ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ลงพื้น “ฉะเชิงเทรา” ตามความคืบหน้า EEC – มติ ครม.อนุมัติงบกลางปี 37,900 ล้าน หนุนกองทุนประชารัฐ

“บิ๊กตู่” ลงพื้น “ฉะเชิงเทรา” ตามความคืบหน้า EEC – มติ ครม.อนุมัติงบกลางปี 37,900 ล้าน หนุนกองทุนประชารัฐ

19 มีนาคม 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ซึ่งในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยหลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดสะพานฯ นายกรัฐมนตรีได้พบปะชาวจังหวัดตากกว่า 10,000 คน ที่มารอให้การต้อนรับบริเวณด้านศุลกากร เชิงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ประชาชนได้โอกาสในการพัฒนาความเชื่อมโยงคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกล่าวถึงผลงานของรัฐบาลตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาขยะ ปัญหาจราจร ที่ดินทำกิน ปัญหาประมง IUU และปัญหา ICAO เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลก็พยายามแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน และปัญหาด้านการศึกษาของเด็กๆ ให้ดีขึ้น

พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวทิ้งท้าย โดยฝากให้ประชาชนเลือกผู้นำรัฐบาลที่เข้มแข็ง และมีธรรมาภิบาล ที่เข้ามาสานต่องาน ซึ่งก่อนเดินทางกลับ นายกฯ ได้ร้องเพลง “หยุดตรงนี้ที่เธอ” ให้แก่ประชาชนด้วย

งดสัมภาษณ์ประชุม ครม. นัดสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง

เมื่อนายกฯ เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ก่อนเข้าประชุม ครม. นายกฯ ยังได้ทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวว่า ไม่เหนื่อยกันหรือ สื่อมวลชน จึงได้ถามต่อว่า รู้สึกอย่างไรกับการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยนายกฯ ได้ตอบสั้นๆ ว่า มันคนละเรื่องกัน

ทั้งนี้ นายกฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเจรจาต่อรองในหลายเรื่อง ซึ่งคนที่ทำทุกอย่างก็ไม่พ้นตนเอง พร้อมระบุด้วยว่า สิ่งที่รัฐบาลทำหวังดีต่อประเทศทั้งสิ้น ซึ่งกิจกรรมทุกอย่างต้องเริ่มจาก 1,2,3 เป็นขั้นตอน จะล้มล้างทุกอย่างเป็นไปได้หรือไม่ ต้องพิจารณากันเอาเอง พวกเราทุกคนทำประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่นายกฯ คนเดียว

ด้าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการดูแลความเรียบร้อย ในช่วงวันเลือกตั้ง 24 มีนาคมนี้ ยังคงเรียบร้อยดี พร้อมยืนยันไม่มีใบสั่งบังคับให้ทหารสังกัดค่ายเชียงคำ จ.พะเยา เลือกพรรคพลังประชารัฐในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ตามที่เพจเฟซบุ๊ก CSI LA โพสต์อ้าง

ภายหลังการประชุม ครม. เป็นเวลา 2 ชั่วโมง พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ โดยมอบหมายให้ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า นายกฯ งดให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม. ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะนายกฯ ได้พูดไปหมดแล้วระหว่างลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ ลงจากตึกบัญชาการ นายกฯ เพียงแต่ทำสัญลักษณ์และชี้ไปที่ลำคอพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าเจ็บคอ ก่อนชี้ไปที่ตาทั้ง 2 ข้าง จากนั้นจึงขึ้นรถยนต์ส่วนตัวกลับออกไปทันที อย่างไรก็ตาม ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป นายกฯ ได้ลดกระจกและหันมาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “มันร้อนนะ ใจเย็นๆ ก่อนเลือกตั้ง” และทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยู

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานเลขาธิการ คสช. ได้ทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ให้พิจารณางดรายการเดินหน้าประเทศไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันเลือกตั้งทั่วไปนั้น ทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุได้ทำเรื่องขอนำเสนอบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป รวมถึงการเกาะติดผลการลงคะแนน และการรายงานผลการเลือกตั้ง โดยทาง พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้ขัดข้อง จึงได้เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว โดยจะงดรายการเดินหน้าประเทศไทยในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ส่วนรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในคืนวันที่ 22 มีนาคมนี้ ยังคงมีต่อไปตามปกติ ซึ่งเนื้อหารายการเป็นการนำเสนอบทเพลงพระราชนิพนธ์

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และพ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัฒน์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนัก
ที่มาภาพ : www.thaipublica.go.th

ปรับเกณฑ์ “Pico Finance” – เพิ่มวงเงินปล่อยกู้ 50,000 บาท/ราย

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบปรับปรุงเงื่อนไขการปล่อยกู้ของผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อ Pico Finance) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้เงินของประชาชนและแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในปัจจุบัน โดยปรับเงื่อนไขการปล่อยกู้สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จากเดิมที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ต้องมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และสามารถปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อราย ภายใต้เพดานอัตราดอกเบี้ย 36% ต่อปี เป็นกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ที่ต้องการปล่อยกู้ให้ประชาชนรายละ 100,000 บาท ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน เป็นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท พร้อมกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ วงเงิน 50,000 บาทแรก ที่อัตรา 36% ต่อปี และวงเงิน 5 หมื่นบาทถัดมา คิดอัตราดอกเบี้ย 28% ต่อปี

“สำหรับโครงการดังกล่าว ตั้งแต่เปิดรับผู้ประกอบการให้มาขอใบอนุญาตจนถึงกุมภาพันธ์ 2562 มีนิติบุคคลยื่นขอจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้งสิ้น 927 ราย ใน 74 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตทั้งสิ้น 516 ราย ใน 66 จังหวัด มีการเปิดดำเนินการแล้ว 382 ราย ใน 64 จังหวัด และมีการปล่อยกู้แล้ว 358 ราย ใน 63 จังหวัด ขณะที่ยอดคงค้างการปล่อยสินเชื่อจนถึงธันวาคม 2561 อยู่ที่ 56,000 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 155,000 ล้านบาท เฉลี่ยเป็นการปล่อยกู้รายละ 27,500 หมื่นบาท ซึ่งกระทรวงการคลังรายงานว่าภายหลังการลงพื้นที่ทำให้ทราบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการใช้เงินมากกว่า 50,000 บาทต่อราย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับเงื่อนไขการปล่อยกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมด้วย โดยการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยลงมา เพราะส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายเดิมที่ไม่มีค่าบริหารจัดการเพิ่มเติม จึงทำให้ผู้ประกอบสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงได้” นายณัฐพรกล่าว

จากข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยในปี 2560 พบว่า มีผู้มีรายได้น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบจำนวน 1.26 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้ 68,000 ล้านบาท และคาดว่าโครงการฯ จะช่วยลดจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.16 ล้านคน จากเดิมช่วยได้ 990,000 คน และเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหาหนี้ครัวเรือน เพราะเป็นการแปลงหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบเท่านั้น

อนุมัติงบกลางปี 61 หนุนกองทุนประชารัฐ 37,900 ล้าน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติงบกลางปี 2561 วงเงิน 37,900 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่ ครม. อนุมัติไปก่อนหน้านี้เข้าไปในกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม 4 มาตรการ ทั้งการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและน้ำประปา, การสนับสนุนค่าใช้จ่ายปลายปี, การช่วยเหลือค่าเดินทางสำหรับผู้สูงอายุ และการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย

“สำหรับการมาตรการช่วยเหลือทั้งหมด ที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้ว แต่การช่วยเหลือยังคงมีต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 62 ดังนั้นทางกระทรวงการคลังจึงเสนอขออนุมัติวงเงินจากก้อนเดิมที่ได้รับอนุมัติไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำไปให้ผู้มีรายได้น้อยต่อไป พร้อมกันนี้ยังมีการเพิ่มกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเข้าไปในมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าด้วย เพราะที่ผ่านมาจะให้เฉพาะผู้ที่เสียค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเท่านั้น แต่มีผู้ใช้ไฟฟ้าจากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการฯ ที่มีรายได้น้อยประมาณ 51,800 ราย ยังตกหล่นจากมาตรการดังกล่าว จึงให้เสนอเข้ามาให้ครบถ้วน” นายณัฐพรกล่าว

จัดงบฯ 123 ล้าน จ่าย “ซีพี” คดีกล้ายาง

นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณ 123.07 ล้านบาท สำหรับชำระหนี้ให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด (ซีพี) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ตามคำพิพากษาศาลลฏีกา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2560 โดยกรมวิชาการเกษตรต้องชำระหนี้ให้ ซีพีเป็นเงิน 377.51 ล้านบาท โดย กรมวิชาการเกษตรแบ่งชำระไปแล้ว 2 งวดจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ทั้งสิ้น 254.445 ล้านบาท เหลือเพียง 1 งวดซึ่งเป็นงวดสุดท้าย เป็นเงิน 123.07 ล้านบาท

อนึ่งคดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการดำเนินโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรใน แหล่งปลูกยางใหม่ระยะที่ 1 (ปี 2547-2549) ซึ่งเป็นโครงการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 โดยกรมวิชาการเกษตรทำสัญญาจ้างเหมาผลิตต้นกล้ายางชำถุง จำนวน 90 ล้านต้นกับซีพี วงเงิน 1,397.7 ล้านบาท โดยแบ่งการส่งมอบ 3 ปี คือ ปี 2547 จำนวน 18 ล้านต้น ปี 2548 จำนวน 27 ล้านต้น และปี 2549 จำนวน 45 ล้านต้น

ทั้งนี้มีกำหนดส่งมอบต้นกล้ายางชำถุงงวดแรกภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 และงวดที่ 12 ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่ 20 เมษายน 2550 ซึ่งกรมวิชาการเกษตรมีหนังสือบอกเลิกสัญญา เนื่องจากซีพีไม่สามารถผลิตต้นกล้ายางชำถุงที่เหลือในงวดที่ 11 จำนวน 11.64 ล้านต้น และงวดที่ 12 จำนวน 4.5 ล้านต้น และส่งมอบได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งซีพีได้แจ้งเหตุขัดข้องว่ามีเหตุจากเกิดอุทกภัยและวาตภัยอันเป็นเหตุสุดวิสัย และขอเลื่อนการส่งมอบ อันเป็นกรณีโต้แย้งนำไปสู่การฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาดังนี้ ให้กรมวิชาการเกษตรชำระเงินค่าเสียหายกรณีไม่รับมอบต้นกล้ายางงวดที่ 11 และ 12 ให้แก่ซีพี นับแต่วันฟ้องสำนวนแรก จนกว่าจะชำระเสร็จ

ต่ออายุซื้อขายข้าวจีทูจี ไทย – ฟิลิปปินส์ 2 ปี

นายณัฐพร กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์อีก 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2561 – 31 ธ.ค. 2563 ซึ่งสาระสำคัญคือการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดยกำหนดปริมาณการซื้อขายข้าวระหว่างกันไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี อันมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของตลาดสถานการณ์การผลิตและปริมาณข้าวของแต่ละประเทศและราคาตลาดระหว่างประเทศที่มีการซื้อขายจริงในขณะนั้น และกำหนดให้ประเทศที่สามารถเข้าร่วมประมูลขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) กับฟิลิปปินส์ต้องจัดทำบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวกับรัฐบาลฟิลิปปินส์แล้วเท่านั้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้เริ่มทำบันทึกความตกลงมาตั้งแต่ปี 2554 และต่ออายุบันทึกความตกลงมาโดยตลอด โดยตั้งแต่ปี 2557-2561 รัฐบาลฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากไทยแล้ว จำนวน 6 ครั้ง ปริมาณรวม 1.1 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 499 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16,674 ล้านบาท)

แก้กฎกระทรวงนำเข้าสุรา ตามมาตรฐานสรรพสามิต

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร จากเดิมที่กำหนดให้สุราที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เป็นต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่อธิบดีประกาศกำหนด เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการกำหนดมาตรฐานสุรา อันจะเป็นการอำนวยความสะดวก ทำให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติในการนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่มีผลกระทบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตแต่อย่างใด

“แต่เดิมถ้าเป็นสุราในประเทศก็จะมีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศ แต่สุราจากต่างประเทศจะใช้มาตรฐาน มอก. ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติกังวลว่าในอนาคตจะมีปัญหาหรือไม่ ครม.จึงมีมติให้แก้ไขให้มาตรฐานต่างๆ สอดคล้องกันทั้งหมด” นายณัฐพรกล่าว

ยกเว้นค่าทางด่วนรับสงกรานต์ 10-18 เม.ย.นี้

พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. …. (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562) ว่า เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา เป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ

“ที่ผ่านมาตามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี จะกำหนดตั้งแต่เวลา 16.00 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 16 เมษายน ซึ่งยังไม่เหมาะสมกับช่วงระยะเวลาการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ดังนั้น สมควรกำหนดระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษทั้งสองสายดังกล่าวเสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน 2562 หรือก็คือขยายเวลาเริ่มต้นให้เร็วขึ้นและเวลาสิ้นสุดให้ขยายออกไปอีก” พล.ท. วีรชน กล่าว

ผ่อนผันแรงงานต่างด้าวกลับประเทศ 5-30 เม.ย.นี้

พล.ท. วีรชน กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติการผ่อนผันให้แรงงาน 3 สัญชาติ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยในตำแหน่งกรรมกร คนรับใช้ในบ้าน ผู้ประสานงานด้านภาษา และช่างเครื่องยนต์ในเรือประมงทะเล ซึ่งถือหนังสือเดินทาง เอกสารแทนหนังสือเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคลที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว เดินทางกลับประเทศต้นทาง เพื่อร่วมเทศกาลประเพณีสงกรานต์ โดยได้กำหนดห้วงเวลาเข้าออกราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 5-30 เมษายน 2562 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2562 จะมีอัตราค่าตรวจลงตราคนอยู่ชั่วคราวตามกฎหมาย ชนิดใช้ได้ครั้งเดียวจำนวน 2,000 บาท

ไฟเขียวงบกลาง 2,922 ล้าน ปลูกพืชหลังเกี่ยวข้าว

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังฤดูกาลทำนา (พืชไร่และพืชผัก) จำนวน 4.87 ล้านไร่ ช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 600 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน 2,922 ล้านบาท

ทั้งนี้มีค่าใช้จ่ายในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ในกรอบวงเงิน 2.27 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ ได้แก่ ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการยืนยันสิทธิ์และออกใบรับรอง และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ/รับรองพื้นที่ให้ผลผลิต เป็นต้น ในกรอบวงเงิน 8.15 ล้านบาท รวมเป็นงินทั้งสิ้น 2,932 ล้านบาท

โดยโครงการดังกล่าวดำเนินการเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนาระยะเวลาดาเนินการ 7 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-กันยายน 2562 ครอบคลุมพื้นที่รวม 16.08 ล้านไร่ เกษตรกรจำนวน 1.1 ล้าน ครัวเรือน ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ แบ่งเป็น

  • ในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้แก่ ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี อยุธยา สระบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี) ช่วงทำการเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2562 โดยต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562
  • ในพื้นที่นอกเหนือพื้นที่ลุ่มต่ำและภาคใต้ ช่วงทำการเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2562 โดยต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562
  • ในพื้นที่ภาคใต้ ช่วงทำการเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 15 มิถุนายน 2562 ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2562

นอกจากนี้ เกษตรกรที่จะได้รับเงินช่วยเหลือต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559 – 2561) ปีใดปีหนึ่ง และพื้นที่เข้าร่วมต้องเป็นพื้นที่นาเท่านั้น ตั้งแต่ 1 งาน ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 15 ไร่ และเป็นเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ที่ทำการเพาะปลูก พืชไร่ พืชผัก พืชอาหารสัตว์ และพืชปรับปรุงบำรุงดิน ยกเว้นอ้อยและสับปะรด เป็นเกษตรกรที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับ ธ.ก.ส.

อนุมัติหลักการขออนุญาติทำประมงพาณิชย์

พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ เนื่องจากกฎกระทรวงดังกล่าวมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องหรือไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงบางประการ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ กรณีการแก้ไขรายการใบอนุญาต เป็นต้น และ เพื่อให้ครอบคลุมการจัดสรรปริมาณสัตว์น้ำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลิตผลสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนตามที่กำหนด

ทั้งนี้กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถยื่นคำขอแก้ไขรายการในใบอนุญาตได้ 5 กรณี ได้แก่

  1. แก้ไขรายการให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานทางทะเบียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. แก้ไขรายการกรณีนำเรือประมงลำอื่นมาทดแทนเรือที่มีใบอนุญาตทำการประมง
  3. แก้ไขรายการเกี่ยวกับเครื่องมือทำการประมง
  4. แก้ไขรายการเกี่ยวกับพื้นที่ทำการประมง
  5. แก้ไขรายการกรณียกสิทธิของปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับการจัดสรรในรอบปีการประมง

นอกจากนี้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาการโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ เนื่องจากผู้รับใบอนุญาตสามารถนำปริมาณสัตว์น้ำของตนไปควบรวมกับปริมาณสัตว์น้ำของใบอนุญาตอื่นได้และหากมีปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือจากการควบรวมดังกล่าว ผู้รับโอนใบอนุญาตสามารถนำเอาปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือไปควบรวมกับเรือประมงลำอื่นได้อีก โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าวให้คำนึงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทำการประมง พื้นที่ทำการประมง และปริมาณสัตว์น้ำของใบอนุญาตฉบับเดิม และใบอนุญาตที่จะนำมาควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ

กรณีผู้รับโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ ต้องดำเนินการกับเรือลำเดิมหรือเรือที่นำมาควบรวม แล้วแต่กรณี ตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ในคำขอ หากผู้ขอรับโอนใบอนุญาตฯ ไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ผ่อนผัน ให้ถือว่าการขอโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยมีการโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำมาก่อน และไม่มีสิทธิได้รับคืนใบอนุญาตฉบับเดิม และให้เพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้ใหม่จากการควบรวมปริมาณสัตว์น้ำนั้น ยกเว้นใบอนุญาตของบุคคลที่รับโอนเฉพาะปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือ ให้แก้ไขห้วงเวลาทำการประมงตามปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับจัดสรรตามใบอนุญาตฉบับเดิม

จับมือเมียนมาแก้ปัญหาหมอกควัน – ครม.อวยพรวันเกิดนายกฯล่วงหน้า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และนาง ออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เปิดสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 2 ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

พล.ท.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเปิดเผยต่อที่ประชุมถึงการหารือกับนาง ออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา กรณีปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองระหว่างไทยและเมียนมา โดยทางเมียนมารับปากว่าจะดูและควบคุมปัญหาในพื้นที่ของตน และจะมีการแบ่งปันประสบการณ์การแก้ปัญหาระหว่างกัน โดยให้ผู้รับผิดชอบในพื้นที่ของทั้งสองประเทศประสานงานกันต่อไป

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. ได้กล่าวอวยพรวันคล้ายวันเกิดล่วงหน้าให้แก่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 65 ในวันที่ 21 มีนาคม 2562 นี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกคนที่ทำงานร่วมกันมา ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรรัฐบาลชุดนี้ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ และขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานเพื่อประเทศต่อไป ส่วนตนในช่วงนี้ก็ระวังตนเองเสมอเวลาลงพื้นที่ตรวจราชการไม่ให้ขัดต่อกฎหมายการเลือกตั้ง

ลงพื้นครั้งที่ 10 ในรอบ 2 เดือน – บุก “ฉะเชิงเทรา” ตามความคืบหน้า EEC

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการตรวจราชการเขตพื้นที่สวนลุมพินี สวนป่าเบญจกิติ เพื่อติดตามการปรับปรุงภูมิทัศน์สวนสาธารณะให้สวยงาม เพิ่มพื้นที่สีเขียวแก่กรุงเทพมหานคร และความก้าวหน้าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต รวมทั้ง ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของจังหวัดฉะเชิงเทรา ในการรองรับแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งพบปะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และยางล้อในวันพุธที่ 20 มีนาคม 2562 โดยมีสรุปภารกิจ ดังนี้

ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามการปรับปรุงภูมิทัศน์สวนลุมพินี พร้อมทั้งปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ร่วมกับกลุ่มภาคีเครือข่ายพื้นที่สีเขียว ณ สวนลุมพินี และเดินทางต่อไปยังตึกอำนวยการโรงงานยาสูบ ฟังบรรยายสรุปความก้าวหน้าการสร้างสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 พร้อมเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างภายในพื้นการยาสูบแห่งประเทศไทย จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต (ชานชาลารถไฟความเร็วสูง และรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน) ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และเยี่ยมชมจุดเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างรถไฟ MRT กับสถานีกลางบางซื่อ

ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และยางล้อในพื้นที่กว่า 250 คน ให้การต้อนรับและร่วมหารือ ก่อนจะเดินทาต่อไปยังโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC พร้อมมอบนโยบายและเยี่ยมชมโครงการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของจังหวัดฉะเชิงเทราอีกด้วย

ทั้งนี้ การพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นการกำหนดพื้นที่เป้าหมายนำร่องใน 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง และกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับการลงทุน และการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจและการอำนวยความสะดวก ซึ่งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการพัฒนาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการก่อสร้างทางคู่เส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า – แก่งคอย การพัฒนาสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและประปา รวมทั้งยังมีอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต (EV/AV) ได้รับการส่งเสริมในการรองรับ EEC

อนึ่งภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย ในวันที่ 14-15 มกราคม 2562 จังหวัดเชียงใหม่-ลำปาง ในระยะเวลา 2 เดือนก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่จะถึงนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งรวมการตรวจราชการในวันพรุ่งนี้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 10 ครั้ง 13 จังหวัด ได้แก่ วันที่ 1) 28 มกราคม ลงพื้นที่ จ.สระบุรี 2) 6 กุมภาพันธ์ ลงพื้นที่ จ.ยโสธรและมุกดาหาร 3) 16 กุมภาพันธ์ ตรวจเยี่ยมพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร 4) 19 กุมภาพันธ์ ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องในวันมาฆบูชา 5) 21 กุมภาพันธ์ ลงพื้นที่ จ.ุราษฎร์ธานีและกระบี่ 6)27 กุมภาพันธ์ ลงพื้นที่ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง เพื่อตรวจราชการด้านการศึกษา 7) 13 มีนาคม ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่นและนครราชสีมา 8) 18 มีนาคม ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช 9) 19 มีนาคม ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเป็นประธานร่วมในพิธีฉลองการเสร็จสิ้นการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 และ 10) 20 มีนาคม ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตามรายงานข้างต้น

อ่านมติ
ครม.วันที่ 3 มีนาคม 2562
เพิ่มเติม