ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯปัดปม “2 ป.” ตั้งพรรคใหม่ ชี้ “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวแล้ว”-มติ ครม.อนุมัติ “คนละครึ่ง” แจก 3,000 บาท 10 ล้านคน

นายกฯปัดปม “2 ป.” ตั้งพรรคใหม่ ชี้ “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวแล้ว”-มติ ครม.อนุมัติ “คนละครึ่ง” แจก 3,000 บาท 10 ล้านคน

29 กันยายน 2020


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

นายกฯ ปัดปมขัดแย้ง “2 ป.” ตั้งพรรคใหม่ ชี้ “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวแล้ว” กำชับสถานศึกษาคุม “ครูลงโทษเด็ก” – มติ ครม.อนุมัติ “คนละครึ่ง” แจก 3,000 บาท 10 ล้านคน-เพิ่มเงินลงทุนรถไฟความเร็วสูง “กรุงเทพ-หนองคาย” 1.2 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ชี้เปิดรับนักท่องเที่ยวต้องถาม ปชช.ในพื้นที่-ยันรับจำกัด คุมได้

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการเปิดรับนักท่องเที่ยวล๊อตแรก มาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ว่า ตนต้องถามว่าแล้วจำเป็นต้องเปิดบ้างไหม เปิดเป็นกลุ่มๆ ได้หรือไม่ แล้วดูแลในลักษณะของการนำร่องก่อนได้ไหม ตนต้องถามสังคมก่อน ต้องถามประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวว่า เขารับได้ไหม หากรับได้ก็ต้องช่วยดูแล มาตรการถึงจะออกมาได้ เพราะแม้จะมีการกำหนดมาตรการมาอย่างไรก็ตามถ้าประชาชนในพื้นที่ไม่ตอบรับก็ลำบาก

ฉะนั้นคนที่เดือดร้อนก็ไม่ได้รับประโยชน์ หรือคนไม่เดือดร้อนที่ไม่ได้มีผลในเรื่องของธุรกิจ เศรษฐกิจ การดำรงชีวิตตามปกติของเขาเขาอาจจะไม่เห็นด้วยตรงนี้ แต่ประชาชนที่เหลือต้องนึกถึงเขาหรือไม่ รัฐบาลก็พยายามจะหามาตรการที่เหมาะสม

“นักธุรกิจที่เข้ามา นักท่องเที่ยวที่เข้ามา นั้นเป็นแบบพิเศษ ไม่ใช่เปิดการท่องเที่ยวแบบเปิดประเทศอย่างนั้น แต่มีการกำหนดไว้เป็นจำนวนจำกัดและเข้ามาจะต้องควบคุมดูแลได้ นักท่องเที่ยวต้องยอมสวมริสแบนด์ ต้องมีแอพพลิเคชั่นติดตามตัว และข้อสำคัญคือมีพื้นที่ช่วยกันดูแลในเรื่องของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้ก็จะเดินหน้าไม่ได้สักอัน”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลก็ต้องอยู่ตรงนี้ในการกำหนดนโยบายฉะนั้นการปฏิบัติก็ต้องทำให้เข้มงวด ในเมื่อเข้ามาก็ต้องมีความยินยอมในการที่จะต้องถูกกักตัวใน state quarantine หรือในสถานที่ที่กำหนด ต้องมีการติดตามประเมินผลหากพบความบกพร่องก็จะรีบดำเนินการแก้ไขทันที ก็เหมือนกับเช่นการที่เราผ่อนผันให้กับร้านค้าผู้ประกอบการต่างๆ อย่างไรก็ตามถ้าปรากฏว่าไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือมาตรการให้ครบถ้วนก็ต้องถูกปิดโดยทันที ให้ปรับปรุงแก้ไขถึงจะเปิดใหม่ได้ อันนี้ก็ฝากไปถึงส่วนของความมั่นคงด้วย

ยันทุกสายการบินเลื่อนตั๋วได้ถึง 31 ต.ค.นี้

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี การออกประกาศให้สายการบินขยายเวลาเลื่อนตั๋วเดินทางเที่ยวบินระหว่างประเทศ ว่า วันนี้รัฐบาลขยายเวลาเลื่อนตั๋วเดินทางไปถึง 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งจากนี้ก็เป็นเรื่องของสายการบินแต่ละสายการบิน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ขอความร่วมมือจากเขาได้ถึงเดือนตุลาคม 2563 เท่านั้น

“ปัจจุบันมีเครื่องบินเข้าออกประเทศส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่เข้ามาเป็นคนไทยที่เราต้องรับกลับมา หรือต่างชาติที่มี work permit คณะทูต หรือเรื่องของการขนส่งสินค้า จะเห็นได้ว่าเรื่องของการขนคนเยอะๆนั้นยังไม่มี ซึ่งรัฐบาลไปสั่งมากๆ ไม่ได้เพราะสายการบินบางสายเป็นจองต่างชาติ เราสั่งได้เฉพาะของเรา ของต่างขาติเป็นเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือ เดี๋ยวคมนาคมจะรับเรื่องนี้ไปดำเนินการ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามต้องเปิดช่องตรงนี้ไว้ว่าหากสถานการณ์นั้นดีขึ้น ในช่วงที่ไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศกันเอง มีเพียงผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศเท่านั้น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวไปถึงการส่งกำลังทหารไปฝึกในต่างประเทศ ว่า เป็นกรณีที่ต้องดำเนินการตามพันธกิจที่ตกลงไว้กับต่างชาติ ทั้งนี้ทหารที่ถูกส่งไปล้วนได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันตนเองในเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ แนะนำแนวปฏิบัติที่ดีไปแก้ไขในประเทศที่ไปปฏิบัติงานด้วย และเมื่อกลับมาก็ต้องมีการกักตัวตามมาตรการของรัฐทุกประการ

เก็บหลักฐานผู้ชุมนุมสาดสี-ปฏิเสธข่าวทหารล็อกคอ ปชช.

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมสาดสีเข้ารั้วกองพันทหารม้าที่ 4 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา โดยถามกลับว่า แล้วท่านว่าอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้ โดยกล่าวต่อไปว่า ควรทำหรือไม่ควรก็เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องว่ากันไป เรื่องของทรัพย์สินของราชการกฎหมายว่าอย่างไรตนไม่รู้ แต่บางครั้งประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันดูแลด้วย พร้อมทั้งปฏิเสธกระแสข่าวที่ทหารใช้กำลังกับผู้ชุมนุมว่า ทหารไปล็อกคอประชาชนไม่มีหรอก

“ผมก็ไม่อยากให้เป็นฉนวนทางการเมืองวันนี้ก็สั่งให้หน่วยงานราชการของรัฐต่างๆ ระมัดระวังที่สุดในการปฏิบัติต่อประชาชนที่ประท้วงต่างๆ แต่ถ้าเกินเลยไปก็คงเป็นเรื่องของกฎหมายแล้วก็ต้องไปว่ากันคงไม่ได้ไปสั่งอะไรทั้งสิ้น”

เมื่อถามว่าเหตุใดรัฐบาลจึงยอมให้กลุ่มคนเหล่านี้ชุมนุมเคลื่อนไหวหากเห็นว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าเปิดหรือไม่เปิดเขาก็เคลื่อนไหวอยู่แล้วตอนนี้ แต่เขาต้องนึกถึงกฎหมายกฎหมายจะตามมาทีหลัง อย่างไรก็ไปว่ากันอีกที การเก็บหลักฐานต่างๆ มันมีเวลาทั้งสิ้น

“วันนี้ก็ไม่อยากให้มันเป็นประเด็นเพิ่มความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นการชักจูงคนไปร่วมด้วยเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่ใช่ข้อมูลที่แท้จริง หลายๆ อย่างเขาเพียงแค่อยากถ่ายรูปให้เห็นว่ามีรูปของเขาเคลื่อนไหวต่างๆ แล้วเราก็ขยายให้เขาไปเยอะๆ มันก็เป็นเงื่อนไขไปเรื่อยๆ ผมต้องการจะลดความกดดันลดความไม่สงบเรียบร้อยของประชาชนของสังคมประเทศชาติให้ได้มากที่สุด”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า รัฐก็พยายามจะประคับประคองตรงนี้ให้ได้ แต่ประชาชนที่เขาไม่เห็นด้วยจำนวนมากพอสมควรอันนี้ก็มีการไปร้องทุกข์กล่าวโทษนั้น ตนก็ทำอะไรไม่ได้เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะร้องทุกข์กล่าวโทษได้ทั้งหมด พร้อมกล่าวขอมขอบคุณสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เห็น และกล่าวย้ำว่า

“อะไรที่ไม่ควรได้ยินและเป็นการยั่วยุก็ไม่ต้องไปเผยแพร่ตอกย้ำถ้ามันผิดอยู่แล้วไม่ถูกต้องก็อย่าไปขยายความ”

ปัดปมขัดแย้ง “2 ป.” ตั้งพรรคใหม่ ชี้ “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวแล้ว”

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีร่างรัฐธรรมนูญที่ยังมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในการประชุมสภา โดยสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ต้องการให้ส่งร่างฉบับ ครม.เข้าไปร่วมพิจารณาในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) และในสมัยหน้า ว่า ขอให้รอเขาศึกษาก่อนเป็นระยะเวลา 30 วัน จากนั้นเมื่อสภาเปิดเรื่องดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาเป็นวาระแรก ว่า ที่ดำเนินการศึกษานั้นเป็นอย่างไร โดยจะมีการสรุปออกมา เป็นการที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดการพิจารณาร่วมกันของสภาในช่วงนี้

“ผมไปกำกับดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นผมทำไม่ได้ ที่ผ่านมาทุกคนก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างเป็นอิสระเราก็ยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน มันก็มีอยู่หลายร่างด้วยกันตั้งแต่ระดับคณะกรรมการศึกษา คณะกรรมาธิการศึกษา ผมขอให้ทุกคนมองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักแล้วกัน ว่าอะไรมันได้ อะไรไม่ได้ และควรทำอะไรไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นมา”

เมื่อถามถึงกรณีกระแสข่าวที่รัฐมนตรี 2 ป.จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ถามกลับว่าแล้ว ป.ไหน ผู้สื่อตอบว่า ป.ประยุทธ์ และ ป.ป๊อก นายกรัฐมนตรีปฏิเสธตอบคำถามเพียงพูดสั้นๆว่า “สวัสดี แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” ก่อนจะเดินออกจากห้องแถลงข่าว

กำชับสถานศึกษาคุม “ครูลงโทษเด็ก-รับน้อง”

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีครูอนุบาลทำร้ายนักเรียนที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกระแสเพราะบังเอิญช่วงนี้มีเรื่องคล้ายๆ กันเกิดขึ้นด้วยคือเรื่องการรับน้องใหม่ ซึ่งข้อสำคัญคือ ตนได้ฝากไปทางครู อาจารย์ให้ระมัดระวังอย่างที่สุดในการลงโทษเด็ก เนื่องจากปัจจุบันใช้ความรุนแรงกับเด็กไม่ได้

“วันนี้มันทำไม่ได้ ใช้ความรุนแรงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีเจตนาดีอย่างไรก็ตาม ผมขอฝากไปยังครูจำนวน 4 แสนกว่าคนนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าให้เป็นปัญหา อย่าให้เป็นเงื่อนไข และกลับขึ้นมาสู่รัฐบาล เพราะเป็นการทำงานในกรอบงานของท่าน และฝากไปยังองค์กรและบุคลากรครูด้วย ว่าต้องมีการสื่อสารถึงกัน การทำแบบเดิมนั้นเป็นเรื่องรับไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะตีแรงๆ หรือให้ออกกำลังกายหนักๆ จนเด็กได้รับบาดเจ็บ แล้วคนเหล่านี้ก็ไม่พอใจก็ไปร่วมสะสมความไม่พอใจกันขึ้นมาจนเป็นกลุ่มขึ้นมาอีกปัญหาก็ยิ่งแก้ไม่ออกก็ฝากด้วยละกันผมก็หวังความร่วมมือจากครูทั้งหมดพ่อแม่เขาก็ห่วงลูกเขา”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ก็รู้อยู่แล้วโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ มีกล้องเต็มไปหมด ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำอะไรแล้วคนจะไม่เห็น วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือในโซเชียลมีเดียที่จะเป็นการขยายขัดแย้งไปมากยิ่งขึ้นหากมีข้อเท็จจริงเป็นประเด็นขึ้นมา ถ้าหากไม่มีก็จบ แต่หากมีข้อเท็จจริงก็ต้องมีการตรวจสอบ

ทั้งนี้ ตนได้กำชับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนสถานศึกษาให้ต้องระมัดระวังในเรื่องของการลงโทษ และการรับน้องใหม่ รวมถึงเรื่องของการรังแกกลั่นแกล้ง (บูลลี่) เหล่านี้ต้องไปแก้ปัญหาภายในสถานศึกษาให้ได้ทั้งหมด ให้เรียบร้อยอยู่ในระเบียบกฎข้อบังคับที่เหมาะสม

มติ ครม.มีดังนี้

ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

นายกฯ เยี่ยมชมโครงการเปลี่ยนรถเมล์หมดอายุเป็น EV

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมโครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. โดยมีเป้าหมายเพื่อนำรถประจำทางที่หมดอายุมาปรับเป็น รถไฟฟ้า (EV) ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ขสมก. และภาคเอกชน โครงการดังกล่าวจะพัฒนาเป็นรถไฟฟ้าต้นแบบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งานจริง โดยสามารถขับได้เกือบ 200 กิโลเมตร

3 วัน “Job Expo” รับคนเข้าทำงานแล้ว 1 แสนราย

นายอนุชา กล่าวว่า งาน Job Expo ในช่วงเวลา 3 วันมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 2.4 แสนคน และมีการบรรจุงานขั้นต่ำไปแล้วเกือบ 1 แสนคน ทำให้เงินหมุนเวียนในส่วนนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบในฐานรากเศรษฐกิจถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ตัวอย่าง ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการมาก ได้แก่ การผลิต การตลาด-ประชาสัมพันธ์ เสื้อผ้า-สิ่งทอ ออกแบบ-เขียนแบบ-กราฟิก ช่างภาพ และก่อสร้าง ส่วนตำแหน่งที่มีผู้สมัครงานสูงสุดคือตำแหน่งธุรกิจและการจัดการทั่วไป การตลาด-ประชาสัมพันธ์ การบริหาร และการผลิต

อนุมัติ “คนละครึ่ง” แจก 3,000 บาท 10 ล้านคน

นายอนุชา กล่าวว่า ครม.รายงานความคืบหน้าของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชน และการบริโภคของประชาชน มีโครงการต่างๆ ดังนี้

1) “โครงการคนละครึ่ง” ในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-pay) ระหว่างประชาชนที่เข้าร่วมโครงการและรัฐบาล โดยจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการเป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 10 ล้านคน โดยภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าทั่วไป ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบและบริการต่างๆ ร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน ผ่าน g-wallet (“เป๋าตัง” สำหรับประชาชน และ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า) ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 ภายใต้วงเงินจำนวน 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ GDP ขยายตัวร้อยละ 0.18

2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้า) จำนวน 500 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13,948,518 คน วงเงิน 20,922.7770 ล้านบาท รวมระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2563 จะทำให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13,948,518 คนได้รับการช่วยเหลือและลดภาระค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นผ่านร้านธงฟ้าฯ อีกด้วย

3) ปรับปรุงคุณสมบัติโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ให้ครอบคลุมกลุ่ม Part Time โดยกำหนดเป็น “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม ยกเว้นกรณีผู้จบการศึกษาใหม่ที่อยู่ในระบบประกันสังคม เนื่องจากการทำงานนอกเวลาเรียน (Part time) ในระหว่างที่กำลังศึกษา” จากเดิมที่กำหนดให้ “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม”

นายอนุชา กล่าวว่า ครม.อนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงินรวม 878.20 ล้านบาท

  • คลังเปิดตัว “คนละครึ่ง – เติมเงินบัตรคนจน” คาดเงินสะพัด 8.1 หมื่นล้าน ปั้ม GDP เพิ่ม 0.25%
  • แจงความคืบหน้าโครงการ “สวนป่า เบญจกิติ”

    นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รายงานต่อครม.ถึงความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” โดยงานรื้อถอนซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2563 ส่วนงานก่อสร้าง มีแผนเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ระยะ ซึ่งระยะที่ 1 จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับจัดเตรียมงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 และระยะที่ 2 จะดำเนินการปรับปรุงอาคารเดิมให้เป็นอาคารกีฬาและอาคารพิพิธภัณฑ์ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จเดือนกุมภาพันธ์ 2565

    ขณะเดียวกันมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 ธันวาคม 2534 ได้สั่งให้ย้ายโรงงานยาสูบทั้งหมดไปอยู่ส่วนภูมิภาคและพัฒนาพื้นที่เดิมเป็นสวนสาธารณะ สวนสุขภาพและออกกำลังกาย งบประมาณการก่อสร้างมาจากรายได้แผ่นดินที่โรงานยาสูบต้องนำส่งคลัง เป็นค่าก่อสร้างสวน ประกอบด้วย การจัดสร้างสวนน้ำ ซึ่งดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จเปิดสวนเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ส่วนที่ 2 เป็นการจัดสร้างสวนป่า แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เนื้อที่ 61 ไร่ และระยะที่ 2-3 เนื้อที่ 131 ไร่ และ 128 ไร่

    ไฟเขียวงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง กว่า 1.5 ล้านล้าน

    ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 44 แห่ง ภายใต้ 15 กระทรวง จากทั้งหมด 52 แห่ง โดยอีก 8 แห่งเป็นองค์กรมหาชน มีวงเงินดำเนินการ 1.51 ล้านล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน 2.91 แสนล้านบาท เพื่อดำเนินการ 16 โครงการ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ในพื้นที่ EEC ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ช่วงท่าอากาศยานนานชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลองของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย,โครงการเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟด้วยสาเคเบิลใต้น้ำให้เกาะต่างๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น โดยกำหนดเป้าเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน

    โดยคาดว่าการดำเนินการงบปี 2564 ของรัฐวิสาหกิจ 44 แห่งจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ 7.35 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565 – 2567 จะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ 3.83 แสนล้านบาท ผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ 1.06 แสนล้านบาท และเมื่อรวมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้ง 52 แห่ง จะมีวงเงินดำเนินการ รวม 1.55 ล้านล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน รวม 4.32 แสนล้านบาท

    เห็นชอบนิคมอุตฯ “Smart Park” ระยอง 2.3 พันล้าน

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง ในพื้นที่พื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวม 1,383 ไร่ มูลค่าประมาณ 2,370 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์

    โครงการ Smart Park จังหวัดระยองจะใช้เวลาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคประมาณ 3 ปี และจะจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยคาดว่าหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 ปี พื้นที่จะถูกเช่าหมด และจะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี

    ทั้งนี้โครงการดังกล่าวแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น (1) พื้นที่อุตสาหกรรม จำนวน 621.55 ไร่ (2) พื้นที่พาณิชยกรรม จำนวน 150.54 ไร่ (3) พื้นที่สาธารณูปโภค เช่น พื้นที่จอดรถส่วนกลาง ระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย สถานีไฟฟ้าย่อย และถนน จำนวน 373.35 ไร่ และ (4)พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน จำนวน 238.32 ไร่

    ผ่านร่าง พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. … ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ที่มีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปรับปรุงเกี่ยวกับวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การห้ามปิดงานหรือการนัดหยุดงาน หลักเกณฑ์การจัดตั้งและการดำเนินงานของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ

    สาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. … ดังนี้

      1) ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงาน เช่น กำหนดระยะเวลาการยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือการแก้ไขข้อตกลง ต้องยื่นภายใน 60 วันก่อนวันที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจะสิ้นสุดลง และกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน ซึ่งมีลูกจ้างเป็นสมาชิกเกินกว่า 2 ใน 3 ของลูกจ้างทั้งหมดให้มีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างทุกคน
      2) วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน กรณีที่มีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ดำเนินการประนอมข้อพิพาทนั้น หรือไปเจรจาตกลงกันเอง หรือส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงานเป็นผู้ตัดสิน
      3) การปิดงานและการนัดหยุดงาน เช่น กำหนดให้นายจ้างอาจปิดงานหรือลูกจ้างอาจนัดหยุดงานได้ แต่ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทและแจ้งอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง, กำหนดให้การปิดงานหรือการนัดหยุดงานในงานที่เป็นบริการสาธารณะ ได้แก่ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์หรือโทรคมนาคมบรรเทาสาธารณภัย ควบคุมการจราจรทางอากาศ และกิจการอื่น โดยฝ่ายที่ปิดงานหรือนัดหยุดงาน จะต้องจัดให้มีบริการสาธารณะขั้นต่ำเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน
      4) กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน ประกอบด้วย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธานกรรมการ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
      5) ปรับอัตราโทษให้มีความเหมาะสม เช่น มาตรา 87 ผู้ใดฝ่าฝืนตามมาตรา 18 หรือ มาตรา 19 (การปิดงานหรือนัดหยุดงาน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 90 ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินการสหภาพแรงงานที่ยังไม่ได้รับใบรับรองการจัดตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น

    หลังจากนี้ ครม.จะส่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

    มอบอำนาจดีอีสู้คดี “ไทยคม 5”- เจรจาเบี้ยปรับ

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวว่า ครมมีมติอนุมัติมอบอำนาจให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ดำเนินคดีโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการและหรือกระบวนการทางศาล เพื่อเรียกร้องให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตามข้อสัญญา รวมทั้งการเรียกร้องให้ดำเนินการจัดหาดาวเทียมทดแทนดาวเทียมไทยคม 5 การขอให้ชดใช้ราคาแทนการจัดหาดาวเทียมทดแทนดาวเทียมไทยคม 5  การชำระค่าตอบแทนต่างๆ ตามสัญญา เบี้ยปรับ และค่าเสียหายต่าง ๆ ตามรายละเอียดที่ตรวจสอบได้และประสงค์จะเรียกร้องแทนรัฐบาล ทั้งสืบเนื่องจากดาวเทียมไทยคม 5 ได้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคจนไม่สามารถกู้ระบบคืนหรือซ่อมแซมได้ จึงปลดระวางเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนวันหมดสัญญา 10 กันยายน 2564

    โดยมีประเด็นในการชี้แจงของ บมจ. ไทยคม ดังนี้

    1. การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทรับประกัน กรณีเหตุขัดข้องทางเทคนิคของดาวเทียมไทยคม 5 โดย ดศ. ให้ บมจ. ไทยคม ดำเนินการเจรจาต่อรองค่าเสียหายกับบริษัทผู้รับประกันภัย ซึ่งการพิจารณาวงเงินค่าสินไหมทดแทนของบริษัทผู้รับประกันภัยใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
    2. บมจ. ไทยคม จะต้องจัดสร้างดาวเทียมทดแทนตามสัญญา กรณีดาวเทียมไทยคม 5 ที่ปลดระวางโดย บมจ. ไทยคม ชี้แจง ได้จัดสร้างดาวเทียมหลักและสำรองในกรณีที่ดาวเทียมหลักเสียหายถูกต้องครบถ้วน (2 ชุด) ตามข้อกำหนดของสัญญาแล้ว จึงไม่มีแผนในการจัดสร้างดาวเทียมเพิ่มเติม ซึ่งข้อพิพาทนี้ยังไม่มีข้อยุติ ดศ. จึงต้องนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ ตามสัญญา

    ตั้ง “บริษัทลูก” บริหารทรัพย์สิน รฟท.-กู้เงิน 200 ล้าน

    น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของรฟท. โดยใช้ชื่อว่า บริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยให้รฟท. กู้ยืมเงินจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียนด้วย โดยที่รฟท.รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน

    กระทรวงคมนาคมรายงานถึงความจำเป็นในการจัดตั้งบริษัทลูกในครั้งนี้ว่ารฟท.ไม่ได้มีความชำนาญด้านการบริหารสินทรัพย์ ทำให้ไม่สามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาบริหารจัดการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่

    ทั้งนี้ รฟท.มีที่ดินที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถจำนวน 38,469 ไร่ มูลค่าประมาณ 300,000 ล้านบาท แต่มีรายได้ผลตอบแทนจากการบริหารสินทรัพย์ประมาณปีละ 2,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ของมูลค่าสินทรัพย์

    สำหรับรายได้ของบริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด จะมาจาก 3 ส่วนคือ รายได้จากค่ารับจ้างบริหารสัญญาเช่าเดิมจำนวน 15,270 สัญญา, รายได้จากการให้เช่าช่วง ร่วมทุน หรือพัฒนาที่ดินเดิมที่หมดอายุสัญญและรายได้จากการร่วมลงทุนกับเอกชนและพัฒนาพื้นที่ดินเปล่าแปลงอื่นๆ รวมถึงในอนาคตอาจมีรายได้จากการขายกระแสเงินสดในอนาคตให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

    รฟท.จะนำรายได้จากบริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด มาลดภารระหนี้สิน โดยประมาณการผลตอบแทนที่รฟท.จะได้รับในระยะเวลา 30 ปี ที่ 631,628 ล้านบาท ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2562 มีภาระหนี้สินรวม 177,611 ล้านบาท

    เพิ่มเงินลงทุนรถไฟความเร็วสูง “กรุงเทพ-หนองคาย” 1.2 หมื่นล้าน

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบการปรับกรอบวงเงินในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) จากที่ครม.เคยอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2560 จาก 38,558.38 ล้านบาท เป็น 50,633.50 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 12,075.12 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบกับกรอบวงเงินรวมของโครงการ และให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด

    กรอบวงเงินที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย (1) การย้ายขอบเขตงานของงานระบบรถไฟความเร็วสูงที่ซ้อนทับอยู่ในขอบเขตของงานโยธาเป็นเงิน 7,032.78 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์บำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Maintenance) จึงได้ย้ายขอบเขตงานจากงานโยธาไปไว้ยังงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลฯ (2) การเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ เป็นเงินเพิ่มขึ้น 2,530.38 ล้านบาท (3) การปรับเปลี่ยนทางแบบใช้หินโรยทาง (Ballasted Track) เป็นทางแบบไม่ใช้หินโรยทาง (Ballastless Track) เพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุง ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในอนาคต เป็นเงินทั้งสิ้น 2,227.57 ล้านบาท และ (4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารับประกันผลงานจากความชำรุดบกพร่องจาก 1 ปี เป็น 2 ปี ตามระเบียบฯ ค่าดำเนินการต่าง และอื่นๆ เป็นจำนวนเงิน 284.39 ล้านบาท

    สาระสำคัญของร่างสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) มีดังนี้คือ เป็นสัญญาการจ้างรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นตัวแทนแห่งสาธารณรัฐประชาชนมาเป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ติดตั้งงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ระบบรถไฟความเร็วสูง จัดหาขบวนรถไฟ และฝึกอบรมบุคลากร ชื่อสัญญาภาษาอังกฤษว่า The Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training Contract มีวงเงินของสัญญา 50,633.50 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ (1) การเริ่มต้นงานออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูง และออกแบบระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนออกแบบขบวนรถไฟ (2) การเริ่มต้นงานฝึกอบรมบุคลากรเพื่อการเดินรถและซ่อมบำรุง และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ (3) การเริ่มต้นงานก่อสร้าง ติดตั้งงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ระบบรถไฟความเร็วสูงที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาสิ้นสุดสัญญา 64 เดือน

    ตั้ง “วัฒนศักย์” นั่งอธิบดีกรมการค้าภายใน

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง อาทิ มีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แต่งตั้ง นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการค้าภายใน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

    ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้

    1. นายปกอนันท์ โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 1)
    2. นายธรณินทร์ สิริพัฒโนดมสกุล (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 2)
    3. นายธรรมจักร์ เหลืองประเสริฐ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 3)
    4. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร               (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 4)
    5. นายสมคิด ใจยิ้ม (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม)

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

    และมีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ดังนี้

    1. แต่งตั้ง หม่อมหลวง สุนทรชัย ชยางกูร ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
    2. แต่งตั้ง นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
    3. แต่งตั้ง นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย)

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 เป็นต้นไป

    นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

    อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 29 กันยายน 2563 เพิ่มเติม