ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 มิ.ย. 2562
พปชร.จ่อยื่นคุ้มครอง 27 ส.ส. ปมถือหุ้นสื่อ ปัด อย่าเทียบธนาธร
จากกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามส่งหนังสือไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคอนาคตใหม่ เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส.จำนวน 41 คน ว่าจะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.เนื่องจากเป็นผู้ครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนหรือไม่ โดยเป็น ส.ส.ที่อยู่ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ 27 คน ประชาธิปัตย์ 10 คน ภูมิใจไทย 1 คน รวมพลังประชาชาติไทย 1 คน พรรคชาติพัฒนา 1 คน พรรคประชาภิวัฒน์ 1 คน
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐนั้น นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.แบบแบ่งเขต พรรคพลังประชารัฐ จ.นนทบุรี ในฐานะหัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อของ 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เข้าตรวจสำนวนคำร้องดังกล่าวโดยระบุว่าเพื่อหาวิธีต่อสู้คดี และเพราะด้วยเหตุที่ว่าเมื่อศาลรับคำร้องแล้วก็ต้องมีคำสั่งให้ ส.ส. 27 คนของพรรคพลังประชารัฐหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องหาข้อมูลเพื่อมาเป็นเหตุผลว่ากรณีนี้นั้นแตกต่างจากกรณีอื่น ไม่สมควรสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยคาดว่าสัปดาห์หน้าจะยื่นคำร้องพร้อมเหตุผลขอความคุ้มครองชั่วคราวให้ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
“ผมมีหน้าที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ 27 ส.ส.ยังสามารถทำหน้าที่อยู่จนจบภารกิจ และไม่อยากให้สังคมเอาไปเปรียบเทียบกับกรณีสั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ (ก่อนหน้านี้นายธนาธรถูกสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ส.ส.เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องเรื่องให้พิจารณาคุณสมบัติกรณีถือครองหุ้นสื่อสารมวลชน) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐาน เพราะการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีไม่เหมือนกัน การที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาการต่อประชุมสภาฯ แต่ของเรามันจะเกิดปัญหาทางลบยิ่งกว่า คือรัฐบาลจะไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายได้เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงจะไปเทียบกับกรณีของธนาธรไม่ได้ เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน อย่าเอามารวมกัน กรณีหุ้นสื่อของ 41 ส.ส.ที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ยื่นต่อประธานสภาฯ อาจจะคล้ายกัน คือถือหุ้นสื่อ แต่ข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน” นายทศพลกล่าว
สัมมานา ส.ส.ใหม่ ป.ป.ช.ตอบชัด “ยืมเพื่อน” ไม่ต้องแจ้งในบัญชี
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2562 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ในระหว่างการสัมมนา ส.ส. 500 คนที่หอประชุมใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ นายวิรัตน์ วรสศิริน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ลุกขึ้นถามวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า หากเป็นคนที่มีเพื่อนมาก และมีโอกาสยืมของหรือยืมนาฬิกาเพื่อนมา จะต้องแจ้งทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หรือไม่
วิทยากรให้คำตอบว่า อาจจะเป็นในส่วนของทรัพย์สินที่มีมูลค่าตามมุมมองของตัวเอง แจ้งไปแล้วว่าทรัพย์สินที่ต้องแจ้งมีอะไรบ้าง หมายรวมถึงทรัพย์สินที่ให้บุคคลอื่นครอบครอง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในทางกลับกันหากครอบครองทรัพย์สินแทนบุคคลอื่น เพื่อความบริสุทธิ์ใจอาจแสดงเป็นข้อเท็จจริง
นายวิรัตน์จึงถามต่ออีกว่า “อาจ” หรือว่า “ต้อง” เพราะความหมายต่างกัน ด้านวิทยากรตอบกลับว่า ทรัพย์สินในที่นี้ หมายถึงทรัพย์สินของตัวเอง คู่สมรส และบุตร เมื่อทรัพย์สินไม่ใช่ของตัวเองตามหลักเกณฑ์ใหม่ ไม่จำเป็นต้องแสดง นายวิรัตน์ ได้กล่าวขอบคุณวิทยากรพร้อมกับทิ้งท้ายว่า ไม่ต้องแสดงจะได้เป็นมาตรฐานของทุกคน
ลูกหนี้ กยศ.รวมตัวขอลดเบี้ยปรับ บางรายยืมสองแสนโดนเบี้ยห้าแสน
วันที่ 17 มิ.ย. 2562 เว็บไซต์ช่อง 7HD รายงานว่า กลุ่มลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องยกเลิกเบี้ยปรับที่สูงท่วมเงินต้น กรณีผิดนัดชำระหนี้ พร้อมเสนอแนวทางให้ กยศ.ช่วยเหลือ
กลุ่มรวมพลคนขอปลดเบี้ยปรับ ซึ่งเป็นลูกหนี้ กยศ.จากหลายจังหวัด ที่ส่วนใหญ่ถูกคิดเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ บางรายมีเบี้ยปรับมากกว่าเงินต้นไปแล้ว ทำให้ชำระหนี้คืน กยศ.ไม่ได้ และถูกบังคับคดี เช่น ผู้กู้ กยศ.รายหนึ่ง จบปริญญาตรี เป็นหนี้ทั้งหมด 248,000 บาท หลังเรียนจบได้ชำระหนี้ กยศ.ตามปกติ แต่ชำระไปได้เพียง 1 ปี ก็ถูกยึดบ้านและพ่อล้มป่วย ทำให้ชำระหนี้ กยศ.ต่อไม่ได้ จนกระทั่งได้รับการแจ้งยอดให้ชำระหนี้ทั้งหมด 803,375 บาท โดนเบี้ยปรับมากถึง 520,000 บาท
จึงขอให้คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พิจารณายกเลิกเบี้ยปรับและออกหลักเกณฑ์การคำนวณเงินต้น และยอดหนี้ที่ต้องชำระใหม่ตามความสมัครใจ และตามความสามารถที่ลูกหนี้แต่ละรายจะสามารถผ่อนชำระได้จริง รวมถึงขอให้ชะลอการบังคับคดี ชะลอการขายทรัพย์ทอดตลาดให้ลูกหนี้
ด้าน นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ได้มารับฟังปัญหา และระบุว่า กยศ. ยังมีมาตรการจูงใจผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ ถ้าปิดบัญชีได้ กยศ. มีส่วนลดเบี้ยปรับให้มากถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ผู้กู้ที่อยู่ในขั้นตอนดำเนินคดีก็เข้าโครงการได้ กรณีข้อเสนอยกเลิกเบี้ยปรับจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมบอร์ด กยศ.ต่อไป ตอนนี้ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 2 ล้านคน
สูบบุหรี่ในบ้าน “อาจ” ผิดกฎหมาย
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายในการประชุมวิชาการบุหรีกับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 “Tobaco and Lung Health”ว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2562 จะมีผลบังคับใช้หลังประกาศ 90 วัน จึงจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ส.ค. 2562 โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเน้นการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ส่งเสริมครอบครัว และคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลต่างๆ โดยในส่วนของความรุนแรงในครอบครัว กำหนดไว้ชัดเจนว่าเป็นการกระทำใดๆ ที่บุคคลในครอบครัวได้กระทำต่อกันโดยเจตนาให้เกิดหรือในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ เสรีภาพ หรือชื่อเสียงของบุคคลในครอบครัว ซึ่งครอบครัวมี 3 ลักษณะ คือ ตามสายโลหิต ตามพฤตินัย/นิตินัย และบุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน
นายเลิศปัญญากล่าวอีกว่า ในส่วนของการสูบบุหรี่ในบ้านของบุคคลในครอบครัวจะส่งผลเสีย คือ 1. ทำให้สัมพันธภาพครอบครัวเริ่มลดลง เพราะลูก เมียไม่อยากที่จะเข้าใกล้ หรือลูกเกิดพฤติกรรมเลียนแบบด้วยการสูบบุหรี่ 2. เมื่อไม่ได้สูบบุหรี่แล้วจะเกิดอาการหงุดหงิด ก้าวร้าวด้วยท่าทางและวาจา นำสู่การก่อความรุนแรงทางกายหรือจิตใจ 3. คนในบ้านได้รับควันบุหรี่มือสองและมือสาม ซึ่งในกรณีนี้หากคนในบ้านได้รับผลกระทบ โดยเกิดปัญหาสุขภาพและยืนยันได้ว่าเกิดจากการได้รับควันบุหรี่ ตาม พ.ร.บ.ใหม่นี้จะถือว่าผู้ที่สูบบุหรี่ในบ้านมีความผิดในฐานของการก่อความรุนแรงในครอบครัว เพราะทำให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพของคนในครอบครัว อาจจะต้องขึ้นสาลเพื่อพิจารณาความผิด 2 ศาล คือ ศาลอาญา กรณีที่มีการทำร้ายทางกาย ได้รับโทษตามกฎหมายอาญา และศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งให้คุ้มครองคนในครอบครัวและสั่งบังคับให้ผู้ที่สูบบุหรี่และทำให้เกิดปัญหาในบ้านเข้ารับการบำบัดและเลิกบุหรี่ เพื่อไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงอีก
เฟซบุ๊กร่วม 27 หน่วยงาน ก่อตั้ง “Libra” สกุลเงินดิจิทัลของตนเอง
วันที่ 18 มิ.ย. 2562 เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่า Facebook เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลโอเพ่นซอร์สในชื่อ Libra โดยเป็นแกนนำจัดตั้งหน่วยงานอิสระที่ไม่แสวงหากำไร The Libra Association มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
The Libra Association มีผู้ร่วมก่อตั้ง 28 หน่วยงาน เช่น Facebook, Mastercard, PayPal, Visa, eBay, Spotify, Uber, Lyft, กลุ่ม Vodafone, กองทุน Andreessen Horowitz ฯลฯ ทั้งนี้เป้าหมายของโครงการคือมีผู้ร่วมก่อตั้งอย่างน้อย 100 ราย ก่อนการเปิดตัวใช้งานในปีหน้า
Libra มีเป้าหมายให้นักพัฒนาสามารถสร้างบริการที่มาเชื่อมต่อ ให้ผู้ใช้งานสามารถรับส่งเงินได้ทั่วโลกอย่างง่ายดาย และไม่มีต้นทุนค่าธรรมเนียม อธิบายว่าง่ายเหมือนส่งรูปหรือส่งข้อความทาง Facebook โดยตัวสกุลเงินสร้างขึ้นบนบล็อกเชนเรียกว่า Libra Blockchain