ฯได้ส่งหนังสือติดตามทวงถามตามกฎหมายให้กรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ชำระหนี้แก่บริษัทฯ ซึ่งปรากฏในสื่อ และหนังสือพิมพ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 60 วัน ตามที่บริษัท ฯได้ระบุไว้ในหนังสือทวงถามนั้น บริษัท ฯก็ยังไม่ได้รับแจ้งถึงแนวทางการชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนจากภาครัฐแต่อย่างใด และต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 บริษัท ฯได้ออกจดหมายและคลิปวีดีโอชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ผู้โดยสาร และประชาชนทั่วไปรับทราบ โดยบริษัท ฯยืนยันว่าการใช้สิทธิทางกฎหมายที่ผ่านมา บริษัท ฯไม่เคยกระทำการใด ๆที่ส่งผลกระทบ หรือ เรียกร้องให้ภาครัฐใช้อำนาจตามกฎหมายกำหนดอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้น

ณ ปัจจุบัน ทางบริษัท ฯกำลังประสบปัญหาอย่างมาก จากการต้องแบกรับภาระหนี้จำนวนมากเป็นระยะเวลานานกว่า 4 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 ที่เริ่มเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าโดยสารให้แก่ประชาชน

โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัท ฯได้พยายามติดต่อกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เพื่อหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางการชำระหนี้ ทำให้ ณ ปัจจุบันภาระหนี้สะสมที่ภาครัฐบาลมีต่อบริษัท ฯเพิ่มขึ้นสูงกว่า 30,000 ล้านบาท (ประกอบด้วยหนี้ค่าจ้างเดินรถตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 จนถึงเดือนมีนาคม 2564 จำนวน 10,903 ล้านบาท และหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) จำนวน 20,768 ล้านบาท) และล่าสุดตามที่เป็นข่าวของการประชุมสภา กทม.เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา สภา กทม. ได้ปฏิเสธการใช้งบประมาณของ กทม.มาชำระหนี้ดังกล่าว และได้เสนอทางเลือกให้กับฝ่ายบริหารในการขอให้รัฐบาลสนับสนุนหรือร่วมลงทุนกับเอกชน ตามแนวทางของคำสั่ง คสช.

ดังนั้นในฐานะที่เป็นบริษัทลูกของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นประชาชนร่วมลงทุนอยู่จำนวนกว่า 101,700 ราย รวมถึงมีเจ้าหนี้ที่ให้เงินกู้แก่บริษัท ฯมาประกอบธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ใช้สิทธิตามสัญญาในการติดตามทวงถามกรุงเทพมหานคร และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งบริษัท ฯได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย และไม่ได้มีความประสงค์ที่จะนำหนี้ค้างชำระดังกล่าว มาเป็นเงื่อนไขในการแก้ไขสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวภายใต้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2562 แต่อย่างใด

แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาภาระหนี้ โดยในปี 2562 ได้เสนอขอให้ทางบริษัท ฯเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงในผลประกอบการในระยะยาว แทนการเรียกหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวกับภาครัฐบาล ซึ่งนำมาสู่ผลการเจรจาร่างสัญญาแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ได้รับความเห็นชอบโดยคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นภายใต้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2562 และผ่านการตรวจสอบในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยในขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจและดุลพินิจของภาครัฐบาลที่จะกำหนดใช้แนวทางใดตามที่เห็นสมควร โดยพิจารณาถึงประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน

ที่สำคัญบริษัท ฯรับทราบว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อพยายามแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว และบริษัท ฯได้ให้ความร่วมมือด้วยดีกับภาครัฐบาลในการสนับสนุนและแก้ไขปัญหามาโดยตลอด ส่วนแนวทางการดำเนินการต่อไปจะเป็นเช่นไรเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของรัฐบาล โดยบริษัท ฯยังคงยืนยันที่จะดำเนินการใช้สิทธิตามกฎหมาย และสัญญาในขั้นตอนต่อไป เพื่อปกป้องสิทธิผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งเป็นประชาชนรายย่อยที่ถือหุ้นอยู่จำนวนมาก

ตลอดระยะเวลากว่า 21 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2542 บริษัท ฯได้จัดให้มีบริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านผู้โดยสารและประชาชน ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร และมลภาวะในกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน แม้ว่าในบางช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัท ฯจะเคยประสบปัญหาสถานภาพทางการเงินอย่างหนัก จนถึงกับต้องนำบริษัท ฯเข้าฟื้นฟูผ่านศาลล้มละลายมาแล้ว

จากการที่ต้องรับภาระลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นเพียงโครงการเดียวในประเทศไทยที่กำหนดให้เอกชนต้องเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด รวมถึงงานโครงสร้างพื้นฐาน แต่บริษัทฯ เลือกที่จะยึดมั่นในหลักการที่จะให้บริการเดินรถที่ดีที่สุดแก่ประชาชน จึงทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ ยังคงให้บริการเดินรถได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบใด ๆ และในอนาคตบริษัทฯ จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้โดยสารทุกท่านได้รับบริการเดินรถที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดอย่างต่อเนื่องต่อไป