ThaiPublica > เกาะกระแส > ซีไอเอ็มบีไทย ชี้เศรษฐกิจติดไวรัสโคโรนา งบติดขัด ครึ่งปีแรกโตต่ำกว่า 2% หั่นเป้าทั้งปีเหลือ 2.4%

ซีไอเอ็มบีไทย ชี้เศรษฐกิจติดไวรัสโคโรนา งบติดขัด ครึ่งปีแรกโตต่ำกว่า 2% หั่นเป้าทั้งปีเหลือ 2.4%

5 กุมภาพันธ์ 2020


ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เดิมสำนักวิจัยมองภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุน 3 ด้าน จากการย้ายฐานการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการท่องเที่ยว แต่ในช่วงนี้เกิดภาพที่กลับข้างกันเมื่อสามปัจจัยข้างต้นกลายเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจ ต่างชาติชะลอลงทุน งบประมาณมีความล่าช้าไม่ผ่านสภาฯ ซึ่งมีผลให้การเบิกจ่ายลดลง การลงทุนภาครัฐอาจติดลบ อีกทั้งเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนและมีผู้ติดเชื้อหลายประเทศรวมทั้งไทยมีผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสติดลบยาวในช่วงครึ่งปีแรก

กล่าวโดยสรุปคือ ครึ่งปีแรกนี้มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 2% จากปัจจัยลบเบื้องต้น แต่ยังเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลชั่วคราวคือราว 1-2 ไตรมาสและน่าจะฟื้นตัวโดยเร็ว และจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เหนือ 3% ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ลงจาก 2.7% เหลือ 2.4% อีกทั้งมองว่าเมื่อนโยบายการคลังไม่สามารถนำมาใช้กระตุ้น ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 0.75% ต่อปีและน่าจะเริ่มลดในรอบการประชุมวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ส่วนเงินบาทมองว่ามีโอกาสที่จะอ่อนค่าต่อเนื่องได้ยาวถึงระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสที่สองนี้ก่อนจะพลิกกลับมาแข็งค่าปิดปลายปีได้ในระดับ 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

เศรษฐกิจไทยต้องพักรักษาตัว

เศรษฐกิจไทยตอนนี้เปรียบเหมือนคนติดไวรัสโคโรนา ซึ่งหลักๆ มีอยู่สามอาการ คือไข้สูง หายใจติดขัด และมีอาการไอ

อาการแรกคือมีอาการไข้สูง จากรายได้การท่องเที่ยวที่น่าจะลดลงมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท จากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรก หากเทียบช่วงที่ไวรัสซาร์สหรือไข้หวัดหมู H1N1 ระบาดในจีน ซึ่งพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในไทยหดตัวสูงถึง 20% แต่มองว่าหากเหตุการณ์ซ้ำรอย รอบนี้อาจมีผลกระทบรุนแรงกว่ารอบก่อน นั่นเพราะในอดีตสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนอยู่ในระดับต่ำ คือราว 7% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ขณะที่ในปัจจุบันสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมีถึงมากกว่า 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

โดยเฉพาะในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยถึงเดือนละมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวจีนชะลอการท่องเที่ยวออกนอกประเทศ และไทยเป็นเป้าหมายการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนลำดับต้นๆ รายได้การท่องเที่ยวไทยก็มีโอกาสหดตัว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสลดลงมาก และเมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวลดลงจากภาคธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งหลาย เศรษฐกิจไทยพึ่งการท่องเที่ยวมากกว่า 10% ของ GDP หากหายไปก็เป็นไข้หนาวสั่นได้

อาการที่สองคือหายใจติดขัดจากงบประมาณที่ยังไม่ผ่านสภาฯ เดิมคาดว่างบประมาณน่าจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น เร่งการเบิกจ่ายเพื่อประคองเศรษฐกิจได้ แต่ในวันนี้การจะทำอะไรก็ติดขัดเหมือนหายใจไม่เต็มปอดด้วยงบประมาณปีก่อนที่เหลือน้อยและไม่สามารถนำมาเร่งลงทุนโครงการใหม่สร้างความเชื่อมั่นได้เต็มที่ และ

อาการสุดท้ายคืออาการไอ อาจต่างจากไวรัสนี้เพราะเป็นไอแห้งๆ ด้วยภาวะภัยแล้งที่กระทบรายได้ภาคเกษตร โดยเฉพาะปริมาณน้ำในเขื่อนที่ลดลงมากในภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งน่าจะกระทบปริมาณข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆที่สำคัญ และต้องระวังว่า ปริมาณน้ำที่ลดลงจะไม่ลามไปกระทบภาคอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกในกลุ่มที่ต้องใช้น้ำมาก ที่สำคัญในเรื่องภัยแล้ง คือ เมื่อรายได้ภาคเกษตรหดหาย กำลังซื้อของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยลดลง เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอโดยเฉพาะในภาคชนบทและในต่างจังหวัดมากกว่าปีก่อนๆ

แต่อย่าเพิ่งหมดความหวัง เรามองว่าอาการของโรคเหล่านี้จะหายในช่วงครึ่งปีหลัง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควบคุมและแก้ไขได้ ไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาควบคุมได้ในจีน งบประมาณผ่านสภาฯ รัฐบาลสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งลงทุนได้ เอกชนมีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจไทยมีโอกาสทะยานได้เหนือ 3% ในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะจากภาคการส่งออกที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจและผลักดันการลงทุนภาคเอกชนไปพร้อมกัน เมื่อเรามีความหวังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในรอบแรก

“หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจปีนี้กับปีก่อน เทียบปัญหาสงครามการค้ากับไวรัสโคโรนา เรามองว่าสงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจไทยแรงกว่า เพราะสงครามการค้ากระทบภาคการส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP และมีผลต่อการจ้างงานและการบริโภคในวงกว้าง อีกทั้งเป็นปัญหาลากยาว ขณะที่ภัยจากไวรัสโคโรนาแม้กระทบต่อชีวิตคนแรงกว่า แต่ในด้านเศรษฐกิจนั้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจน่าจะน้อยกว่าเพราะกระทบกับเศรษฐกิจในวงจำกัด และน่าจะควบคุมได้ภายในเวลาอันสั้น”

เลือกกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรดี

นอกจากลดดอกเบี้ย ปล่อยเงินบาทให้อ่อนในการประคองเศรษฐกิจแล้ว ต้องมามองว่ายังเหลือเครื่องมืออื่นอีกไหมในการกระตุ้นไม่ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่า 2% หรือเสี่ยงต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาสหรือนับจากไตรมาสสี่ปี 2557

“เรามองว่าสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวว่ารัฐบาลไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ แม้อาจต้องสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวบ้างในระยะสั้น แต่ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว นอกจากนี้ การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวหาตลาดใหม่ หรือส่งเสริมให้คนไทยมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นก็นับเป็นอีกมาตรการที่จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นได้เร็ว”

ขณะที่ภาคเกษตรและปัญหากำลังซื้อในภาคชนบทที่อ่อนแอนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่น่าจะได้รับการดูแลควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมองการจ้างคนในพื้นที่เพื่อสร้างสาธารณูปโภคในท้องถิ่น เช่น ถนน ระบบชลประทาน ที่กักเก็บน้ำ หรือแม้แต่การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อดูแลผู้สูงอายุก็อาจเป็นการสร้างงานในพื้นที่ด้วยงบลงทุนที่ช่วยกระจายรายได้ด้วย

สุดท้ายในระยะสั้น ต้องพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของภาคเอกชน เตรียมรับมือการแข่งขันด้านการส่งออกอีกรอบในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น สงครามการค้าคลี่คลาย การส่งออกแม้จะเป็นความหวังแต่ต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำได้ด้วยการลงทุนด้านเครื่องจักร วันนี้จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอน ต้นทุนทางการเงินต่ำ ในการเร่งลงทุน และหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เร็วในครึ่งหลังของปี