ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ในหลวงทรงห่วงใยประชาชนไม่ปิดการจราจรรับขบวนเสด็จ” และ “ควีนเอลิซาเบธที่2ทรงสนับสนุน “แฮร์รีและเมแกน” ใช้ชีวิตอิสระ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ในหลวงทรงห่วงใยประชาชนไม่ปิดการจราจรรับขบวนเสด็จ” และ “ควีนเอลิซาเบธที่2ทรงสนับสนุน “แฮร์รีและเมแกน” ใช้ชีวิตอิสระ”

18 มกราคม 2020


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 11-17 ม.ค. 2563

  • ในหลวงทรงห่วงใยประชาชน ไม่ปิดการจราจรรับขบวนเสด็จ
  • ควบรวม CAT-TOT — ชื่อใหม่ “บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ” ไฟเขียวให้ร่วมประมูลคลื่นความถี่
  • กรณ์-อรรถวิชช์ ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์
  • “สมชัย” เปิดหลักฐาน มีอีก 18 พรรคกู้เงินทำกิจกรรมการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลโต้ข้อมูลเก่า
  • ควีนเอลิซาเบธที่2ทรงสนับสนุนให้เจ้าชายแฮร์รีและเมแกนใช้ชีวิตอิสระ
  • ในหลวงทรงห่วงใยประชาชน ไม่ปิดการจราจรรับขบวนเสด็จ

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2563 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ จึงทรงมีพระราโชบายมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดแนวทางอำนวยความสะดวกด้านการจราจร
     
    โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า

    “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบดีถึงปัญหาการจราจรและทรงห่วงใยประชาชนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้กำหนดแนวทางอำนวยความสะดวกด้านการจราจร โดยไม่ให้ปิดการจราจร ให้จัดช่องทางเสด็จฯ และช่องทางประชาชน โดยใช้อุปกรณ์เพื่อความสะดวก กรณีที่มีเกาะกลางถนนเส้นทางฝั่งตรงข้ามสามารถใช้ได้ตามปกติ กรณีไม่มีเกาะกลางถนนให้ใช้กรวยยางวาง

    กรณีทางร่วมทางแยกใช้วิธีการควบคุมรถ สำหรับสะพานกลับรถหรือสะพานข้ามใช้ได้ตามปกติ ทางพิเศษที่มีด่านให้วางแนวกรวยยางตามความเหมาะสม เน้นย้ำในการวางอุปกรณ์ให้พิจารณาตามความเหมาะสม และใช้มาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดกับทั้งประชาชนและผู้ปฏิบัติหน้าที่

    การดำเนินการปรับรูปแบบการถวายการอารักขาระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลัก เพื่อถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ในระดับสูงสุด เพื่อให้สมกับพระเกียรติ และเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

    ควบรวม CAT-TOT — ชื่อใหม่ “บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ” ไฟเขียวให้ร่วมประมูลคลื่นความถี่

    วันที่ 14 ม.ค. 2563 ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้มีการควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้เป็นบริษัทตั้งใหม่ในชื่อ “บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom: NT Co.)” หรือ NT  โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด โดยให้ดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่ได้รับอนุมัติจาก ครม.

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาการดำเนินงานและการลงทุนที่ซ้ำซ้อน รวมถึงมีแนวโน้มที่ประสบปัญหาทางการเงินมากขึ้น ของทั้งสองหน่วยงาน โดย ครม.เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาโดยการตั้งบริษัท 2 แห่งขึ้นมา ที่การดำเนินงานแยกออกจากกัน ได้แก่ บริษัท โครงข่าย บรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (บริษัท NBN) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (บริษัท NGDC) และให้บริษัททีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม เข้าไปถือหุ้น รวมถึงโอนพนักงานเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ แต่ปรากฏว่าเป็นแนวทางที่ถูกต่อต้านจากพนักงาน และสหภาพแรงงานของทั้งบริษัททีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม

    สำหรับแนวทางใหม่ที่เสนอและ ครม.อนุมัติในครั้งนี้คือให้ควบรวมทั้ง 2 รัฐวิสาหกิจเข้าด้วยกันและตั้งเป็นบริษัทใหม่ เป็นแนวทางที่ผ่านการหารือกับทุกฝ่ายทั้งคณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร พนักงานและสหภาพแรงงานของทั้ง 2 บริษัท จึงเชื่อว่าจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ระบุให้ความมั่นใจว่าหลังจากการควบรวมแล้วจะไม่มีการลดจำนวนพนักงานของบริษัทใหม่แต่อย่างใด

    นอกจากนี้ ครม.ยังได้เห็นชอบให้ยกเลิก มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 ซึ่งมีผลให้ยุบเลิก บริษัท NBN และบริษัท NGDC  โดยให้ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท รับพนักงานที่ลาออกไปทำงานที่บริษัท NBN และบริษัท NGDC ให้กลับเข้าทำงานใน บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท ในระดับเดิม และได้สิทธิประโยชน์เท่าที่ได้อยู่เดิมในวันที่ลาออกไปอยู่บริษัท NBN และบริษัท NGDC และให้นับอายุงานต่อเนื่อง

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.ยังมอบหมายให้กระทรวงดีอีเอสพิจารณานำเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในประเด็นการกำหนดให้บริษัท NT เป็นผู้สนับสนุนนโยบายของรัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและความมั่นคง รวมทั้งบริการเพื่อสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยให้รัฐสนับสนุนคลื่นความถี่ที่เหมาะสมในการทำภารกิจดังกล่าว พร้อมให้อำนาจบริษัท NT เข้าร่วมประมวลคลื่นความถี่ที่รัฐเปิดประมูลได้

    ทั้งนี้ สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเงินเดือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ มากำหนดขอบเขตสภาพการจ้าง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนความสามารถจัดซื้อจัดจ้างในลักษณะการจัดซื้อจัดจ้างระหว่างภาครัฐ (G2G) ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

    “ครม.มอบหมายให้ดีอีเอส กำกับดูแลและดำเนินการข้างต้นให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยให้ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท ดำเนินการควบรวมบริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ ครม.อนุมัติ และรายงานความคืบหน้าให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ทราบทุกเดือน” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

    นอกจากนี้ ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.เห็นชอบในหลักการให้ บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz, 1800 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz ตามเงื่อนไขประกาศของ กสทช.ที่เกี่ยวข้อง

    ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2568 ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ของ บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที จะหมดอายุ และจะไม่มีคลื่นความถี่อื่นๆ รองรับการให้บริการของทั้งสองบริษัท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ของรัฐวิสาหกิจในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมของรัฐ รวมทั้งยังส่งผลต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ “my” ของ บมจ.กสท โทรคมนาคม ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ในปัจจุบัน ดังนั้น ทั้ง บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที จึงมีความจำเป็นในการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ที่สำนักงาน กสทช.จะนำออกประมูล

    โดยในเบื้องต้นให้ บมจ.กสท โทรคมนาคม และคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที พิจารณาการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่และอนุมัติงบประมาณให้เป็นไปตามเงื่อนไข หากเป็นผู้ชนะการประมูลสามารถเบิกค่าใช้จ่ายใดๆ อันเกิดจากการประมูลต่างๆ ซึ่งมีกรอบระยะเวลาจำกัดตามเงื่อนไขทั้งหมด เช่น ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า การลงทุนเบื้องต้น สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวเนื่องนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต้องชำระภายในเวลาที่กำหนด และการลงทุนในระยะต่อไปให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนจะดำเนินการ

    สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องในส่วนที่เหลือนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต้องชำระภายในกำหนด และการลงทุนในโครงการตามภาระผูกพันในระยะต่อไป ให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการต่อไป

    กรณ์-อรรถวิชช์ ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์

    วันที่ 15 ม.ค. 2563 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Korn Chatikavanij โดยมีโจความว่า

    ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ ผมทำงานภาคเอกชนสายการเงินอยู่เกือบ 20 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือประธานธนาคาร JP Morgan (ประเทศไทย) ผมลาออกตอนอายุ 39 เพื่อมาสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลาออกตอนนั้นก็เพราะอิ่มตัวกับการทำงานหาเงินสร้างเนื้อสร้างตัว และอยากจะหันมาทำงานรับใช้บ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์ได้ให้โอกาสผมตลอดมา โดยที่โอกาสสำคัญที่สุดคือ การเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง และด้วยเหตุนี้ความผูกพันที่ผมมีกับพรรค และเพื่อนร่วมพรรคจึงเป็นสิ่งที่จะอยู่กับผมตลอดไป

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ร่วมพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผ่นดินจนเสร็จเรียบร้อย ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลสามารถเดินหน้าได้เต็มที่ในการขับเคลื่อนนโยบายของพรรคที่ผมได้ช่วยร่างไว้ในฐานะ (อดีต) ประธานนโยบาย ผมจึงคิดว่าผมได้ทำภารกิจที่พรรคได้มอบหมายไว้จนครบถ้วนหมดแล้ว ผมจึงได้ยื่นใบลาออกตามที่ตั้งใจไว้ในการลาออกจากพรรคนั้น ผมขอขอบคุณมิตรภาพที่เพื่อน สส. และอดีตสส.ได้มอบให้ผม ผมจากไปจากพรรคแต่จะยังคิดถึงเพื่อนๆ ทุกคน แต่ที่สำคัญที่สุดผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ให้โอกาสผมทำงานเพื่อบ้านเมือง ผมไม่มีวันลืมทุกคะแนนที่ให้ผมตั้งแต่ปี 2548 ในฐานะผู้สมัครประชาธิปัตย์ รวมถึงกำลังใจของทุกๆ คนที่กรุณามอบให้ผมเสมอมา ผมมีความฝัน ที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิด กล้าทำ มีความรอบคอบแต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยวแต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน

    ตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง ผมได้มีส่วนร่วมกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ทำให้ผมได้มองเห็นประเทศไทยและสังคมการเมืองไทยในภาพที่กว้างขึ้น และลึกขึ้น ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ผมตัดสินใจเดินหน้าสร้างทางเลือกทางการเมืองที่คนไทยแสวงหา เป็นการเมืองที่ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าแม้แต่จะพลั้งพลาด และเป็นการเมืองที่มั่นใจในศักยภาพของคนไทย เป็นการเมืองที่มีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงประเทศในหลากหลายมิติ ด้วยความเชื่อว่าหากเราไม่กล้าเปลี่ยน ไม่กล้าท้าทายตัวเอง คนไทยจะลำบาก เพราะเราจะแข่งขันไม่ได้ การจะตัดสินใจสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่เป็นก้าวที่สำคัญของชีวิตจะต้องฟังเสียงข้างในของตัวเอง แต่สำหรับนักการเมืองไม่ว่าจะก้าวเล็กหรือก้าวใหญ่ต้องมาจากการรับฟัง ‘เสียงของประชาชน’ อีกด้วยดังนั้นทุกๆ ก้าวต่อไปผมตั้งใจจะเดินไปพร้อมกับพี่น้องประชาชนทุกคน
    – กรณ์ จาติกวณิช –
    15 มกราคม 2563

    นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/atavit.s.dp/photos/a.267992963242296/2851660774875489/?type=3&theater

    ต่อมา วันที่ 16 ม.ค. 2563 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ก็ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ว่าได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน โดยมีใจความว่า

    ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชน
    ที่เคยสนับสนุนผมทุกท่าน
    .
    วันนี้ผมได้ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์
    และได้ไปกราบลาท่านชวน คนที่ผมเคารพรักเมื่อวานนี้
    จะระลึกถึงคำสอนของท่านอยู่เสมอครับ เป็นการตัดสินใจที่ยาก ที่ต้องจากพรรคการเมืองที่ดี และมีรากฐานทางความคิดมายาวนาน
    .
    การเมืองที่ผมอยากเห็น คือการเมืองที่กระชับ ชัดเจน
    รองรับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของโลก
    เพื่อนำประเทศเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่
    เป็น Startup ทางการเมืองที่จะฉีกกรอบแนวคิด
    การบริหารราชการแผ่นดินอย่างสร้างสรรค์
    .
    อยากเห็นคนจริง คนทำงานในหลากหลายอาชีพ
    มาช่วยกันขับเคลื่อน พลิกโฉมประเทศไทย
    .
    ผมกับพี่กรณ์ตกลงกันว่า ได้เวลาลงมือทำ ถึงไหนถึงกัน
    สร้างการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณธรรม
    และอยากชวนทุกคนมาร่วมทางเดิน
    ลุยไปทำในสิ่งที่เชื่อกัน
    .
    – อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี –
    16 มกราคม 2563

    “สมชัย” เปิดหลักฐาน มีอีก 18 พรรคกู้เงินทำกิจกรรมการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลโต้ — ข้อมูลเก่า

    นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.
    ที่มาภาพ: www.springnews.co.th/politics/275947

    วันที่ 14 ม.ค. 2563 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. และรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 สภาผู้แทนราษฎร ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่ามี 18 พรรคการเมืองเคย “กู้เงิน” เพื่อใช้ทำกิจกรรมทางการเมือง

    ข้อมูลชุดนี้ นายสมชัยระบุว่าได้จากการตรวจสอบเอกสารงบการเงินปี 2561 จำนวน 609 หน้า ที่พรรคการเมืองต่าง ๆ รวม 81 พรรค แจ้งต่อ กกต. เมื่อ พ.ค. 2562 โดยปรากฏรายการกู้เงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 161.2 ล้านบาท ซึ่งมีการทำสัญญากู้เงินระยะสั้นและระยะยาว

    นอกจากพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่กำลังเผชิญกับคดียุบพรรคจากกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ปล่อยเงินกู้ให้พรรคตัวเอง 191.2 ล้านบาท ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลอีก 6 พรรคที่แจ้ง กกต. ว่าเป็นลูกหนี้ของกรรมการบริหาร (กก.บห.) หรือบุคคลภายนอก ประกอบด้วย พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) พรรคพลังท้องถิ่นไทย และ ” พรรคจิ๋ว” อีก 3 พรรค

    1. พรรคพลังศรัทธา มีรายการเงินกู้ระยะสั้น 300,000 บาท
    2. พรรคพลังชาติไทย เงินกู้ระยะสั้น 113,988 บาท
    3. พรรคไทยธรรม เงินกู้จากหัวหน้าพรรค 1,000 บาท
    4. พรรครวมพลังประชาชาติไทย เงินกู้จากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกัน 5,000,000 บาท
    5. พรรครวมใจไทย เงินกู้ยืมระยะสั้น 45,697.86 บาท
    6. พรรคอนาคตใหม่ เงินกู้จากหัวหน้าพรรค 161,200,000 บาท
    7. พรรคเพื่อสหกรณ์ไทย เงินกู้ยืมระยะสั้น 226,000 บาท
    8. พรรคพลังไทยรักชาติ เงินกู้ยืมหัวหน้าพรรค 85,000 บาท
    9. พรรคเมืองไทยของเรา เงินกู้ยืมระยะสั้น 542,750 บาท
    10. พรรคเพื่อชีวิตใหม่ เงินกู้ยืมระยะยาว 50,000 บาท
    11. พรรคเงินเดือนประชาชน เงินกู้ยืมจากกรรมการ 822,183.70 บาท
    12. พรรคไทรักธรรม เงินกู้ยืม กรรมการบริหารพรรค 4,376,000 บาท
    13. พรรคพลังประชาธิปไตย เงินยืมจากหัวหน้าพรรค 5,584,290 บาท
    14. พรรคครูไทยเพื่อประชาชน เงินกู้ยืม 542,125 บาท
    15. พรรคพลังท้องถิ่นไท เงินกู้ยืมระยะสั้น 1,427,000 บาท
    16. พรรคไทยรักษาชาติ เงินยืมจากหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค 1,738,868.92 บาท
    17. พรรคประชาธิปไตยใหม่ เงินกู้ยืมระยะสั้น 4,216,600 บาท
    18. พรรคชาติพัฒนา เงินกู้ยืม 2,000,000 บาท

    สำหรับสาเหตุที่ยอดเงินกู้ของ อนค.เป็น 161,200,000 บาท เพราะนายธนาธรทำสัญญาให้พรรคกู้เงิน 2 รอบ งวดแรกเมื่อ 2 ม.ค. 2562 บาท ส่วนอีกงวดเมื่อ 11 เม.ย. 2562 เป็นเงินอีก 30 ล้านบาท

    นายสมชัยตั้งคำถามว่า เอกสารงบการเงินนี้เป็นหลักฐานว่า “ความปรากฏ” แก่สายตาของ พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2562 “ถ้านายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.คิดว่าเรื่องนี้เป็นความผิด ทำไมถึงไม่ดำเนินการแบบเดียวกับกรณี อนค. อย่างนี้ถือว่าปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือไม่” และ “หากคุณแม่นหลักการก็ต้องแม่นกับทุกพรรค ไม่ใช่แม่นกับพรรคการเมืองเดียว”

    นอกจากรายการ “เงินกู้” นายสมชัยบอกว่ายังมีอีกหลายพรรคการเมืองแจ้งรายการ “เงินยืม” และ “เงินยืมทดรองจ่าย” จาก กก.บห. อาทิ พรรคเพื่อไทย, พรรคภูมิใจไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา ฯลฯ ซึ่งนายสมชัยชี้ว่าทั้ง “เงินกู้” และ “เงินยืม” ไม่อยู่ในหมวดรายได้ของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จึงมีสถานะเป็น “หนี้สิน” แต่ความแตกต่างในทางกฎหมายคือ “เงินกู้” ต้องมีสัญญา มีกำหนดระยะเวลาชำระคืนชัดเจน และมีดอกเบี้ย ส่วน “เงินยืม” ไม่ต้องระบุอะไร ยืมมาเฉยๆ

    อย่างไรก็ตามบรรดาพรรคการเมืองที่มีชื่อปรากฏตามการ “ขุดคุ้ย” ของอดีต กกต. ต่างออกมาชี้แจงว่าเป็น “ข้อมูลเก่า” ซึ่งพรรคดำเนินการภายใต้ “กฎหมายเก่า” ไม่ว่าจะเป็น นายอรัญ พันธุมจินดา รองผู้อำนวยการ ชพน. ได้ชี้แจงว่าภาระหนี้สิน 2 ล้านบาทของพรรคเกิดขึ้นในปี 2554 ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และ พ.ร.ป. พรรคการเมือง 2550 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ตามกฎหมายปัจจุบันแต่อย่างใด อีกทั้ง ชพน. ได้ชำระหนี้ก้อนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

    ส่วน ชทพ. โดยนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรค ออกมายืนยันว่าในฐานะที่ทำหน้าที่บริหารพรรคมากว่า 20 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคชาติไทย (ชท.) จนถึง ชทพ. “ไม่เคยเห็นการกู้ยืมเงินของ ชท. และ ชทพ. มาก่อน” เนื่องจากพรรคเห็นว่าการกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการพรรคนั้นไม่น่าจะกระทำได้ ดังนั้นแม้ผู้บริหารของพรรคในอดีตจะมีฐานะการเงินดีพอที่ให้กู้เงินมาใช้บริหารพรรคและใช้จ่ายในการเลือกตั้ง แต่พรรคก็ไม่เคยดำเนินการ และหารายได้ด้วยการขอรับบริจาคเงินและจัดระดมทุนตามกฎหมายเลือกตั้ง

    ก่อนหน้านี้เมื่อ 23 พ.ค. 2562 ชทพ. เคยออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยระบุว่าเอกสารที่มีการนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะเป็น “งบดุลเก่า” ซึ่งระบุเกี่ยวกับเจ้าหนี้และเงินยืมทดรองจากสาขาพรรคในช่วงที่กองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองยกเลิกการสนับสนุนสาขาพรรค แต่กฎหมายกำหนดให้สาขาพรรคต้องแสดงค่าใช้จ่ายต่อไป กรรมการสาขาพรรคจึงต้องเป็นผู้ทดรองจ่ายเงินไป ถือเป็นเจ้าหนี้ทางรูปบัญชีสะสมมาหลายปี ซึ่งทางพรรคได้สำแดงในรูปบัญชีส่งให้ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองรับทราบอยู่ตลอดมา ไม่ใช่เงินรายได้จากการกู้ยืมแต่อย่างใด

    ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงสนับสนุนให้เจ้าชายแฮร์รีและเมแกนใช้ชีวิตอิสระ

    จากกรณีที่เจ้าชายแฮร์รี และเมแกน พระชายา ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ แห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงประกาศถอยจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ “ระดับสูง” และจะใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือในอเมริกาเหนือ โดยแถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักพระราชวังบักกิงแฮมระบุว่า ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะถอยจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูง และปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยการเงินที่เป็นอิสระ แต่ยังคงให้การสนับสนุนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 อย่างเต็มที่ต่อไป

    ต่อมา วันที่ 14 ม.ค. 2563 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร ว่าสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเผยแพร่แถลงการณ์ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันจันทร์ มีสาระสำคัญว่าพระองค์และสมาชิกในราชวงศ์วินด์เซอร์ทุกพระองค์ทรงสนับสนุนความปรารถนาของ “แฮร์รีและเมแกน”  ซึ่งประสงค์เลือกทางเดินชีวิตใหม่ในฐานะครอบครัวขนาดเล็กครอบครัวหนึ่ง แม้ทุกพระองค์ทรงหวังให้ทั้งคู่ปฏิบัติพระกรณียกิจเต็มเวลาในฐานะพระบรมวงศานุวงศ์ต่อไป อย่างไรก็ตาม สมาชิกในราชวงศ์ทุกพระองค์เคารพและเข้าใจความปรารถนาของทั้งคู่ในการดำเนินชีวิตอย่างอิสระมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันยังคงเป็นส่วหนนึ่งที่มีค่าของราชวงศ์วินด์เซอร์เช่นเดิม

    ขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตรัสผ่านแถลงการณ์ด้วยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น “เป็นเรื่องซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการแก้ไข” แต่พระองค์ทรงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตัดสินใจขั้นสุดท้ายภายในสัปดาห์นี้ แถลงการณ์ดังกล่าวของประมุขแห่งสหราชอาณาจักรมีขึ้น หลังพระองค์ทรงเชิญสมาชิกระดับสูงในราชวงศ์ ซึ่งรวมถึงเจ้าฟ้าชายชาร์ลส มกุฎราชกุมาร และเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ พระเชษฐาในเจ้าชายแฮร์รี ทรงร่วมการหารือเป็นการส่วนพระองค์ ที่พระตำหนักซานดริงแฮม ในมณฑลนอร์ฟอล์ก ทางตะวันออกของเกาะอังกฤษ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวของราชวงศ์วินด์เซอร์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เป็นผลจากการที่เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา “ขอลดบทบาท” จากฐานะสมาชิกระดับสูงในราชวงศ์