ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup ลาวผ่อนปรนมาตรการคุมโควิด เตรียมอนุญาตเที่ยวบินเหมาลำ-กรุ๊ปทัวร์

ASEAN Roundup ลาวผ่อนปรนมาตรการคุมโควิด เตรียมอนุญาตเที่ยวบินเหมาลำ-กรุ๊ปทัวร์

4 ตุลาคม 2020


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 27 กันยายน-3 ตุลาคม 2563

  • ลาวผ่อนปรนมาตรการคุมโควิด เตรียมอนุญาตเที่ยวบินเช่าเหมาลำ-กรุ๊ปทัวร์
  • สิงคโปร์เปิดรับนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย-เวียดนาม 8 ต.ค.
  • อินโดนีเซียส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจกับเกาหลีใต้
  • ฟิลิปปินส์เล็งทำข้อตกลงการค้าพิเศษกับอินเดีย
  • กัมพูชาให้สัตยาบัน AWSC รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง
  • กัมพูชาออกใบขับขี่สากล
  • ลาวผ่อนปรนมาตรการโควิด เตรียมอนุญาตเที่ยวบินเช่าเหมาลำ-กรุ๊ปทัวร์

    ลาวได้ขยายมาตรการป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้ แต่มาตรการบางด้านรวมถึงการห้ามเที่ยวบินเช่าเหมาลำจะได้รับการผ่อนคลาย

    คณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโควิด-19 เปิดเผยในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมนี้ว่า รัฐบาลลาวได้ตกลงในหลักการที่จะให้เปิดบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำกับประเทศที่ไม่พบการแพร่ระบาด

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลหวังที่จะบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด

    ญี่ปุ่นได้ประกาศแผน travel bubble กับบางประเทศแล้วรวมถึงลาวและกำลังหารือเกี่ยวกับแนวทางการเข้าเมืองในช่องทางพิเศษกับ ลาว จีนและเวียดนาม

    จากประกาศที่ออกโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ลาวจะยังคงระงับการออกวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตามเที่ยวบินเช่าเหมาลำจะอนุญาตให้บริการในเดือนนี้

    ประกาศระบุว่าโดยหลักการแล้วจะอนุญาตให้กลุ่มทัวร์จากประเทศที่ไม่พบการระบาดของโรคโควิด-19 เข้ามาในลาวได้ อย่างไรก็ตามจะมีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นนี้

    นอกจากนี้ประชาชนลาวหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในลาว ที่เดินทางกลับประเทศและมีผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบจะได้รับอนุญาตให้กักกันตัวในบ้าน หรือที่ทำงาน จากก่อนหน้านี้ที่กำหนดให้กักกัน 14 วันในศูนย์กักกันหรือโรงแรมที่กำหนด

    การปิดด่านพรมแดนแบบดั้งเดิมและด่านตามธรรมเนียมจะยังคงมีอยู่ ยกเว้นในกรณีที่รัฐบาลอนุญาตให้ขนส่งสินค้า และพรมแดนระหว่างประเทศจะยังคงปิดให้บริการสำหรับนักเดินทางทั่วไป ยกเว้นพลเมืองลาวหรือชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโควิด-19

    มาตรการป้องกันโควิด-19 ฉบับปรับปรุงจะยังคงมีผลจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม แต่อนุญาตมีการจัดเทศกาลแข่งเรือ พิธีแต่งงาน หรืองานประเพณีอื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตามสถานบันเทิง เช่น บาร์ คาราโอเกะ ไนท์คลับ และอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ จะต้องปิดให้บริการ

    ลาวยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ในประเทศตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน

    สิงคโปร์เปิดรับนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย-เวียดนาม 8 ต.ค.

    ที่มาภาพ: https://www.straitstimes.com/asia/australianz/visitors-from-australia-vietnam-unlikely-to-rush-to-singapore-after-lifting-of

    สิงคโปร์จะอนญาตให้ นักท่องเที่ยวจากประเทศออสเตรเลีย ยกเว้นที่มาจากรัฐวิกตอเรีย และประเทศเวียดนาม เดินทางเข้าสิงคโปร์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมนี้ แต่ก็คาดว่าคงยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากนัก เนื่องจากยังต้องกักตัวเมื่อเดือนทางกลับประเทศไป

    ชาวออสเตรเลียที่มาจากรัฐวิกตอเรีย หรืออยู่ในรัฐวิกตอเรียก่อนเดิอนทางเข้าสิงคโปร์ 14 วันจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสิงคโปร์ ทั้งนี้เมลเบิร์น เมืองหลวงของวิกตอเรียยังคงล็อกดาวน์ หลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองแม้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงแล้ว

    ส่วนเวียดนามนั้นไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 4 สัปดาห์แล้วหลังจากควบคุมการระบาดรอบสองได้สำเร็จ

    นายอ่อง เย กุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสิงคโปร์ กล่าวว่า การตัดสินยกเลิกการสั่งห้ามออสเตรเลียและเวียดนามเข้าประเทศ เป็นผลจากการที่ทั้งสองประเทศควบคุมการระบาดของไวรัสได้สำเร็จ และจากการหารือร่วมกับรัฐมนตรีคมนาคมออสเตรเลียและเอกอัคราชฑูตเวียดนามประจำสิงคโปร์ ทั้งสองประเทศจะพิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์

    ในเดือนที่แล้ว สิงคโปร์อนุญาตให้มีการเดินทางแบบทั่วไปไปยังบรูไน นิวซีแลนด์ เพื่อช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยวและอุ่นเครื่องสนามบินชางงี

    นักท่องเที่ยวจากบรูไนและนิวซีแลนด์ รวมทั้งออสเตรเลีย เวียดนามจากการอนุญาตครั้งหลังนี้จะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อเดินทางมาถึงและต้องกักตัวในที่พักจนกว่าจะมีผลตรวจเป็นลบ

    นักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียและเวียดนามสามารถเดินทางออกนอกที่พักได้ แต่ต้องมีระยะทางที่ไม่ไกลและมีความจำเป็นเท่านั้น

    ส่วนทางด้านออสเตรเลีย รัฐบาลยังคงใช้มาตรการเข้มงวด ซึ่งรวมถึงการให้ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และกำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศกักกันตัว 14 วัน โดยที่รัฐบาลอาจจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ และในนิวเซ้าท์เวลส์ จุดเข้าประเทศหลักผู้ที่เดินทางเข้าจากต่างประเทศต้องจ่ายเงิน 3,000 ออสเตรเลียดอลลาร์

    ส่วนชาวเวียดนามที่จะเดินทางกลับประเทศต้องรอคิวเดินทางกลับพร้อมกับชาวเวียดนามส่วนหนึ่งที่จะถุกส่งกลับประเทศ และเมื่อเดินทางถึงเวียดนามจะต้องกักตัว 14 วันที่สถานที่ที่รัฐจัดให้

    จากมาตรการเข้มงวดของทั้งสองประเทศ จึงคาดว่านักท่องเที่ยวออสเตรเลียและเวียดนาม จะไม่เร่งเข้าสิงคโปร์นัก

    อินโดนีเซียส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจกับเกาหลีใต้

    ที่มาภาพ: https://www.thejakartapost.com/news/2020/10/01/indonesia-south-korea-boost-business-cooperation-amid-pandemic.html

    อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ กระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ด้วยการลงทุนมูลค่าหลายล้านล้านรูเปียะห์ ซึ่งจะสร้างโอกาสในการทำงานหลายพันตำ แหน่งในประเทศ

    การเยือนล่าสุดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรัฐวิสาหกิจ นายเอริก โทอี้ และเลขาธิการคณะกรรมการประสานงานการลงทุน (BKPM) นายบาห์ลิล ลาฮาดาลีอา ประจำกรุงโซลส่งผลให้เกิดข้อตกลงทางธุรกิจอย่างน้อย 3 ข้อ จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นางเรตโน มาร์ซูดิเมื่อวันที่ 30 กันยายน

    บริษัท เคซี กลาส จำกัดผู้ผลิตกระจกของเกาหลีใต้ ตั้งเป้าลงทุน 5.1 ล้านล้านรูเปียะห์ (342.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในข้อตกลงที่สามารถช่วยจ้างคนงานชาวอินโดนีเซียได้มากถึง 1,300 คน

    ในขณะเดียวกัน บริษัทเสื้อผ้า พีทีเซยิ่น แฟชั่น อินโดนีเซียซึ่งเป็น บริษัทในเครือของผู้ผลิตรองเท้าสัญชาติเกาหลีใต้บริษัท พาร์คแลนด์ จำกัดมีแผนจะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอินโดนีเซีย

    ด้วยการลงทุนมูลค่า 1.2 ล้านล้านรูเปียะห์สามารถจัดหางานใหม่ให้กับชาวอินโดนีเซียได้ถึง 4,000 ตำแหน่ง บริษัทเคมีที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้คือ บริษัทแอลจีเคม จำกัด ตั้งเป้าที่จะพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และนำเงินลงทุนจำนวนมหาศาลไปยังประเทศหมู่เกาะนี้ นางเรตโนกล่าว แม้ตัวเลขที่แน่นอนยังต้องประเมินอีกครั้งก็ตาม

    ขณะที่อินโดนีเซียเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 บริษัทต่างชาติจำนวนหนึ่งได้ยืนยันแผนการที่จะย้ายโรงงานผลิตไปยังอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะนำเงินลงทุนเข้ามา 850 ล้านดอลลาร์และจ้างงานได้ถึงชาวอินโดนีเซีย 30,000 คน

    ในภาคสุขภาพ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้กำลังทำงานร่วมกันผ่าน บริษัทคาลบี ฟาร์มาและเจเนซีน เพื่อพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 “ นับตั้งแต่เริ่มอุบัติ (การแพร่ระบาด) เกาหลีใต้เป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับอินโดนีเซีย ในการจัดหาเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในการรับมือกับโควิด-19 รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล นางเรตโนกล่าว

    ท่ามกลางข้อจำกัดการเดินทางทั่วโลกเนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ได้จัดเตรียมเส้นทางการเดินทางสำหรับธุรกิจที่จำเป็นและการเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการ (TCA) ซึ่งมีผลในวันที่ 17 สิงหาคม นอกจากนี้ระหว่างการเยือนกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 28 กันยายนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ด้านการเมือง นาย คิม กันน์ แสดงความขอบคุณต่อความสม่ำเสมอของอินโดนีเซีย ในการส่งเสริมความสัมพันธ์พหุภาคี และความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคในอาเซียน นางเรตโนกล่าว

    “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ด้านการเมือง ได้พิจารณาข้อความในแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของอาเซียนในการรักษาสันติภาพเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค” นางเรตโนกล่าว

    นอกจากนี้นายคิมได้ส่งคำเชิญจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ คัง คยอง-วา ให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมในกรุงโซลในช่วงปลายปีนี้และเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในปีหน้า

    ฟิลิปปินส์เล็งทำข้อตกลงการค้าพิเศษกับอินเดีย

    ที่มาภาพ: https://mb.com.ph/2020/09/30/ph-india-eye-bilateral-preferential-trade-deal/

    ฟิลิปปินส์และอินเดียกำลังเตรียมการที่จะทำข้อตกลงสิทธิพิเศษทางการค้า (Preferential Trade Agreement:PTA) ระหว่างกัน จากการเปิดเผยของกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม

    PTA คือ การให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศตามความสมัครใจ โดยการลดอัตราภาษีขาเข้าลงในอัตราต่างๆกันสำหรับสินค้าแต่ละรายการเพื่อขยายการค้าระหว่างประเทศ ปัจุบันมีการใช้ PTA กันมากขึ้นแทน FTA

    ในแถลงการณ์กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ระบุว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะพิจารณาที่จัดทำ PTA ระหว่างกัน ในการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการค้าและการลงทุนครั้งที่ 13 (JWGTI) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน

    ภายใต้ข้อตกลง PTA ฟิลิปปินส์และอินเดียจะสามารถลดและขจัดภาษีสินค้าที่น่าสนใจของทั้งสองฝ่ายได้ ทั้งสองประเทศเห็นร่วมกันว่า การเจรจาแบบทวิภาคี จะช่วยจัดการกับประเด็นความอ่อนไหว

    “แนวทางที่เน้นมากขึ้นเช่น PTA นั้นใช้ได้จริงมากกว่า ฟิลิปปินส์มีความกระตือรือร้นที่จะสรุปข้กตกลง PTA กับอินเดีย ซึ่งไม่เพียงแต่จะยกระดับการค้าในปัจจุบันในแง่ของมูลค่าและปริมาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขอบเขตของผลิตภัณฑ์ที่จะครอบคลุม เนื่องจากการค้าในปัจจุบันมีความกระจุกตัวสูงในผลิตภัณฑ์บางประเภท” นายเซเฟอริโน โรโดอลโฟ ปลัดกระทรวงการค้ากล่าว

    ในส่วนของอินเดีย นายอนันต์ สวารัป เลขาธิการร่วมกระทรวงพาณิชย์อินเดียกล่าวว่า “อินเดียตระหนักถึงประโยชน์ของการเจรจา PTA กับฟิลิปปินส์”

    นายอนันต์กล่าวว่า ทั้งสองประเทศควรปรึกษาผู้มีอำนาจและกำหนดผู้แทนในการเจรจา PTA ขณะที่นายรามอน บากัตซิง จูเนียร์เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำอินเดียและนายชัมพู กุมารันเอกอัครราชทูตอินเดียประจำฟิลิปปินส์แสดงการสนับสนุนการริเริ่ม PTA

    เอกอัครราชทูตทั้งสอง ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำหนดระยะเวลาสำหรับการเจรจา PTA

    นายอัลเลน เกปตี้ผู้ช่วยเลขาธิการด้านการค้ากล่าวว่า PTA เป็นการตอบสนองที่เป็นรูปธรรมในใช้ประโยชน์จากศักยภาพเพื่่อเสริมซึ่งกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเชื่อมโยงและแก้ไขช่องว่างในห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการเพิ่มการเข้าถึงตลาดของปัจจัยการผลิต และวัตถุดิบในพื้นที่การค้าที่ระบุ

    ในระหว่างการประชุม JWGTI ฟิลิปปินส์และอินเดียได้หารือเกี่ยวกับความคิดริเริ่มที่จะทำงานร่วมกันในการส่งเสริมภาคส่วนต่างๆ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ – การจัดการกระบวนการทางธุรกิจ สิ่งทอ พลังงาน การเกษตร และเวชภัณฑ์

    สัปดาห์ที่แล้วหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์ สมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย สถานทูตอินเดียในมะนิลา และสถานทูตฟิลิปปินส์ ในนิวเดลี ได้จัดสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งตอกย้ำถึงโอกาสในการทำงานร่วมกันในสาขาเวชภัณฑ์ ไอที และเทคโนโลยีทางการเงิน

    ในปีที่แล้ว อินเดียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 14 ของฟิลิปปินส์จาก 226 รายโดยมีมูลค่าการค้ารวม 2.4 พันล้านดอลลาร์

    กัมพูชาให้สัตยาบัน AWSC รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/50768755/new-method-to-facilitate-better-trade-among-asean-members/
    กัมพูชาได้ให้สัตยาบันในพิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อตกลงการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ของอาเซียนเพื่อใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN Wide Self-Certification:AWSC) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาค กระทรวงพาณิชย์ประกาศ

    กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดได้ตกลงที่จะใช้ AWSC อย่างเป็นทางการและเริ่มนำไปใช้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน

    “ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2020 กัมพูชา ซึ่งเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการรับรองตนเองโครงการแรก (SCPP10) จะไม่สามารถออกหรือรับใบแจ้งหนี้ของ SCPP1 ได้อีกต่อไป” ประกาศระบุ

    กระทรวงได้ขอให้ผู้ส่งออกกรอกแบบฟอร์มเพื่อขอใช้ AWSC ที่กรมส่งออกและนำเข้าของกระทรวงพาณิชย์อย่างทันที

    ปลัดกระทรวงการต่างประเทศและโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เพ็ญ โสวิเชฐ กล่าวว่า สินค้าเพื่อการส่งออกโดยปกติต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (CO) และก่อนหน้านี้การส่งออกกัมพูชาในกลุ่มประเทศอาเซียนไดใช้ CO เพื่อรับรองสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชา

    “นี่เป็นรูปแบบใหม่ของกลุ่มอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาค เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เอกสารที่ซับซ้อน ดังนั้นเราจึงได้ตกลงใช้ AWSC ซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกันในภูมิภาคนี้”

    สำหรับตลาดอื่น ๆ การใช้ CO ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตามข้อตกลงกับประเทศและภูมิภาค นายเพ็ญกล่าว อย่างไรก็ตามจะค่อยๆถูกแทนที่ด้วยระบบผู้ส่งออกที่ลงทะเบียน (REX) สำหรับตลาดสหภาพยุโรป

    REX เป็นระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหภาพยุโรปโดยอาศัยหลักการรับรองตนเอง ด้วยการเข้าร่วมระบบ บริษัทต่างๆจะกลายเป็นผู้ส่งออกที่ลงทะเบียนซึ่งทำให้สามารถออกใบแจ้งแหล่งกำเนิดสินค้าได้เอง

    CO เป็นเอกสารอย่างเป็นทางการที่ใช้ในการรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นพัฒนาหรือผลิตในประเทศทั้งหมด โดยทั่วไปเป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ซื้อต้องการและใช้กับผลิตภัณฑ์แต่ละรายการ

    นักลงทุนต่างชาติในกัมพูชาได้ขอให้รัฐบาลลดต้นทุน CO ซึ่งปัจจุบันแพงกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนมาก

    สมาคมธุรกิจญี่ปุ่นแห่งกัมพูชา (JBAC) ระบุว่า ค่าธรรมเนียมการขอ CO ในกัมพูชามีราคาสูงถึง 58 ดอลลาร์ แต่ในเวียดนามว่า CO นั้นฟรีไม่ว่าจะต้องเสียภาษีหรือไม่ก็ตาม ในประเทศไทยมีใบคำขอสามประเภทและมีค่าธรรมเนียม 24.50 ดอลลาร์ ในสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 7 ดอลลาร์ ในมาเลเซีย 2.39 ดอลลาร์และในญี่ปุ่น 10 ดอลลาร์

    การปรับระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ามาเป็นระบบ AWSC เกิดขึ้นเพราะอาเซียนมีระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตน เอง 2 ฉบับ โดยแต่ละฉบับมีเงื่อนไขรายละเอียดแตกต่างกันในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายผู้ที่มีสิทธิรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง หรือจำนวนรายการสินค้าที่ผู้ประกอบการสามารถรับรองคุณสมบัติถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ ส่งผลให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนยุ่งยาก และซับซ้อน และแต่ละโครงการก็มีสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมไม่เหมือนกัน โดยโครงการที่ 1 มีสมาชิก คือ บรูไน กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ เมียนมา และไทย และโครงการที่ 2 มีสมาชิก คือ อินโดนีเซีย ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย อาเซียนจึงให้มีการเจรจาควบรวมระเบียบปฏิบัติโครงการนำร่องที่ 1 และโครงการนำร่องที่ 2 ให้เป็นฉบับเดียวกัน เพื่อลดความยุ่งยากและซับซ้อนของการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง

    กัมพูชาออกใบขับขี่สากล

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/50768552/ministry-begins-issuing-international-driving-licences/

    กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ประกาศว่า ได้เริ่มออกใบอนุญาตขับขี่สากล เพื่ออนุญาตให้ชาวกัมพูชาขับรถในต่างประเทศโดยผู้ถือใบอนุญาตจะได้รับอนุญาตให้ขับรถได้อย่างถูกกฎหมายใน 99 ประเทศ

    การประกาศเกิดขึ้นในกรุงพนมเปญระหว่างการเปิดศูนย์บริการประชาชนแห่งใหม่ในศูนย์การค้า

    ศูนย์แห่งใหม่นี้ได้เปิดให้บริการสำหรับประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกด้วย “ระบบอัตโนมัติ” ซึ่งครอบคลุมถึงการโอนกรรมสิทธิ์รถ การจดทะเบียนรถและการต่ออายุใบขับขี่โดยร่วมมือกับกรมสรรพากร

    นายซุน จันทล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง กล่าวว่า ชาวกัมพูชาที่มีใบอนุญาตขับขี่สามารถยื่นขอใบขับขี่สากลได้ที่กระทรวง
    โดยจะต้องจ่ายค่าบริการ 25 ดอลลาร์เพื่อเป็นคาการออกใบอนุญาตอายุหนึ่งปี

    “ใบขับขี่สากลจะอนุญาตให้เจ้าของขับรถในประเทศสมาชิก UN ได้อย่างถูกกฎหมาย ค่าธรรมเนียมถูกกำหนดให้สอดคล้องกับราคาที่กำหนดในประเทศอาเซียนอื่น ๆ ” โดยใน 99 ประเทศนั้นครอบคลุม ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกันนายจันทลกล่าวว่า“ ระบบอัตโนมัติ” ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าการเป็นเจ้าของถูกต้องตามกฎหมาย ขจัดการฉ้อโกง ง่ายต่อการจัดการรถยนต์ รักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยทางสังคมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายภาษีรถยนต์ให้กับรัฐสถานะ.

    ด้านนาย เกน สมบัติ รองอธิบดีกรมสรรพากรกล่าวว่า ระบบอัตโนมัติใหม่ซึ่งจะดำเนินการร่วมกับกระทรวงถือเป็นความสำเร็จครั้งในประวัติศาสตร์
    ที่นำไปสู่การปฏิรูปที่มากขึ้นในการบริการสาธารณะให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสร้างความทันสมัยของรัฐบาล

    “ระบบใหม่จะให้ความมั่นใจกับประชาชนในเรื่องความโปร่งใส นอกจากนี้ยังรวดเร็วมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่ายและจะช่วยปรับปรุงการจัดการข้อมูลอย่างมาก”