ผ่อนคลายระยะที่ 3 ลดเวลาเคอร์ฟิว 23.00-03.00 น. เปิดห้างได้ถึง 3 ทุ่ม เปิดโรงหนังจำกัดจำนวน 200 คน ผ่อนคลายเดินทางข้ามจังหวัด ยังเข้มเข้า-ออกประเทศ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธาน
ในวันนี้พบผู้ป่วยเพิ่ม 11 คน เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศคูเวต และอยู่ใน state quarantine ทั้งหมด ทำให้ภาพรวมผู้ติดเชื้ออยู่สะสมมีจำนวน 3,076 คน
โดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ ครม. (คณะรัฐมนตรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือควบคุมและป้องกันโรค และนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะให้นำนวัตกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ในการรับมือ โควิด-19 ของศูนย์รวมนวัตกรรมของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ผลิตและพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เอง มาพัฒนาต่อยอดต่อไปเพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าต่อไปในอนาคตได้
พร้อมชี้แจงถึงการขยายพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ว่า เพื่อให้การบริหารของ ศบค. ในภาพรวมเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องการให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงเจตนาของการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งหากสถานการณ์ดีขึ้นก็จะมีการผ่อนคลายระยะที่ 4 และพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป แต่ต้องมีการพิจารณาให้รอบครอบ เพื่อดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ราบรื่น และควบคุมสถานการณ์ต่อไปให้ได้ เช่น ต้องมีมาตรการรองรับการใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่จะมาทดแทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ทางด้านการพิจารณาเปิดสถานศึกษา ทั้งพื้นที่ห่างไกลไม่มีอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และพื้นในเมืองนั้น เห็นว่าพื้นที่ในเมืองอาจจะทำการสลับหรือเหลื่อมเวลาเรียน แต่ในกรณีของเด็กเล็กอาจยังมีความเสี่ยง และกรณีของโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้ทันกับมาตรฐานของต่างประเทศต่างๆ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปในส่วนนี้ ต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดต่อไป โดยได้มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหาข้อสรุปของแต่ละเรื่องนำมาเสนออีกครั้ง
ลดเวลาเคอร์ฟิวอีก 1 ชม. เปิดห้างได้ถึง 3 ทุ่ม
พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาผ่อนปรนในระยะที่ 3 แก่กิจการและกิจกรรมดังต่อไปนี้
- ผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา เพื่อใช้ในการคัดเลือกหรือสอบคัดเลือกการอบรมระยะสั้น แต่ยังไม่ได้เปิดให้มีการเรียนการสอน รวมทั้งจะให้มีการเปิดโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนเฉพาะประเภทวิชาชีพและเฉพาะประเภทศิลปะการกีฬา
- กำหนดให้มีการขยายเวลาการดำเนินการของห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้าออกไปเป็น 21:00 น.
- อนุญาตให้เปิดศูนย์แสดงสินค้า/ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการ โดยกำหนดพื้นที่ไม่เกิน 20,000 ตารางเมตร โดยให้เปิด-ปิดการจัดนิทรรศการและการประชุมภายใน 21:00 น.เป็นเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้า
- อนุญาตให้เปิดสนามพระเครื่อง/ศูนย์พระเครื่อง แต่มีมาตรการจำกัดคือ ห้ามแออัดหรือทำให้เกิดสภาพการไร้ระเบียบ
- ผ่อนคลายให้ร้านเสริมสวยแต่งผมตัดผมสุภาพสตรี-สุภาพบุรุษ สามารถทำสีผมได้นอกเหนือไปจากการตัดผมสระผมปกติที่ได้ผ่อนคลายไปในระยะที่ 2 แล้ว เพียงแต่จะต้องใช้เวลาในการในการทำกิจกรรมเหล่านั้นภายใน 2 ชั่วโมง และยังคงห้ามการนั่งรอในร้าน
- เปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาประกอบอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็กที่อยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซึ่งผู้ปกครองก็จะมารับอาหารกลับไป ยืนยันว่าไม่ได้มีเรียนการสอนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
- คลินิกคลินิกเวชกรรมเสริมความงาม ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นให้สามารถให้บริการได้ทั้งตัว เว้นใบหน้าที่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเป็นปกติทั้งผู้ให้บริการผู้รับบริการ
- อนุญาตให้เปิดสถานบริการประเภทนวดเพื่อสุขภาพ/สปา/นวดแผนไทย/นวดฝ่าเท้าตามปกติ แต่ต้องมีมาตรการกำกับ เช่น ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการการจับต้องใบหน้าเช่นกัน และยังคงงดการอบตัว อบสมุนไพร อบไอน้ำ ส่วนกิจการอาบอบนวดก็ยังคงห้ามต่อไป
- ผ่อนคลายให้สถานที่ออกกำลังกาย/ฟิตเนสไม่ว่าที่จะเป็นอยู่ในห้างหรืออยู่นอกห้างสรรพสินค้า ให้สามารถทำกิจกรรมได้ทั้งหมด แต่ว่าจะต้องมีมาตรการกำกับและจำกัดระยะเวลาในการใช้บริการ
- อนุญาตให้เปิดสนามกีฬาเพื่อออกกำลังกายและการฝึกซ้อม โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานกีฬาสากล ประเภทฟุตบอล ฟุตซอล รวมทั้งมวย วอลเลย์บอล โดยต้องจะมีมาตรการกำกับเรื่องการรักษาระยะห่าง รวมทั้งอาจจะมีบางอย่างที่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น จำนวนนักกีฬาเป็นไปตามกติกาสากล ส่วนเจ้าหน้าที่กำกับมีได้ไม่เกิน 10 คน รวมทั้งจำกัดจำนวนเวลาในการใช้ในกิจกรรมนั้นด้วย
- อนุญาตให้เปิดสถานที่เล่นโบว์ลิ่ง/สเกต/โรลเลอร์เบลด หรือการละเล่นในลักษณะเดียวกัน แต่ต้องจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมนั้นด้วย
- อนุญาตให้เปิดให้บริการสระน้ำเพื่อละเล่น หรือกิจกรรมทางน้ำที่อยู่ในบึงเท่านั้น ไม่รวมชายทะเล/ชายหาด โดยต้องมีมาตรการทำความสะอาดอุปกรณ์ และจำกัดผู้เล่น
- อนุญาตให้เปิดโรงภาพยนตร์/โรงละคร/โรงมหรสพ โดยต้องมีมาตรการควบคุม เช่น จำกัดผู้เข้าชมภาพยนตร์แต่ละครั้งไม่เกิน 200 คน รวมทั้งมีมาตรการรักษาระยะห่าง ในกรณีของระยะห่างในโรงภาพยนตร์ก็จะอนุญาตให้นั่งให้นั่งคู่กันได้แต่ต้องใส่หน้ากาก
- อนุญาตให้เปิดสวนสัตว์หรือสถานที่จัดแสดงสัตว์ โดยต้องมีมาตรการควบคุมตามที่รัฐบาลกำหนด
มาตรการทางกฎหมายที่ยังควบคุมมีดังนี้
- ยังคงควบคุมมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก–น้ำ–อากาศไว้ในระดับที่ขึ้นเข้มข้นเช่นเดิม เนื่องจากการนำเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาภายในประเทศยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล
- การห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ผ่อนคลายเพิ่มอีก 1 ชั่วโมงเป็น 23:00 น. จนถึง 3:00 น. ของวันรุ่งขึ้น เนื่องจากทราบดีว่า 1 ชั่วโมงที่ผ่อนคลายเป็นการช่วยกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ช่วยการแบ่งเบาภาระ รวมทั้งมีการประกอบกิจกรรมบางอย่างที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต
- การเดินทางข้ามจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป อนุญาตให้เดินทางข้ามจังหวัดไปมาได้แต่ไม่ถึงกับเสรี ยังคงมองเห็นว่าการอยู่ที่บ้านยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพียงแต่ว่าทราบดีว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้มีความจำเป็นที่ต้องผ่อนคลายมากขึ้น การเดินทางข้ามจังหวัดใดๆ กรณีเป็นสิ่งสำคัญเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต และทางเศรษฐกิจจึงอนุญาตให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ภายใต้ข้อกำหนดที่ทางราชการกำหนด
- ห้างสรรพสินค้าให้เปิดได้ไปจนถึงเวลา 21:00 น.
“การเปิดการผ่อนคลายกิจกรรมซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงตามลำดับนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือมาตรการควบคู่กันไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวมหน้ากาก การรักษาระยะห่าง การวัดไข้ การจำกัดจำนวนผู้เข้ากิจกรรม การล้างมือต่างๆ ยังคงต้องปฏิบัติตามปกติ ซึ่งรายละเอียดรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วจึงจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ซึ่งส่วนนี้เป็นมาตรการกลาง แต่ละจังหวัดอาจมีมาตรการกำกับที่เข้มข้นแตกต่างไปได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละที่อาจเสริมมาตรการได้ หากเห็นว่ามาตรการกลางอ่อนไป” พลเอก สมศักดิ์ กล่าว
จากคำถามของประชาชนถึงเหตุผลที่ยังต้องคงต้องมีการเคอร์ฟิว พลเอก สมศักดิ์ กล่าวว่า เนื่องจากยังอนุญาตให้มีการขายสุรา แต่ไม่อนุญาตให้ดื่มสุราภายในร้าน ซึ่งยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีการฝ่าฝืนรวมกลุ่มมั่วสุมดื่มสุรา หรือทำกิจกรรมที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม จะมีการปรับลดระยะเวลาลงเรื่อยๆ
สำหรับคำถามถึงการเปิดให้เสริมความงามมากขึ้นในบริเวณใบหน้า พลเอก สมศักดิ์ ระบุว่า เนื่องจากยังคงมีความกังวล จึงแนะนำให้ผู้รับบริการและผู้ใช้บริการยังคงต้องสวมหน้ากากอยู่ เพราะบริเวณใบหน้าอาจเป็นส่วนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และต้องจำกัดระยะเวลาในการให้บริการไม่นานเกินไป
ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของประชาชน พลเอก สมศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน ต้องดูว่าไปที่ไหน ที่จองไว้นั้นเกี่ยวกับกิจการอะไร ต้องดำเนินการให้อยู่ในมาตรการที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากชายทะเลยังไม่เปิด ส่วนโบราณสถานต่างๆ นั้นเปิดแล้ว ซึ่งในการเดินทางขอให้ประชาชนพกบัตรประจำตัวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ และยังคงยืนยันว่าอยู่บ้านเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด