ThaiPublica > เกาะกระแส > คมนาคมยุติข้อพิพาทค่าโง่ทางด่วน ชดเชยสัมปทาน 3 สัญญาสิ้นสุดพร้อมกัน 31 ต.ค.2578 รวม 15 ปี 8 เดือน

คมนาคมยุติข้อพิพาทค่าโง่ทางด่วน ชดเชยสัมปทาน 3 สัญญาสิ้นสุดพร้อมกัน 31 ต.ค.2578 รวม 15 ปี 8 เดือน

23 ธันวาคม 2019


กระทรวงคมนาคมยุติข้อพิพาทค่าโง่ทางด่วน แลกสัมปทาน 3 สัญญาออกไปสิ้นสุดพร้อมกัน 31 ตุลาคม 2578 รวม 15 ปี 8 เดือน

วันที่ 23 ธันวาคม 2562 นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและและแผนการขนส่งและจราจร นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการ กทพ. แถลงข่าวการยุติข้อพิพาททางด่วน ณ ห้องราชดำเนิน อาคารสโมสรและหอประชุม กระทรวงคมนาคม

นายชัยวัฒน์เปิดเผยว่า หลังจากศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL)กรณีกรมทางหลวงก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยาย ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ – รังสิต ขึ้นมาแข่งขันกับโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ดของ BEM และไม่อนุมัติให้ขึ้นค่าผ่านทางตามที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานฯ ทำให้ผู้รับสัมปทานได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง จากนั้นทางกระทรวงคมนาคมได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับ BEM และ NECL ตามที่ครม.มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 โดยคณะทำงานฯได้มีการเจรจากับบริษัท BEM อย่างเป็นทางการทั้งหมด 8 ครั้ง ผลการเจรจาล่าสุดได้ข้อสรุปว่า กทพ.จะต่อขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน D) และสัญญาสัมปทานทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด รวม 3 สัญญา เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน แลกกับการถอนฟ้องคดีพิพาททั้งหมด 17 คดี คิดเป็นมูลค่าคดีประมาณ 137,517 แสนล้านบาท โดยผลการเจรจาครั้งสุดท้ายนี้ยุติกันที่ 58,873 ล้านบาท โดยไม่มีโครงการลงทุนปรับปรุงทางด่วนขั้นที่ 2 หรือ “Double Deck” ตามข้อเสนอของ BEM เนื่องจากข้อเสนอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นพิพาทตามที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังไม่ผ่านการศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคาดว่าจะศึกษาเสร็จภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ทางบริษัท ฯ ได้ยอมรับข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม ขอความร่วมมืองดเว้นการเก็บค่าผ่านทางด่วนทุกเส้นทางในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ตามที่ครม.กำหนด ประมาณ 19 วันต่อปี ตลอดระยะเวลาสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน โดยบริษัทฯสามารถปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ 10 บาท ในปีที่ 10 (ตามสัญญาฯ กำหนดให้ขึ้นค่าผ่านทางได้ปีละ 1 บาท ปรับขึ้นได้ทุกๆ 10 ปี) สำหรับสรุปผลการเจรจาครั้งล่าสุดนี้ ตนได้รายงานต่อนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว และจะนำเสนอให้ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบในวันที่ 24 ธันวาคม 2562

นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.994/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ.932/2561 และคดีหมายเลขดำที่ อ.995/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ.933/2561 ฉบับลงวันที่ 17 กันยายน 2561 ระหว่าง บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) (ผู้ร้อง) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) (ผู้คัดค้าน) กรณีกรมทางหลวงมีการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยาย ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ – รังสิต โดยเส้นทางดังกล่าวมีลักษณะเป็นทางแข่งขันตามข้อ 16 ของสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด การเปิดใช้ทางยกระดับดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ร้องได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง

ทั้งนี้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าชดเชยรายได้ที่ลดลงจากประมาณการแก่ผู้ร้อง สำหรับปี 2542 จำนวน 730,800,000.- บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดตามสัญญาข้อ 25.6 ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2543 เป็นต้นไป และสำหรับปี 2543 จำนวน 1,059,200,000.- บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดตามสัญญาข้อ 25.6 ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด (ครบกำหนดวันที่ 19 ธันวาคม 2561) และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง รวมเงินต้นและดอกเบี้ย ณ วันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 4,359,916,478.- บาท

  • ข้อเท็จจริง “ข้อพิพาททางด่วน” มรดกบาป 130,000 ล้านบาทที่ไม่มีใครกล้ารับ – “ประยุทธ์” ปลดล็อคตั้งทีมเจรจา ล่าสุดสรุปผลแล้ว
  • BEM แจงละเอียดยิบ “ค่าเบี้ยว” ทางด่วน ตอบคำถามใครได้ใครเสียกันแน่!! “รัฐ-กทพ.-ประชาชน-BEM”
  • บอร์ดกทพ. ยืดสัมปทาน 30 ปีชดเชยหนี้1.3 แสนล้าน แลกยุติข้อพิพาททางด่วนทั้งหมด พร้อมทางยกระดับชั้นที่ 2 มูลค่า 31,500 ล้าน
  • คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 รับทราบรายงานผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว โดยให้ความเห็นว่า เพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐ และเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการ กรณีหน่วยงานของรัฐมีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือถูกฟ้องคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม (กทพ.) แล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลปกครองสูงสุด โดยผลของคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการนั้น ให้หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืออื่นใด จึงมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้ โดยให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ชอบด้วยกฎหมาย และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และขอให้แจ้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐในกำกับดูแลทราบและถือปฏิบัติต่อไป

    ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้พิจารณาแนวทางการยุติข้อพิพาทโดยการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน D) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด โดยต่อขยายระยะเวลาสัมปทานทั้ง 3 สัญญาออกไปสิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ตุลาคม 2578 (รวม 15 ปี 8 เดือน นับจากวันที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C สิ้นสุดลง) โดยไม่มีการลงทุนปรับปรุงทางด่วน (Double Deck)

  • ต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน
  • ต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D เป็นระยะเวลา 8 ปี 6 เดือน
  • ต่อสัญญาทางด่วนบางปะอิน – ปากเกร็ด เป็นระยะเวลา 9 ปี 1 เดือน
  • หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว กระทรวงฯ จะแจ้งให้ กทพ. เร่งเจรจากับบริษัทฯ และส่งผลการเจรจาเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับฯ ตามมาตรา 43 และส่งร่างสัญญาที่จะแก้ไขให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา เพื่อดำเนินการแก้ไขสัญญาตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 68 ของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ให้แล้วเสร็จก่อนที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C จะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563

    (แก้ไขเพิ่มเติม วันที่ 23 ธันวาคม 2019 เวลา 16:25 น.)