ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > ข้อเท็จจริง “ข้อพิพาททางด่วน” มรดกบาป 130,000 ล้านบาทที่ไม่มีใครกล้ารับ – “ประยุทธ์” ปลดล็อคตั้งทีมเจรจา ล่าสุดสรุปผลแล้ว

ข้อเท็จจริง “ข้อพิพาททางด่วน” มรดกบาป 130,000 ล้านบาทที่ไม่มีใครกล้ารับ – “ประยุทธ์” ปลดล็อคตั้งทีมเจรจา ล่าสุดสรุปผลแล้ว

8 มกราคม 2019


จากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด นำมาสู่การพาดหัวข่าว “ค่าโง่ทางด่วน 4,000 ล้านบาท” ที่รัฐโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ต้องจ่ายให้บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นเงินต้น 1,790 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยทบต้นมาเรื่อยๆ รวมแล้วประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท จนเป็นที่มาของการประท้วงของกลุ่มพนักงาน กทพ. เมื่อมีข่าวว่าคณะกรรมการ กทพ. มีมติแปลงเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเป็นการยืดสัมปทานให้กับ BEM

ข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับการแพ้คดีของ กทพ. ในคดีนี้ ที่ต้องจ่ายกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นการฟ้องให้ กทพ. ชดเชยรายได้ที่ลดลงในช่วงเวลาแค่ 2 ปี คือ ปี 2542-2543 เท่านั้น ยังเป็นเงินมากมายขนาดนี้ ซึ่งตามสัญญากทพ. ต้องชดเชยจนถึงปัจจุบัน เมื่อคิดตามเกณฑ์คำพิพากษาเป็นเป็นเงินสูงถึง 75,000 ล้านบาททีเดียว

นี่คือตัวเลขที่ กทพ. ต้องชดเชย ผลจากการยื้อมาหลายยุคหลายสมัย จนค่าชดเชยทบต้นทบดอก กลายเป็นมรดกบาปที่ไม่มีใครกล้ารับเพื่อยุติคดีการชดเชยให้ BEM

เพราะการยุติว่าต้องการชดเชย นั่นหมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแล้ว เมื่อมีความเสียหาย ใครเป็นคนทำให้เสียหาย ต้องมีการหาคนมารับผิดชอบหรือไม่ ถ้ามี ใครจะต้องรับผิดจากการกระทำที่ทำให้รัฐเสียหายระดับนี้บ้าง ก็น่าจะมีคำตอบอยู่ แต่จะดำเนินการหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่ต้องชดเชยไม่ใช่แค่ 75,000 ล้านบาท!!

เพราะยังมีข้อเท็จจริงหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่าง กทพ. กับ BEM ที่ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง

ข้อเท็จจริงของข้อพิพาท “กทพ.- BEM”

กทพ. มีสัมปทานทางด่วนกับ BEM อยู่ 3 สัญญาที่มีปัญหาข้อพิพาทกับจำนวนมาก คือ สัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน ABC และ D) และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด (ส่วน C+) ข้อพิพาทส่วนใหญ่เกิดจากเรื่องการปรับค่าผ่านทางและผลกระทบทางแข่งขัน โดยมีผลต่อเนื่องไปตลอดสัญญา

1. ข้อเท็จจริงกรณีข้อพิพาทที่ถูกพูดถึงในขณะนี้กว่า 4,000 ล้านบาท ที่ถูกเรียกว่าเป็น “ค่าโง่” นั้นเป็นข้อพิพาทตั้งแต่ปี 2542 ในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นข้อพิพาทจากผลกระทบทางแข่งขันที่ กทพ. ไม่ชดเชยรายได้ที่ลดลงสำหรับทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ให้แก่ NECL ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEM เนื่องจากมีการก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยายจากอนุสรณ์สถาน-รังสิต มาแข่งขันทำให้ทางด่วนสายนี้มีรายได้ลดลง

ตามสัญญาระบุว่า หากมีการก่อสร้างทางในพื้นที่ใกล้เคียงทำให้ทางด่วนสายนี้มีรายได้ลดลงถือเป็นทางแข่งขัน กทพ. จะชดเชยรายได้ให้ NECL ตามวิธีที่กำหนดในสัญญา

ที่ผ่านมา กทพ. ไม่ยอมชดเชย โดยอ้างว่าดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยายไม่ใช่ทางแข่งขัน จึงเกิดข้อพิพาท คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้ NECL ชนะ แต่ กทพ. ไม่ยอมรับ โดยไปฟ้องเพิกถอนต่อศาลปกครอง และท้ายสุด เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ กทพ. ชดเชยรายได้ที่ลดลงจากผผลกระทบทางแข่งขันในปี 2542-2543 ให้แก่ BEM เป็นเงิน 4,318 ล้านบาท ถ้านำบรรทัดฐานคำพิพากษานี้มาคิดค่าชดเชย ซึ่งคดีนี้จะมีผลต้องชดเชยถึงปัจจุบัน คิดเป็นเงินกว่า 75,000 ล้านบาท

2. ข้อเท็จจริงข้อพิพาทเรื่องค่าผ่านทางเกิดขึ้นในปี 2546 ในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม จากกรณีที่ กทพ. ไม่ปรับขึ้นค่าทางด่วนให้ BEM ตามสัญญา ซึ่งกำหนดว่าทุกๆ 5 ปี ให้ปรับขึ้นค่าทางด่วนตามเงินเฟ้อที่มากขึ้น โดยปัดขึ้นเป็นจำนวน 5 บาท เพราะตลอด 5 ปีไม่ได้ปรับ แต่ กทพ. ใช้วิธีปัดลง หากคำนวนแล้วไม่ถึง 5 บาท ทำให้ BEM ได้รับความเสียหายจากรายได้ที่ลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าคณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ กทพ. ชดใช้ BEM แต่ กทพ. ไม่ยอมรับการชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และได้ยื่นฟ้องเพิกถอนคำชี้ขาดต่อศาลปกครอง ซึ่งวงเงินที่ต้องชดใช้จนถึงปัจจุบันคิดเป็นเงินประมาณ 60,000 ล้านบาท

ดังนั้น ถ้ารวมข้อ 1 และ 2 กทพ. ต้องชดใช้ให้ BEM ประมาณ 135,000 ล้านบาท

“ประยุทธ์” ตั้งทีมเจรจาไกล่เกลี่ย

จากตัวเลขที่รัฐโดย กทพ. ต้องชดใช้ให้ BEM สูงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงสั่งการให้ตั้งคณะทำงานเจรจาไกล่เกลี่ยกับ BEM

จากคำสั่งดังกล่าว กระทรวงคมนาคมได้รายงานคำพิพากษาและแนวทางการเจรจาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ และ ครม. ได้มีมติให้หน่วยงานของรัฐอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาท เพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐ โดยให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ชอบด้วยกฎหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

“เดิมไม่มีใครที่จะกล้าเจรจา ด้วยข้อพิพาทนี้มาตัดสินในรัฐบาล คสช. จึงต้องเร่งแก้ เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป โดยให้ กทพ. ยื้อสู้คดีต่อไปก็จะทำให้เสียหายมากขึ้น หากรัฐบาล คสช. ไม่แก้ไข สุดท้ายก็จะเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล คสช. ด้วย นายกฯ ประยุทธ์จึงเป็นคนสั่งให้เอาเข้า ครม. เพื่อจะได้เจรจากันได้ โดยนายกฯ ประยุทธ์อยากเห็นผลการเจรจาคือ ทำอย่างไรให้ผลที่ออกมาเป็นประโยชน์ที่คืนให้แก่สังคมได้ด้วย และรัฐไม่ต้องจ่ายเงิน นำภาษีของประชาชนไปสนับสนุน กทพ.และ BEM ได้รับการชดเชยที่เหมาะสม” แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ กรอบการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่าง กทพ. และ BEM เพื่อยุติเรื่องนี้ คือต้องไม่นำข้อพิพาทเดิมมาฟ้องร้องกันอีก โดยที่ กทพ. จะไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินสดให้แก่ BEM และมีเงื่อนไขว่า BEM จะลงทุนปรับปรุงทางด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และการปรับค่าผ่านทางจะเป็นแบบคงทีทุก 10 ปี โดยที่ กทพ. ต้องได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางไม่น้อยไปกว่าเดิม เช่น ปัจจุบัน 50 บาท ปี 2571 จะปรับเป็น 60 บาท ปี 2581 จะปรับเป็น 70 บาท

หมายเหตุ ส่วนแบ่งA B หมายถึงส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทาง ทางด่วนขั้นที่ 1และขั้นที่ 2 ส่วน A B

BEM ลดหนี้เหลือ 64,000 ล้าน พร้อมแลกเป็นสัมปทาน 38 ปี

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับผลการเจรจาได้ข้อสรุปว่า

1. กทพ. และ BEM จะถอนฟ้องยุติข้อพิพาททั้งหมด โดยไปรับสิทธิรายได้ในอนาคตจากการขยายสัมปทานแทน มูลค่าข้อพิพาททั้งหมดประมาณ 135,000 ล้านบาท จะลดลงเหลือประมาณ 64,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับเงินที่ กทพ. ต้องจ่ายจากข้อพิพาทจากเรื่องผลกระทบทางแข่งขันที่ต้องจ่ายจนถึงปัจจุบัน 75,000 ล้านบาท ก็ถือว่าต่ำกว่า ทั้งนี้ทุกสัมปทานจะสิ้นสุดสัญญาในปี พ.ศ. 2600

2. BEM จะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและปรับปรุงทางด่วน โดยจะมีการสร้างทางยกระดับชั้นที่ 2 จากอโศก-งามวงศ์วาน ระยะทาง 17 กิโลเมตร และก่อสร้างช่องจราจร Bypass โดยไม่มีการเวนคืนที่ของประชาชน มูลค่าก่อสร้างประมาณ 31,500 ล้านบาท โดยจะไม่มีการเก็บค่าผ่านทางเพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาจราจรให้กับประชาชน และลดภาระการลงทุนของรัฐ

3. กทพ. และ BEM จะแบ่งสัดส่วนรายได้ค่าผ่านทางเท่ากับที่ กทพ. ได้รับอยู่ในปัจจุบัน

แหล่งข่าวกล่าวว่า “หากเรื่องนี้ไม่จบรัฐก็เสียหายมากขึ้น BEM ก็ยืนบนสังคมลำบาก ข้อตกลงดังกล่าวน่าจะเป็นวิน-วินกับทุกฝ่ายเป็นข้อตกลงที่กางกันบนโต๊ะ รัฐไม่ต้องจ่ายเงิน 130,000 ล้านบาท แลกกับยืดสัญญาสัมปทานไป 38 ปี และให้เอกชนลงทุนสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาจราจร โดยประชาชนไม่เสียค่าผ่านทางเพิ่ม เป็นข้อตกลงที่รัฐบาลค่อนข้างพอใจ แต่เรื่องนี้จะต้องเข้าคณะกรรมการร่วมทุนพิจารณาอีกครั้งในเดือนนี้”

เบื้องหลังความยืดเยื้อ

แหล่งข่าวกล่าวถึงที่มาที่ไปของข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานาน 20 ปีว่า รัฐบาลในอดีตมักหาผลประโยชน์จาก กทพ. เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมากมาย มีกระแสข่าวการเอื้อผลประโยชน์ให้ฝ่ายการเมือง อาทิ งานก่อสร้าง สัมปทาน เวนคืนที่ดิน เช่าที่ดิน เช่น การเวนคืนที่ดิน มีกลุ่มทุนการเมืองดักซื้อที่ไว้ก่อนแล้วรอเวนคืนหรือรอราคาพุ่งขึ้นก็ขายต่อจนร่ำรวย หรือการเช่าที่ใต้ทางด่วน ที่ทุกวันนี้เป็นขุมทรัพย์ ไม่มีคนนอกรู้ ยกเว้นคนใน กทพ. และการเมืองกลุ่มเก่าๆ ที่มีเครือข่ายอยู่

หรือในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะต้องปรับค่าผ่านทางตามสัญญาให้กับ BECL (BEM ในปัจจุบัน) แต่ กทพ. ตัดสินใจไม่ให้ขึ้นค่าทางด่วน โดยอ้างว่าทำเพื่อประชาชน เป็นเหตุให้ BECL ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ กทพ. เป็นหน่วยงานที่มีข้อพิพาทมาก รวมทุกคดีเป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ที่ผ่านมารัฐบาลได้เข้ามาแก้ปัญหาข้อพิพาทแต่ไม่สำเร็จ แต่ กทพ.พยายามยื้อเวลา โดยอ้างว่าข้อพิพาทยังไม่สิ้นสุด เพราะเกรงว่าถ้าการเจรจาได้ข้อยุติ มีการตั้งสอบหาความผิดทางละเมิด ก็จะต้องโดนด้วย จึงต้องยื้อ ปัดเรื่องไปข้างหน้า โดยให้ กทพ. ฟ้องไปเรื่อยๆ รวมทั้งการให้ข้อมูลผิดๆ กับพนักงาน เกี่ยวกับฐานะการเงินที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะกระทบต่อเงินเดือนและสวัสดิการ

แต่ครั้งนี้ไม่สามารถที่จะยื้อได้อีก เพราะศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาเป็นที่สุดแล้ว

เป็นความเสียหายที่ลากยาวกันมาหลายยุคหลายสมัย เป็นมรดกบาปที่ไม่มีใครกล้ารับ

และนี่คือข้อเท็จจริงที่พูดกันไม่ครบมานาน…

งบการเงิน กทพ. ที่มา : รายงานประจำปี 2560