ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “อนุมัติหมายจับ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ คดีบิลลี่ พร้อมสู้ในกระบวนการยุติธรรม” และ “สามคนไทยติดอันดับ 100 บุคคลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “อนุมัติหมายจับ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ คดีบิลลี่ พร้อมสู้ในกระบวนการยุติธรรม” และ “สามคนไทยติดอันดับ 100 บุคคลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์”

16 พฤศจิกายน 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 9-15 พ.ย. 2562

  • อนุมัติหมายจับ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” คดีบิลลี่ เจ้าตัวปฏิเสธ พร้อมสู้ในกระบวนการยุติธรรม
  • ร้องสอบ ปารีณาครองที่ ภ.บ.ท. 5 รวมพันกว่าไร่
  • ธนาธรแถลงปิดคดีหุ้นสื่อ ชี้ ผิดที่ต่อต้าน คสช.
  • วิษณุแจง นายกฯ ไมไ่ด้สั่งเอาเงินประกันสังคมปล่อยกู้ แค่ถาม
  • สามคนไทยติดอันดับ 100 บุคคลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์
  • อนุมัติหมายจับ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ คดีบิลลี่ เจ้าตัวปฏิเสธ พร้อมสู้ในกระบวนการยุติธรรม

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า จากการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย เป็นคดีพิเศษ ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 เป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 ซึ่งมีการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จนกระทั่งพบชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะและถังน้ำมัน รวมทั้งมีพยานบุคคลและพยานเอกสารเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติมเป็นลำดับตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้ว

    ล่าสุด วันที่ 11 พ.ย. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติได้ออกหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก ประกอบด้วย นายบุญแทน บุษราคำ, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ รวม 4 คน ในความผิดฐาน

    (1) ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

    (2) ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและได้กระทำโดยมีอาวุธ

    (3) ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

    (4) ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ

    (5) ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป

    (6) ร่วมกันโดยทุจริตเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

    อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289 (4) (7), 309, 310, 337, 340, 340 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ รวมทั้งความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 148, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 123/1 และมาตรา 172 อันเป็นความผิดที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ไต่สวนพบมูลความผิดแล้วด้วย

    ต่อมา วันที่ 12 พ.ย. 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้นำตัวนายชัยวัฒน์และผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดที่เข้ามอบตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมทั้งคัดค้านการประกันตัว แต่ที่สุดแล้วศาลให้ประกันตัวทุกคนโดยตีหลักทรัพย์คนละ 800,000 บาท

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานเพิ่มเติมว่า วันที่ 13 พ.ย. 2562 นายชัยวัฒน์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กล่าวว่า ตนต้องต่อสู้คดีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และนับจากนี้การต่อสู้คดี ต้องเอาแนวทางนิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วยพิสูจน์ว่าวิธีการตรวจแบบ “ไมโตคอนเดีย” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเอามาใช้และระบุกระดูกที่พบนั้นเป็นของนายพอละจี หรือบิลลี่นั้น วิธีดังกล่าวสามารถมาใช้พิสูจน์อัตลักษณ์ ระบุเพศได้หรือไม่ ขณะนี้มีผู้ใหญ่เตือนมาว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีก็อย่าพูดมาก บางทีก็น้อยใจเพราะอะไรสังคมคิดว่าตนโหดร้ายอะไรขนาดนั้น แค่น้ำผึ้งขวดเดียว ต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ ที่ผ่านมามีการออกข่าวเป็นช่วงๆ ดีเอสไอก็ชี้มาที่ตนตลอด เพียงแต่ไม่เคยออกชื่อในสื่อ พยายามโยงว่าเป็นอดีตหัวหน้าอุทยานฯ ทุกครั้ง อยากให้เรื่องเข้ากระบวนการยุติธรรม ไม่อยากให้สื่อเล่นทุกวันออกทุกอาทิตย์ มันไม่เป็นธรรม

    “ส่วนเรื่องที่ภรรยานายบิลลี่ บอกว่าผมไปข่มขู่นั้น จริงๆแล้วผมไม่เคยไปเลย เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่เคยคิดกระทำแบบนั้นด้วยซ้ำ เรื่องไปเฝ้า-ซุ่มดู ไม่มี ผมก็มีครอบครัว เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมจะทำขนาดนั้นเลยหรือ ผมเป็นผู้มีอิทธิพลขนาดนั้นเลยหรือ” นายชัยวัฒน์กล่าว

    เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า วันที่ 14 พ.ย. 2562 นายชัยวัฒน์ได้ติดต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อขอชี้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติม ซึ่งทางพนังกานสอบสวนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ เนื่องจากหลังได้รับการประกันตัวนายชัยวัฒน์มีการให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่อาจเข้าข่ายยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานทางคดี และเป็นอุปสรรคในการสอบสวนตามกฎหมาย พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ จึงได้สั่งให้ถอดเทปคำให้สัมภาษณ์ของนายชัยวัฒน์เพื่อนำไปยื่นขอพิจารณาเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล

    ร้องสอบ “ปารีณา” ครองที่ ภ.บ.ท. 5 รวมพันกว่าไร่

    วันที่ 11 พ.ย. 2562 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้ส่งเอกสารให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบกรณีบัญชีทรัพย์สินที่นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ยื่นแจ้งต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี พ.ศ. 2562 มีที่ดิน ภ.บ.ท. 5 อยู่ในครอบครอง 58 รายการ เนื้อที่ 1,706 ไร่ ที่หมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งอยู่ในตำบลเดียวกันกับที่ดินของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่นางสาวปารีณาพาชาบ้านไปทวงคืนเพราะเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ว่าเป็นการครอบครองที่ถูกต้องหรือไม่

    (ภ.บ.ท. ในคำว่า ภ.บ.ท. 5 ย่อมาจากภาษีบำรุงท้องที่ หรือเรียกว่า “ภาษีดอกหญ้า” ภ.บ.ท. 5 เป็นเอกสารที่ออกเพื่อยืนยันว่ามีการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่ในการเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่นั้นๆ แต่ไม่ใช่เอกสารรับรองสิทธิความเป็นเจ้าของ และตามกฎหมายแล้วเป็นที่ดินที่แม้เข้าไปใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่สามารถครอบครองได้)

    ด้านนางสาวปารีณาเปิดเผยว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของกรมป่าไม้ ตนเพียงเข้าไปใช้ประโยชน์แต่ไม่ได้รับการจัดสรรมาให้ครอบครองแต่อย่างใด และเสียภาษีในการเข้าใช้ประโยชน์มาตลอด ส่วนที่การยื่นบัญชีทรัพย์สินเมื่อปี พ.ศ. 2557 ไม่มีรายการที่ดินนี้แต่กลับมีในปี พ.ศ. 2562 ไม่ใช่เพราะได้รับการจัดสรรมาให้ครอบครอง แต่ ป.ป.ช.ขอความร่วมมือว่าถ้ามีการเข้าไปทำกินในที่ดินของกรมป่าไม้ให้แจ้งไปด้วย

    ต่อกรณีดังกล่าว ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โดยสรุปที่ดินแปลงหน้าเป็น ส.ป.ก. ที่แปลงกลางที่มีเอกสารสิทธิ์ และแปลงหลังเป็น ส.ป.ก. ซึ่งหลังจากที่กรมป่าไม้มอบพื้นที่มาให้ ส.ป.ก.ประกาศเขตปฏิรูปที่ดินเมื่อปี พ.ศ. 2536 ได้จัดสรรให้ชาวบ้านไป 700 กว่าไร่ เหลือประมาณ 900 กว่าไร่ ซึ่งรวม 3 แปลง โดยแปลงที่อยู่ตรงกลางมีเอกสารสิทธิ์ ที่นางสาวปารีณาชี้แจงว่ามี น.ส. 3 และ ส.ค. 1 ทั้งนี้กำลังขอตรวจสอบเอกสารดังกล่าว  

    ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า นางสาวปารีณาได้เข้าชี้แจงกับฝ่ายกฎหมายของ ส.ป.ก.แล้วยืนยันว่าเนื่องจากที่ดินทั้งหมดทางครอบครัวน.ส.ปารีณา ครอบครองมาก่อนตั้งแต่ปี 2489 จากนั้นกรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่ให้ ส.ป.ก.ปี 2536 จัดสรรให้ชาวบ้านเขาทำกินไปบางส่วนแล้ว
     
    “ต้องถือว่าครอบครัวคุณเอ๋ อยู่มาก่อนที่จะนำที่ดินแปลงนี้มาประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งนี้เวลากรมป่าไม้ส่งพื้นที่มาให้ ส.ป.ก.ส่งพร้อมผู้ครองครอง และย้อนไปปี 2489 ประกาศใช้พระราชบัญญัติที่ดินให้ชาวบ้าน มีเรื่องกรรมสิทธิ์ครองครองในที่ดิน ก่อนหน้าที่เป็นที่ดินของคุณเอ๋ ก่อนมาจัดสรรให้ชาวบ้าน ย้อนไปศึกษาว่าครอบครัวคุณเอ๋ ครอบครองมากี่ปี ไม่ใช่บุกรุก ถือว่าไม่ผิด แต่เมื่อพื้นที่นำมาจัดสรรปฏิรูปที่ดิน ต้องยึดตามระเบียบ ส.ป.ก.เพื่อเกษตร” ร.อ. ธรรมนัส กล่าว

    รมช.เกษตรฯ กล่าวว่าประเด็นคือ ส.ส.ปารีณาไม่ได้บุกรุก เขาครอบครองมาก่อน ที่ส.ป.ก.รับพื้นที่มาตอนเขาครอบครองอยู่แล้ว รวมทั้งไม่จัดเป็นที่ดินแปลงใหญ่ โดย ส.ป.ก.แปลงแรกติดถนนมีพื้นที่ 200 กว่าไร่ ถัดไปแปลงกลางเป็นที่เอกสารสิทธิ์ และแปลงถัดไปเป็น ส.ป.ก. 300 กว่าไร่
     
    “สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว จากนี้ฝ่ายกฎหมายเข้าตรวจสอบหาข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้ที่พื้นที่เป็นนของนายทวี ไกรคุปต์ คุณพ่อคุณเอ๋ ครอบครองมากี่ปี ถ้าเขาอยู่มาก่อน ถือว่าไม่บุกรุก โดยต้องสอบสวน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ด้วยเพราะเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมสนใจ” ร.อ. ธรรมนัส กล่าว

    “ธนาธร” แถลงปิดคดีหุ้นสื่อ ชี้ ผิดที่ต่อต้าน คสช.

    นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/FWPthailand/photos/a.1657824830959771/2192898874119028/?type=3&theater

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า วันที่ 15 พ.ย. 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงปิดคดีกรณีการถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ต่อสาธารณะ ผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ค ซึ่งจะมีการพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พ.ย. 62 ดังนั้นการแถลงปิดคดีต่อสาธารณะครั้งนี้ จะเป็นการแถลงอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย ซึ่งในการแถลงในครั้งนี้ โดยนายธนาธรได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น

    ประเด็นที่ 1 บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นสื่อหรือไม่

    บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ไม่ใช่สื่อ เนื่องจากบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้ปิดตัวไปแล้วก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ตั้งแต่ 26 พ.ย. 2561 บริษัทไม่มีรายได้อีกแล้ว จะมีก็แต่เงินรับค้างจ่าย แต่รายได้ที่เกิดจากการสร้างผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่นับตั้งแต่ พ.ย. ไม่มีอีกแล้ว รายได้เดียวที่ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด มีในปี 62 ก็คือรายได้จากการขายทรัพย์สินเพื่อปิดกิจการ ดังนั้นต้องบอกว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ไม่มีพนักงาน ยุติกิจการไปแล้ว ไม่มีผลิตภัณฑ์ ไม่มีบริการ บริษัทเช่นนี้จะเป็นสื่อได้อย่างไร

    ประเด็นที่ 2 ยังเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันที่ 6 ก.พ. หรือไม่
    
มีการอ้างอิงถึง บอจ.5 ว่ายังเป็นผู้ถือหุ้นสื่อ แต่ บอจ.5 ไม่ใช่หนังสือยืนยันการเป็นผู้ถือหุ้น เป็นเพียงหนังสือที่บริษัทแจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ถึงรายชื่อล่าสุดของผู้ถือหุ้น การจะดูว่าการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเกิดผลสัมฤทธิ์ ธุรกรรมเสร็จสิ้นเรียบร้อย ต้องอ้างอิงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 และมาตรา 1141 ในวันที่ 6 ม.ค. 2562 ผมได้มีการโอนหุ้นคืนให้กับนางสมพรเรียบร้อยไปแล้ว มีตราสารโอน มีสัญญา มีการจ่ายเงินต่อหน้าพยาน 2 คน ต่อหน้าทนายโรตารี่ 1 คน และเปลี่ยนในทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัทครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1141 และ 1129 ดั้งนั้นต้องบอกว่า ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอื่น ถ้าไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักพอ ซึ่งผู้ร้องหรือ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ไม่มี ก็ต้องถือว่าธุรกรรมถูกทำสำเร็จ

    ประเด็นที่ 3 การสื่อหุ้นสื่อ ผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
    
เจตนารมณ์บอกว่าไม่ให้นักการเมือง ไม่ให้ผู้มีอำนาจถือหุ้นสื่อให้คุณให้โทษกับตัวเองและคู่แข่ง นิตยสาร 3 เล่ม ตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นจนถึงวันที่ตายลง ไม่เคยให้คุณกับผม และไม่เคยให้โทษกับคู่แข่งทางการเมืองของผมเลย นอกจากนี้อีกปรเด็นที่เกี่ยวข้องกัน ที่จะแสดงเจตนารมณ์ของผมได้ดีคือวันที่นิตยสารนี้ปิดตัวลง

    โดยนิตยสารปิดตัววันที่ 26 พ.ย. 2561 ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทไม่มีผลิตภัณฑ์ ไม่มีพนักงาน ไม่มีรายได้แล้ว เกิดขึ้นก่อนที่จะมีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2562 ถูกประกาศใช้วันที่ 23 ม.ค. 2562 ดังนั้น นิตยสารทั้ง 3 เล่มไม่ได้ในคุณให้โทษกับผม เราไม่มีเจตนาที่จะคงมันอยู่ เราปิดมันก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง

    ประเด็นที่ 4 กระบวนการพิจารณาคดีมีความถูกต้อง เที่ยงธรรม และมีความเป็นธรรมกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือไม่

    ผู้ร้อง หรือ กกต. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการมาชุดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมี นายปรีชา นาเมืองรักษ์ เป็นประธานกรรมการสืบสวนไต่สวน มีการเรียกพยาน 2 คน ซึ่งเป็นพยานที่ลงชื่อในหนังสือสัญญารวมกับทนายโรตารี่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันที่โอนหุ้นเข้าไปให้ถ้อยคำ หมายความว่า ในวันที่ 22 พ.ค. 2562 ที่พยาน 2 คนและทนายโรตารี่อีก 1 คน ได้รับการเรียกจากคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของ กกต.ให้เข้าไปสอบสวน กระบวนการสอบสวนที่ส่งคำร้องไปโดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่มีการผ่านการสอบสวนให้สิ้นกระบวนความหรือไม่ มันทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากรณีนี้เกิดขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง เป็นคดีที่มีมูลเหตุจงใจทางการเมืองหรือไม่ เป็นการฟ้องที่ไม่สุจริตหรือไม่ เพราะขณะที่คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนทำงานอยู่ กกต.เอาข้อมูลที่ไหนไปฟ้องกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนยังพิจารณาคดี

    “ทั้ง 4 ข้อ อยากให้ทบทวนนิดนึง ถ้าถามผมว่าผมผิดอะไร คำตอบของผมคือมันไม่ใช่เรื่องหุ้นสื่อ คำตอบบของผมคือมันไม่ใช่เรื่องให้เงินพรรคกู้ คำตอบของผมก็คือ ความผิดของผมคือการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.

    ทุกท่านครับ พวกเรามีความฝัน พวกเราฝันเห็นประเทศไทยที่มีประชาธิปไตย พวกเราฝันเห็นประเทศไทยที่คนทุกคนเท่าเทียมกัน ประเทศไทยที่เป็นนิติรัฐ นิติธรรม ที่คนทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน ที่คนทุกคนไม่ว่าจะมีอำนาจหรือไม่มี

    เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎหมายแล้วทุกคนได้รับปารปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศไทยที่ไม่มีรัฐประหารอีกแล้ว ความฝันเช่นนี้มันเป็นผิดบาปมากหรือครับในประเทศนี้ เพื่อให้ได้ซึ่งความฝันนี้ เราตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากฎหมายไปได้เป็นคุณกับเรา เราตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องความฝันของเราในอนาคต แม้เราไม่ได้เป็นรัฐบาลแต่เราก็ตั้งใจทำงานในสภา เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความตั้งใจจริงของเรา”

    “วิษณุ”แจง นายกฯ ไมไ่ด้สั่งเอาเงินประกันสังคมปล่อยกู้ แค่ถาม

    จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้สำนีกงานประกันสังคม (สปส.) นำเงินกองทุนประกันสังคมออกปล่อยกู้นั้น ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นการปรารภของนายกฯ และแจ้งข้อสั่งการไปให้ทาง สปส.ตอบกลับมาว่าทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่เป็นการสั่ง และที่ใช้คำว่าข้อสั่งการคือ ไม่ได้อยู่ในระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี คล้ายกับเรื่องที่ประธานที่ประชุมยกขึ้นมาแจ้งเพื่อทราบ หรือหารือ หากไปเกี่ยวกับหน่วยงานใดหน่วยงานนั้นจะต้องแจ้งกลับมาว่าทำได้หรือไม่ได้ มีหลายเรื่องที่นายกฯสั่งการเช่นนี้ และกระทรวงแจ้งกลับมาว่าไม่อยู่ในอำนาจ ก็จบ

    สามคนไทยติดอันดับ 100 บุคคลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์

    เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า จากเดิมที่นิตยสารไทม์ (TIME) มีการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก (TIME 100 list of the world’s most influential people) เป็นประจำทุกปีมา 15 ปีแล้ว ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ นิตยสารไทมส์ได้เปิดตัวการจัดอันดับผู้ทรงอิทธิพลใหม่คือ อันดับ 100 บุคคลแห่งอนาคต (TIME 100 NEXT) ซึ่งเป็นอันดับ 100 ดาวรุ่งที่จะกำหนดอนาคตโลกในด้านต่างๆ เช่น ธุรกิจ ความบันเทิง กีฬา การเมือง วิทยาศาสตร์ และสุขภาพ

    ในการจัดอันดับ TIME 100 NEXT ครั้งแรกนี้ มีคนไทยติดอันดับด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ติดอันดับในหมวดผู้นำ วงแบล็กพิงค์ (Blackpink) เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีซึ่งมีลิซ่า – ลลิษา มโนบาล เป็นสมาชิก ติดอันดับในหมวดปรากฏการณ์ และกชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิกผู้ใช้การออกแบบรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ติดอันดับในหมวดนวัตกร

    แดน แม็กไซ บรรณาธิการบริหารนิตยสารไทม์ กล่าวว่า 100 อันดับบุคคลแห่งอนาคตของไทม์นั้น ล้วนเป็นผู้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ และตระหนักว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคที่ใหญ่กว่ามาก ถึงอย่างนั้น พวกเขาต่างก็ “ขับเคลื่อนด้วยความหวัง” และตั้งมั่นจะท้าทายความเป็นไปได้ และสู่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/photos/pcb.679845902419087/679845745752436/?type=3&theater

    สำหรับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนั้น ชาร์ลี แคมป์เบล ผู้สื่อข่าวเอเชียตะวันออกของไทม์ ได้บรรยายว่าเขาเป็นผู้ปลุกไฟในตัวเยาวชนไทยในการหยุดยั้งวงจรอุบาทว์ของรัฐประหารที่ทำให้ประเทศไทยล้าหลัง

    “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทราบดีว่าการคว้าอำนาจจากคณะรัฐประหารไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในที่สุดแล้วพรรคอนาคตใหม่ได้รับคะแนนเสียงถึง 17 เปอร์เซ็นต์จากการเลือกตั้งในปีนี้ ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยสำหรับพรรคที่เพิ่งก่อตั้งมาได้เพียงปีกว่า

    “ทว่าธนาธร เศรษฐีพันล้านผู้เป็นทายาทกิจการชิ้นส่วนรถยนต์ ก็ประสบความสำเร็จในการปลุกไฟในตัวเยาวชนคนไทย ที่พากันตามการนำของเขาในการหยุดวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารและการเสียเลือดเสียเนื้อเลือดจากการลงถนนประท้วง ซึ่งฉุดรั้งประเทศไทยมากว่า 80 ปี

    “ท่ามกลางการท้าทายอำนาจที่มีให้เห็นมากขึ้น บรรดานายพลในกองทัพได้ตอบโต้ด้วยการฟ้องร้องคดีจำนวนมาก ซึ่งธนาธรเองอ้างว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง เขาได้กล่าวว่ายังคงมุ่งสร้างความเคลื่อนไหวภายในสภา แม้ว่าจะเผชิญกับการต่อสู้ความต่างๆ อยู่” นิตยสารไทม์ระบุ พร้อมยกคำกล่าวของธนาธรว่า “กระบวนการนำมาซึ่งประชาธิปไตย (democratization) การลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ (demilitarization) และการกระจายอำนาจ (decentralization) นี่คือหัวใจของพวกเรา”

    ทางด้านวงแบล็กพิงก์นั้น แคต มูน นักเขียนจากไทม์ ได้กล่าวถึงพวกเธอในฐานะวงดนตรีเกาหลีที่ทลายกำแพงภาษาและกลายเป็นที่นิยมในระดับโลกทั้งในงานเทศกาลดนตรีและบนยูทูบ

    “แบล็กพิงก์อาจจะเพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงในสหรัฐฯ ทว่าบนยูทูบนั้นเรียกได้ว่าพวกเธอครองบัลลังก์ สี่สาวซึ่งประกอบด้วย จีซู เจนนี โรเซ และลิซ่า มีผู้ติดตามบนยูทูบ 31 ล้านราย มากกว่าวงดนตรีใดในโลก ในปีนี้ แบล็กพิงก์ยังกลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีวงแรกที่ได้แสดงในเทศกาลดนตรีและศิลปะโคเชลลา (Coachella) เป็นการเถลิงศักราชใหม่ของเกาหลีในการทลายกำแพงภาษาสู่การแสดงบนเวทีระดับโลก”

    “ความสำเร็จของแบล็กพิงก์นั้น ได้รับการหนุนจากบลิงก์ส (Blinks) หรือบรรดาแฟนของวงผู้ช่ำชองโลกดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ยอดวิวมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Ddu-Du Ddu-Du’ ทะยานสู่ 1 พันล้านครั้ง พวกเธอบอกว่าเป้าหมายของวงคือการสร้างสรรค์ดนตรีที่ช่วยให้ผู้ฟังได้รับ ‘ความเชื่อมั่นและความกล้า'”

    ในส่วนของ กชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิกไทย เลย์นี บาร์รอน นักเขียนของไทม์ กล่าวถึงการที่เธอนำความรู้ทางสถาปัตยกรรมมาบรรเทาวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยยกตัวอย่างการอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำฝนได้ถึงล้านแกลลอน

    “ในปี 2011 (พ.ศ. 2554) ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในครึ่งศตวรรษ ทำให้หลายครอบต้องหนีน้ำ รวมถึงภูมิสถาปนิกอย่างกชกร วรอาคมด้วย จากเหตุการณ์นั้น เธอตอบโต้ด้วยการตั้งเป้าจะสร้างพื้นที่สีเขียวที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศให้ทั่วเมืองหลวงของไทยเพื่อสู้กับพายุฝนที่มาทุกปี”

    “หลังจากชนะสัญญาสัมปทานสร้างสวนสาธารณะซึ่งไม่มีการสร้างในกรุงเทพฯ มาสามทศวรรษแล้ว เธอได้สร้างพื้นที่ 11 เอเคอร์ (ราว 28 ไร่) ที่กักเก็บน้ำได้ 1 ล้านแกลลอน (ราว 3.79 ล้านลิตร) ซึ่งเป็นส่วนผสมของสวนลาดเอียง พื้นที่ชุ่มน้ำ และบ่อหน่วงน้ำ ในปีนี้ แลนด์โปรเซส บริษัทของเธอจะเปิดตัวสวนอีกแห่งพื้นที่ 36 เอเคอร์ ซึ่งมีสวนเกษตรบนดาดฟ้ากลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียด้วย

    “ในขณะเมืองทั่วโลกประสบวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ กชกร วรอาคม กล่าวว่าสถาปนิกต้องลุกขึ้นเผชิญกับความท้าทาย” นิตยสารไทม์ระบุ