ASEAN Roundup ประจำวันที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2564
มาเลเซียทุ่ม 5.6 หมื่นล้านริงกิตดันแผนเศรษฐกิจดิจิทัล

รัฐบาลมาเลเซียจะใช้เงินสูงถึง 56,000 ล้านริงกิตในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและกว้างขึ้นภายใต้แผน 10 ปีที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ จากการเปิดเผยของนายกรัฐมนตรี ตันสรี มุห์ยิดดิน ยัสซิน
ราวครึ่งหนึ่งของงบประมาณจะจัดสรรให้โครงการ National Digital Connectivity หรือ Jendela ซึ่งเป็นแผน 5 ปีในการขยายอินเทตอร์เน็ตใยแก้วนำแสงแบบคงให้ครอบคลุม 9 ล้านจุดภายในปี 2025 จาก 7.5 ล้านจุดในปี 2022
โครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากประเทศต้องการทำให้เป้าหมาย 5G เป็นจริง ตัน สรี มุห์ยิดดินกล่าวว่า บริษัทโทรคมนาคมเอกชนจะลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าพันล้านริงกิตเพื่อเชื่อมต่อ Jendela กับสายเคเบิลใต้ทะเลภายในปี 2023 และอีก 15,000 ล้านริงกิตเพื่อขยายการเชื่อมต่อ 5G ทั่วประเทศ
นิติบุคคลเฉพาะกิจ(special purpose vehicle:SPV)ของรัฐบาลจะดูแลการเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐาน 5G โดยภาครัฐและเอกชนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ตัน สรี มุห์ยิดดินกล่าวว่า การร่วมรับผิดชอบต้นทุนจะทำให้เทคโนโลยีถูกลง และให้คำมั่นว่า บริษัทโทรคมนาคมที่ได้รับอนุญาตทั้งหมดจะสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียมกัน
ปุตราจายาตั้งเป้าหมาย 10 ปีเพื่อให้ครอบคลุม 5G ทั่วประเทศ แต่ ตัน สรี มุห์ยิดดินกล่าวว่า ความพยายามนี้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายในปี 2020
“ดังนั้นประชาชนสามารถเริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ได้ทีละขั้นภายในสิ้นปีนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
“ด้วยเหตุนี้มาเลเซียจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศแรกในภูมิภาคที่สร้างระบบนิเวศ 5G ผ่านอินเทอร์เน็ตและบริการคลาวด์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถแชร์ข้อมูลได้ทันที”
ตัน สรี มุห์ยิดดินได้ให้คำมั่นว่า จะลงทุนเพิ่มอีก 12,000 ล้านริงกิตเป็น 15,000 ล้านริงกิต สำหรับผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งในช่วง 5 ปีข้างหน้าโดย Google, Microsoft, Amazon และ Telekom Malaysia (TM) ได้ทำสัญญาแบบมีเงื่อนไข เพื่อพัฒนาและจัดการศูนย์ข้อมูลที่มีความสามารถในการขยายระบบให้รองรับกับความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคตได้ หรือ Hyperscale Data Center และบริการคลาวด์แบบไฮบริด hybrid cloud servicesที่มีความยืดหยุ่นสูง ในมาเลเซีย
โครงการเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของ MyDigital และเกิดแรงผลักดันหลักแผนแม่บทเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลกลางที่วางสถานะให้มาเลเซียเป็นผู้เล่นอีคอมเมิร์ซรายสำคัญ
ภายใต้แผนดังกล่าว ปุตราจายาคาดว่า ภาคส่วนนี้จะมีสัดส่วน ถึง 1 ใน 4สี่ของ GDP ของมาเลเซียภายในปี 2025 และสร้างงานครึ่งล้านตำแหน่ง ความคิดริเริ่มนี้ยังมีขึ้นเพื่อเพิ่มการมีส่วนของธุรกิจขนาดเล็กในอีคอมเมิร์ซและเพิ่มบริษัทสตาร์ทอัพในท้องถิ่นให้มากขึ้น
ตัน สรี มุห์ยิดดินกล่าวว่า โครงการริเริ่มนี้คาดว่าจะดึงเงินลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากถึง 70,000 ล้านริงกิตและเพิ่มผลิตภาพได้ถึง 30%
MyDigital เป็นโครงการริเริ่มที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนตั้งแต่ปะลิส ไปจนถึงซาบาห์ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
“นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความรู้ดิจิทัล สร้างงานที่มีรายได้สูง ทำให้การจัดการด้านการเงินและการเงินง่ายขึ้น เปิดใช้งานการเรียนรู้แบบเสมือนจริงให้กับเด็ก ๆ ของเรา และขยายบริการทางการแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกล”
Telekom Malaysia ตอบสนองต่อการประกาศในทันที โดยกล่าวว่า โครงการริเริ่มนี้เ็ป็น “แนวทางแบบองค์รวม” ที่จะเร่งเป้าหมายของประเทศในการเป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
“เราขอแสดงความยินดีกับรัฐบาลในโครงการ MyDIGITAL ที่ครอบคลุม ซึ่งป็นแผนแม่บทเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เร่งผลักดันให้ผู้ใช้ดิจิทัลของประเทศก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายในปี 2030” บริษัทระบุในแถลงการณ์
“ เป็นวิธีการแบบองค์รวมที่ครอบคลุมการเชื่อมต่อแบบดิจิทัล (ไฟเบอร์และ 5G) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (ระบบคลาวด์และความปลอดภัยทางไซเบอร์) ตลอดจนชุดทักษะและความสามารถด้านดิจิทัล เพื่อทำให้ชีวิตและธุรกิจง่ายขึ้น สำหรับชาวมาเลเซียในฐานะประเทศที่มีการเชื่อมต่อ”
จากการประมาณการของ McKinsey Global Institute (MGI) ในปี 2019เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ GDP โลกภายในปี 2040 และจะคิดเป็น 40% ของการบริโภคโลก
เศรษฐกิจดิจิทัลในมาเลเซียมีมูลค่ามากกว่า 400 พันล้านริงกิตในปี 2019 ขณะที่อีคอมเมิร์ซของมาเลเซียมีมูลค่าถึง 16 พันล้านริงกิตในปีเดียวกัน
ฟิลิปปินส์ทุ่มงบ 5.8 พันล้านดอลล์ในโครงการรถไฟปี 2022

https://www.manilatimes.net/2021/02/20/business/business-top/govt-to-spend-5-8b-on-railways-in-2022/842996/
รัฐบาลคาดว่า จะใช้เงิน 5.79 ล้านดอลลาร์ในโครงการรถไฟในปี 2022 จากการเปิดเผยข้อมูลของกรมการขนส่ง
นายทิโมธี บาตัน ปลัดกระทรวงคมนาคม ให้ข้อมูลในการเสวนาเรื่องความร่วมมือโครงสร้างพื้นฐานระหว่างอินเดีย – ฟิลิปปินส์ผ่านระบบออนไลน์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ตัวเลขนี้เป็นวงเงินที่จะใช้ได้มากสุดในปีหน้า เนื่องจากโครงการรถไฟได้มีการทำสัญญาเกือบหมดแล้ว
“ภายในปีปี 2020 เราทำสัญญารถไฟ 32 ฉบับ และเราคิดจะเป็นไปตามเป้าหมาย 65 ฉบับภายในสิ้นปี 2022” นายบาตันกล่าว
ภายในปีหน้าทางรถไฟบางส่วนจะอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและยังใช้งานได้
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กรมขนส่งระบุว่า มีเส้นทางรถไฟเพียง 77 กิโลเมตร 61 สถานีและรถโค้ช 224 คันในปี 2559 เมื่อประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตเริ่มดำรงตำแหน่ง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1200 กิโลเมตร 168 สถานีและรถโค้ช 1,381 คน เมื่อครบวาระการดำรงตำแหน่งในปีหน้า
โครงการเหล่านี้ได้รับเงินจากความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance:ODA) จากจีน ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency – JICA) หลักเกณฑ์ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และงบประมาณแผ่นดิน
โดย 91% จะเป็นเงินที่ได้รับผ่าน ODA แต่นายบาตันกล่าวว่า ประเทศยังคงสามารถกู้เงินได้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าและมีระยะเวลานานกว่า เพราะยังเป็นประเทศเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางต่ำ
ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดูเตอร์เต้ได้เริ่มดำเนินโครงการ Build, Build, Build ด้วยวงเงิน 8 ล้านล้านเปโซในปี 2016 ในจำนวนนี้ 21.7% ถูกจัดสรรให้กับทางรถไฟและ 42% ไปยังโครงการคมนาคมอื่น ๆ โครงการน้ำได้ 12% โครงการโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมได้รับ 13% และที่เหลือจัดสรรให้ไปภาคพลังงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ
“ตอนนี้เรากำลังมีทรัพย์สินทางรถไฟจำนวนมาก แต่ถ้าดูใจกลางเมืองที่เทียบเคียงกันได้ เราต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 4-5 เท่า เพื่อเข้าถึงแหล่งชุมชนใจกางเมืองที่มีความหนาแน่นใกล้เคียงกัน” เ
ฟิลิปปินส์ไฟเขียวต่างชาติที่มีวีซ่าระยะยาวเข้าประเทศได้

รัฐบาลได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเพิ่มเติม โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีวีซ่าระยะยาวเข้าฟิลิปปินส์ได้ ทำเนียบประธานาธิบดีประกาศเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
นายแฮร์รี โรเก้ จูเนียร์ ทำเนียบประธานาธิบดีกล่าวว่า คณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อ(Inter-Agency Task Force for the Management of Emerging Infectious Diseases:IATF-EID) ได้แก้ไขมติที่ 98 โดยตัดข้อความ”ระยะเวลาการพิจารณาของวันที่ 20 มีนาคม 2020″ออกไป โดยอ้างถึงวีซ่าที่ออกให้กับชาวต่างชาติ
มติ IATF-EID ฉบับแก้ไขระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีวีซ่าที่ถูกต้องและยังไม่หมดอายุ ณ เวลาที่เดินทางเข้าประเทศและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าฟิลิปปินส์ภายใต้มติก่อนหน้านี้ และผู้ถือวีซ่าประเภทผู้มีถิ่นที่อยู่พิเศษ และวีซ่าผู้เกษียณอายุ ที่ยังไม่หมดอายุและมีวีซ่ามาตรา 9A เมื่อเดินทางมาถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ หากมีเอกสารการยกเว้นการเข้าเมืองแสดงต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
“ชาวต่างชาติทุกคนที่มีวีซ่าระยะยาวที่เราออกให้ สามารถเข้าประเทศได้แล้ว ส่วนนักท่องเที่ยวต้อรอไปอีกระยะหนึ่งถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้า ตอนนี้เราอนุญาตเฉพาะนักลงทุน คนงาน ชาวต่างชาติที่มีคู่สมรสชาวฟิลิปปินส์และลูกๆ เท่านั้น ซึ่งก็เกือบทั้งหมดชองชาวต่างชาติแล้ว ยกวเ่้นนักท่องเที่ยว”
การเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ IATF-EID ซึ่งรวมถึงการมีที่พักที่จองไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 6 คืนในโรงแรมหรือสถานที่กักกันที่ได้รับการรับรอง
ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าต้องได้รับการทดสอบหาเชื้อโควิด 6 วันหลังจากเดินทางมาถึง
รัฐบาลสั่งห้ามชาวต่างชาติส่วนใหญ่เข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมปีที่แล้ วเมื่อเกาะลูซอนและพื้นที่อื่นๆ ของประเทศอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ ในบรรดาผู้ที่ยังคงได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศในช่วงเวลานั้น ได้แก่ คู่สมรสชาวต่างชาติและลูกๆ ของพวกเขาที่มาพร้อมกับชาวฟิลิปปินส์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ
ฟิลิปปินส์ห้ามผู้เดินทางจากมณฑลหูเป่ย ประเทศจีนซึ่งเป็นต้นตอการระบาดของโรคโควิด -19 ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคมปีที่แล้ว เป็นครั้งแรก จากนั้นได้ขยายคำสั่งห้ามไปยังนักเดินทางจากประเทศจีน ฮ่องก งและมาเก๊าเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
เวียดนามทบทวนการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์

ในเอกสารหมายเลข 185 / TTg-CN นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้ลงนามในคำสั่งที่จะดำเนินการยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของเวียดนามปี 2030 ซึ่งครอบคลุมถึงคำสั่งเลขที่ 13/2020 / QĐ -TTg เกี่ยวกับกลไกในการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม และคำสั่งหมายเลข 414 / TTg-CN ในเดือนเมษายน 2020 การกำกับการดำเนินการตามคำสั่งของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าและกระทรวงอื่น หน่วยงานย่อยและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ในการจัดการการวางแผนและการลงทุนในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามอย่าง เพื่อต่อต้านการทุจริตและลงโทษอย่างหนัก
ในเดือนกรกฎาคม 2020 กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้ออกหนังสือเวียนเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า มาตรฐานที่ใช้กับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมแนวทางเฉพาะสำหรับการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์บนชั้นหลังคา
ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามได้รับผลลัพธ์เชิงบวกมาก และดึงดูดการลงทุนอย่างมากซึ่งมีส่วนช่วยในการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถรับประกันการจ่ายไฟฟ้าและความมั่นคงในประเทศ
สถิติของการไฟฟ้าเวียดนามพบว่า ภายในสิ้นปี 2020 กำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในระบบไฟฟ้าแห่งชาติที่ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคามีมากกว่า 62,000 เมกะวัตต์ โดยที่ 8,838 เมกะวัตต์ เป็นการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน ส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนชั้นดาดฟ้าอยู่ที่ประมาณ 8,000 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2020
อย่างไรก็ตามเอกสารดังกล่าวระบุว่า “ การพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาไม่มีการควบคุมให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้า โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมปี 2020 ทำให้การบริหารระบบไฟฟ้าของประเทศในช่วงการระบาดของโควิด-19 มีความยากลำบาก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและนำไปสู่ความต้องการไฟฟ้าที่ลดลง”
จากปัจจัยข้างต้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว การไฟฟ้าเวียดนาม จึงต้องพัฒนาและดำเนินการตามแผนเพื่อลดพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ในระบบไฟฟ้าของประเทศ ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรทางสังคมและสร้างความวิตกกังวลในกลุ่มนักลงทุนจำนวนมาก
เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไปตามกฎระเบียบและส่งเสริมประสิทธิภาพโดยรวม นายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า รับผิดชอบหลักและประสานงานกับคณะกรรมการประชาชนของจังหวัด และเมืองที่ดำเนินการจากส่วนกลาง รวมทั้งการไฟฟ้าเวียดนาม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทบทวนการดำเนินการของโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดินและบนหลังคาในปัจจุบัน และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการตามกลไกและกฎระเบียบที่ประกาศใช้
เอกสารดังกล่าวยังขอให้ทำการศึกษาและจัดการปัญหาที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
นอกจากนี้ยังขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในท้องถิ่นและ บริษัทไฟฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่า มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อแก้ไขและจัดการข้อผิดพลาดหากมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
ในเวลาเดียวกันนายกรัฐมนตรี ขอให้กระทรวงและคณะกรรมการประชาชนให้ทำการศึกษาและเสนอมาตรการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงช่องโหว่
รวมทั้งยังบอกกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า การไฟฟ้าเวียดนาม และหน่วยงานท้องถิ่น ให้หากมาตรการเพื่อจำกัดการลดลงแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่วางแผนไว้ให้น้อยที่สุด รวมทั้งจำกัดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของนักลงทุน และการสูญเสียแหล่งพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม
หน่วยงานเหล่านั้นต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบแหล่งจ่ายไฟในปัจจุบันโดยรวม ที่ติดตั้งและใช้งานรวมทั้งสำรวจความสมดุลของอุปสงค์ – อุปทานในอนาคต เพื่อเสริมสร้างการจัดการและขั้นตอนที่ตรบถ้วน เพื่อเสนอโครงการการวางแผนพลังงานฉบับที่ 8 ไปนายกรัฐมนตรี ตามกำหนด
นายกรัฐมนตรีบอกให้หลีกเลี่ยงการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โดยไม่มีแผนและขาดการควบคุม ทำให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคมากเกินไปและผลกระทบเชิงลบในอนาคต
เมียนมาตกลงส่งออกข้าวให้บังคลาเทศ 100,000 ตัน

การประชุมประสานงานเพื่อหารือเกี่ยวกับ การส่งออกข้าว 100,000 ตันไปยังบังกลาเทศ ภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีระหว่างสองรัฐบาล มีขึ้นที่กรุงเน ปิ ดอว์ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ โดยมีรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ประสานงาน พ่อค้าข้าวและสมาคมเข้าร่วม
ดร. พวินต์ ซาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า สมาพันธ์ข้าวเมียนมาจะจัดการการส่งออกข้าวคุณภาพสูง โดยจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีกระทรวงและสมาคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
อู ติน ทุต อู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์และชลประทานได้หารือถึงความสำคัญของภาคการส่งออกเพื่อส่งเสริมการดำรงชีวิตของเกษตรกร ขณะที่ความมั่นคงด้านอาหารเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงการระบาดของโควิด -19 นอกจากนี้กล่าวว่าจะมีการยกเลิกข้อจำกัด ทางการค้าบางประการสำหรับการส่งออกข้าวไปยังบังกลาเทศ
กัมพูชาอนุมัติจัดตั้งอินเทอร์เน็ตเกตเวย์แห่งชาติ

กัมพูชาได้อนุมัติการจัดตั้ง อินเทอร์เน็ตเกตเวย์แห่งชาติ(NIG) จากนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซน ซึ่งจะกำหนดเส้นทางการรับส่งข้อมูลออนไลน์ทั้งหมดของประเทศ
เกตเวย์นี้จะอำนวยความสะดวกและจัดการการเข้าชมเว็บ และมั่นใจได้สามารถทำรายได้อย่างมีประสิทธิผล สังคมมีระเบียบและการจัดการวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม ตามกฤษฎีกาย่อยที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีฮุน เซนเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์
กฤษฎีกาย่อยนี้ประกอบด้วย 11 บทและ 20 มาตรา กำหนดว่า NIG จะรวมและจัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเทศหรือเชื่อมต่อโครงข่ายระดับชาติสำหรับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ในประเทศ(Domestic Internet Exchange:DIX) และช่องทางของ ISP ต่างๆ ที่เชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ หรือ International Internet Gateway (IIG)
กฤษฎีกาย่อยยังกำหนดว่า“ DIX และ IIG ของ NIG จะถูกติดตั้งในพนมเปญ สีหนุวิลล์ เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตีย เมียนเจย เมืองบาเว็ตของจังหวัดสวาย เรียงและในสถานที่อื่น ๆ ที่กำหนดตามความต้องการที่แท้จริง และตามที่กระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมเห็นชอบ”
กฎหมายยังได้เปิดให้บุคคลที่สนใจในการดำเนินงาน NIG ให้ยื่นขอใบอนุญาตจาก คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา Telecommunication Regulator of Cambodia (TRC) โดยระบุว่า ผู้ให้บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้อง“ จัดการและอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อและการใช้โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ตในทุกกรณีของ NIG ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายข้ามพรมแดนภาคพื้นดิน
“ รวมทั้งจะต้องติดตั้งและกำหนดค่าเราเตอร์ สวิตช์และอุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของการเชื่อมต่อเครือข่ายหรืออุปกรณ์ และผู้ให้บริการของเกตเวย์ระหว่างประเทศ และต้องร่วมมือกับ [กระทรวง] และ TRC ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการทันทีเพื่อปิดกั้นหรือตัดการเชื่อมต่อเครือข่ายใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาติ ความมั่นคงระเบียบสังคมและอื่น ๆ ”
โสก จันดา ประธานและซีอีโอของ Angkor Data Communication Group Co Ltd (MekongNet) ยอมรับว่า NIG จะมีผลต่อธุรกิจของเธอแม้ว่า ไม่ได้ศึกษารายละเอียดปลีกย่อยของกฤษฎีกาย่อย
“ ฉันเพิ่งเห็นกฤษฎีกาย่อยวันนี้ โดยปกติการที่รัฐบาลต้องการควบคุมเกตเวย์เป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่สำคัญคือ รัฐบาลจะนำ ISP ทั้งหมดมารวมกันภายใต้ซิงเกิลเกตเวย์และระบบเดียวได้อย่างไร ฉันคิดว่าเราจะได้รับฟังการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เธอตั้งข้อสังเกตว่า โดยทั่วไป ISP จะมีเกตเวย์หลายตัวเพื่อสร้างและรักษาการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้าและหลีกเลี่ยงบริการหยุดชะงัก
“ ตอนนี้ฉันกำลังรอฟังคำอธิบายจากกระทรวงว่า NIG จะทำงานอย่างไร สำหรับเราหากขาดการเชื่อมต่อเพียงรายการเดียวเรายังมีอีกสองสามรายที่พร้อมให้บริการเพื่อรับประกันบริการของเราสำหรับลูกค้า”
ปา จันเริน ประธานสถาบันเพื่อประชาธิปไตยแห่งกัมพูชาที่ไม่แสวงหาผลกำไร เน้นย้ำถึงความสำคัญของกฤษฎีกาย่อย
“หากดำเนินการจากมุมมองทางเทคนิค . . จะเป็นกลไกทางกฎหมายในการรักษาและปกป้องความปลอดภัยและความปลอดภัยของการใช้อินเทอร์เน็ตในกัมพูชา แต่หากใช้ในทางการเมืองจะเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิดิจิทัลและประชาธิปไตย”
นายเจีย วันเดธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโทรคมนาคมกล่าวในการประชุมเพื่อจัดทำ ร่างกฤษฎีกาย่อยในเดือนสิงหาคมว่า กฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศและเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ตและการเชื่อมต่อในประเทศ
นายวีนเดธกล่าวกับผู้ประกอบการว่า จะมีการจัดเตรียมประกาศเกี่ยวกับคุณภาพการบริการและเน้นย้ำว่า ค่าธรรมเนียมการเชื่อมต่อจะต่ำลง
ข้อมูลล่าสุดจาก TRC พบว่า จำนวนการสมัครใช้งานโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ทั่วประเทศ จากผู้ให้บริการทั้ง 6 แห่ง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม มีทั้งสิ้น 20,481,051 ราย เทียบเท่ากับ 124.09% ของประชากรทั้งหมด แม้ลดลง 0.08% จากสิ้นเดือนพฤษภาคม 2019
จำนวนการสมัครใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือจากผู้ให้บริการ 7 รายของกัมพูชาลดลง 2.36% เหลือ 14,863,435 รายขณะที่การสมัครใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์แบบพื้นฐานทั้งผู้ให้บริการ 37 รายของประเทศเพิ่มขึ้น 33.07% เปอร์เซ็นต์เป็น 249,132 ราย