ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “มติ 7-2 ศาล รธน.วินิจฉัย ธนาธรพ้นสภาพ ส.ส. เหตุมีลักษณะต้องห้ามปมถือหุ้นสื่อ กกต.จ่อฟ้องอาญา” และ “แผ่นดินไหวในลาวสะเทือนถึงไทย”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “มติ 7-2 ศาล รธน.วินิจฉัย ธนาธรพ้นสภาพ ส.ส. เหตุมีลักษณะต้องห้ามปมถือหุ้นสื่อ กกต.จ่อฟ้องอาญา” และ “แผ่นดินไหวในลาวสะเทือนถึงไทย”

23 พฤศจิกายน 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 16-22 พ.ย. 2562

  • มติ 7-2 ศาล รธน.วินิจฉัย ธนาธรพ้นสภาพ ส.ส. เหตุมีลักษณะต้องห้ามปมถือหุ้นสื่อ กกต.จ่อฟ้องอาญา
  • “มาดามเดียร์” ฟ้อง “ช่อ” ปมหมิ่นประมาทฯ เอี่ยวเครือเนชั่น
  • เลื่อนเคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คสรท.เผย ขึ้น 5-6 บาท “พอรับได้ แต่ไม่พอกิน”
  • ธปท.เผย ศก.โตต่ำกว่าคาด แนะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ปรับโครงสร้างหนี้
  • แผ่นดินไหวในลาวสะเทือนถึงไทย
  • มติ 7-2 ศาล รธน.วินิจฉัย ธนาธรพ้นสภาพ ส.ส. เหตุมีลักษณะต้องห้ามปมถือหุ้นสื่อ กกต.จ่อฟ้องอาญา ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

    นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/FWPthailand/photos/a.1657824830959771/2192898874119028/?type=3&theater

    วันที่ 20 พ.ย. 2562 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย เรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จากกรณีถือครองหุ้นในบริษัท วีลัค-มีเดีย จำกัด หรือไม่

    ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า บริษัท วีลัค-มีเดีย จำกัด ยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนในวันที่พรรคอนาคตใหม่ได้ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อแก่สำนักงาน กกต. เมื่อ 6 ก.พ. 2562 เนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่ได้แจ้งยกเลิกกิจการก่อนวันดังกล่าว แม้จะอ้างว่าได้เลิกกิจการ ยุติการผลิตนิตยสาร และเลิกจ้างพนักงานไปแล้วตั้งแต่ 26 พ.ย. 2561 แต่บริษัทสามารถประกอบกิจการเมื่อไรก็ได้

    “ผู้ถูกร้องยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วีลัค-มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนในวันที่ 6 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่ อนค.ยื่นบัญชีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อต่อผู้ร้อง (กกต.) ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)” ศาลรัฐธรรมนูญระบุ

    ก่อนหน้านี้เมื่อ 23 พ.ค. 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องคดีนี้ไว้พิจารณา และมีคำสั่งให้นายธนาธรยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

    ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง กำหนดว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงถือว่าวันที่ 23 พ.ค. เป็นวันที่สมาชิกภาพของนายธนาธรสิ้นสุดลง

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานอีกด้วยว่า หลังฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายธนาธรเดินออกจากห้องพิจารณาคดี มาพบกลุ่มผู้สนับสนุนและสื่อมวลชนจำนวนมากที่รออยู่ด้านนอก โดยกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค และกล่าวถึงอนาคตทางการเมืองหลังจากนี้ว่า แม้ต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แต่ไม่หยุดยั้งการทำงาน จะยังเดินหน้าทำงานทางการเมือง เช่น การรณรงค์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และการทำพรรคอนาคตใหม่ให้เดินหน้าต่อไป

    “เลือกตั้ง 24 มีนา ไม่ใช่สมรภูมิเดียว พรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง ยังต้องผ่านการเลือกตั้งอีกเยอะและที่สำคัญ ผมยังเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” นายธนาธรกล่าว

    อย่างไรก็ดี แม้จะสิ้นสุดสภาพการเป็น ส.ส. แต่นายธนาธรยังคงเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และยังคงเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 สภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากพรรคส่งเขาเข้าไปทำหน้าที่ในสัดส่วน “คนนอก” ไม่ใช่ในสัดส่วน ส.ส.

    ในวันเดียวกัน เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลงว่า หลังจากนี้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนก็คงดำเนินการสอบสวนกรณีคำร้องที่มีผู้กล่าวหาว่านายธนาธรฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) ในกรณีที่ว่า ผู้ใดรู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต่อไป โดยตามหลักการทั่วไปแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคงจะต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ไปพิจารณาประกอบในสำนวนด้วย เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธรขาดคุณสมบัติ

    สำหรับมาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด20 ปี

    “มาดามเดียร์” ฟ้อง “ช่อ” ปมหมิ่นประมาทฯ เอี่ยวเครือเนชั่น

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์แนวหน้า (http://bit.ly/2D3tzLb)

    เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงานว่า  น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือ มาดามเดียร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยดำเนินคดีกับ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์พาดพิงตนและคู่สมรส

    โดยได้มอบให้ทนายความดำเนินการฟ้องร้อง น.ส.พรรณิการ์ในคดีหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากมีข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง จนทำให้ตนพร้อมกับคู่สมรสได้รับความเสียหาย และตนขอยืนยันว่า ไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ตามที่นางสาวพรรณิการ์แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา

    มาดามเดียร์ยืนยันด้วยว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อใดๆ ตั้งแต่ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ดังนั้น ไม่ว่าจะตีความโดยทางนิตินัยหรือพฤตินัย ตนยืนยันว่าทำถูกต้องตามกฎหมายครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ตนเองทราบดีว่าการเป็นผู้บริหารนั้นไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทำงานนำเสนอข่าวของสื่อได้ ซึ่งตนเชื่อมั่นมาตลอดว่าสื่อมวลชน และกองบรรณาธิการต้องมีเสรีภาพในการกระบวนการคิดและทำงานของตนเอง

    นอกจากนี้ ยังขอให้ น.ส.พรรณิการ์อย่าใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ในการหลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล แต่ควรสู้ด้วยข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม เพราะหากเป็นการกล่าวหาผู้อื่น ก็ต้องพิสูจน์ความจริงอย่างมีความรับผิดชอบด้วย

    ขณะนี้ศาลอาญาได้รับคำฟ้องไว้แล้ว และนัดไต่สวนครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ. 2563 ซึ่งเมื่อได้ฟ้องคดีไปแล้วก็ไม่ประสงค์จะแสดงความคิดเห็นอีก เพราะตนในฐานะ ส.ส.และกรรมาธิการ (กมธ.) มีภารกิจการทำงานเพื่อประเทศชาติ ขอพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรม และขอยุติเรื่องดังกล่าวไว้เพียงเท่านี้ เนื่องจากไม่ต้องการนำเรื่องดังกล่าวมาสร้างวาทกรรมทางการเมือง

    เลื่อนเคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คสรท.เผย ขึ้น 5-6 บาท “พอรับได้ แต่ไม่พอกิน”

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2562 ที่กระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำปี 2562 ซึ่งใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ว่า บรรยากาศในการประชุมเป็นไปด้วยความสมานฉันท์ มีการพิจารณาบนฐานข้อมูลตัวเลขค่าครองชีพในปัจจุบัน เรื่องขีดความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง เรื่องค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับอัตถภาพ ซึ่งมีการพูดถึงตัวเลขที่จะมีการปรับเพิ่มแล้ว แต่เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ จึงยังไม่สามารถเคาะสรุปได้ในวันนี้ ยังต้องรอดูอีกหลายเรื่องที่สำคัญ โดยนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 6 ธ.ค. 2562 นี้ ก่อนเสนอเข้า ครม. (คณะรัฐมนตรี) ให้เร็วที่สุด หรืออย่างช้าคือ 17 ธ.ค. 2562 และพยายามชี้แจงเหตุผลในการปรับเพิ่มค่าจ้างได้ ทั้งนี้เป็นเพื่อของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใช้แรงงาน

    นายสุทธิ กล่าวต่อว่า กรรมการทุกคนมองประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก การขึ้นค่าจ้างฯ ต้องไม่มีผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทย ดูว่าจะมีผลกระทบผู้ประกอบการส่งออก การค้าระหว่างประเทศ ต่างๆ หรือไม่ ยอมรับว่าเรายังกังวลเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสถานประกอบการปิดตัว ดังนั้นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาประเทศ และต้องดูแลทั้งนายจ้างและลูกจ้าง แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องช่วยกันทุกฝ่าย เราหามาตรการรองรับการเลิกจ้าง กระทรวงพาณิชย์ต้องควบคุมราคาสินค้า ซึ่งรัฐบาลช่วยมาตลอดอยู่แล้วแต่ต้องให้ชัดเจน

    เมื่อถามว่ามีรายงานในที่ประชุมว่าที่ประชุมเห็นชอบตรงกันตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำคือ 5-6 บาท เท่ากันทั้งประเทศ ซึ่งอัตรา 6 บาทจะเป็นจังหวัดเศรษฐกิจ นายสุทธิ อมยิ้มก่อนตอบว่า “ตัวเลขนี้ไม่ได้ออกจากผมนะ”

    ด้านนายสมพร ขวัญเนตร ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า หากมีการปรับขึ้นค่าจ้างฯ 5-6 บาทต่อวัน ก็พอรับได้ เพราะถือว่าเป็นตัวเลขที่เท่ากันทั่วประเทศ แต่ยังไม่พอกิน แม้จะยังไม่พูดนโยบายที่พรรคการเมืองหาเสียงว่าจะปรับเพิ่ม 425 บาทก็ตาม อย่างไรก็ตามขอบอร์ดค่าจ้างอย่าห่วงสถานการณ์เศรษฐกิจมาก เพราะวันนี้ค่าครองชีพ ของแพงหมดแล้วถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นค่าจ้าง

    ธปท.เผย ศก.โตต่ำกว่าคาด แนะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ปรับโครงสร้างหนี้

    วันที่ 21 พ.ย. 2562 เว็บไซต์ ISPACE THAILAND รายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 7/2562 ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา

    จากรายงานระบุชัดว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และต่ำกว่าศักยภาพมากขึ้นมากขึ้นจากการส่งออก สินค้าที่หดตัวและส่งผลกระทบไปสู่ตลาดแรงงานอย่างชัดเจน

    ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ  มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องจากผลกระทบของการกีดกันทางการค้า และเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักชะลอลงตามการส่งออก ภาคการผลิต และการลงทุน ขณะที่ภาคบริการยังเป็นแรง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ การบริโภคภาคเอกชนยังได้รับแรงสนับสนุนจากค่าจ้างที่ขยายตัวต่อเนื่องและตลาดแรงงานที่ตึงตัว

    ประเด็นสำคัญของการประชุมมีดังนี้

    1) เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมและต่ำกว่าระดับศักยภาพมากขึ้น โดยการส่งออกสินค้าหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ขณะที่การจ้างงานมีแนวโน้มปรับลดลงเร็วทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร ด้านการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปเผชิญกับความเสี่ยงสูงทั้งปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยในประเทศ

    2) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2562 และปี 2563 มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่ต่ำกว่าคาดตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและอุปทานน้ำมันของซาอุดิอาระเบียที่กลับมาเร็วกว่าคาด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่คาดตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ปรับลดลง

    3) ความเสี่ยงในระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วนด้วยมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ ได้ดำเนินการไป เช่น ความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับดีขึ้นหลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้สะท้อนจากการเก็งกำไรที่ชะลอลงและการปรับตัวของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมาก ขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอลง

    กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะช่วยสนับสนุน การขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลงชัดเจนและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะปัจจัยต่างประเทศ เพื่อให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้มีเวลาปรับตัวเพื่อรับมือกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเร่งปรับโครงสร้างหนี้ทั้งในภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ อาทิ การขยายขอบเขตของโครงการคลินิกแก้หนี้ให้ครอบคลุมลูกหนี้มากขึ้น การปรับโครงสร้าง หนี้ของธุรกิจ SMEs เพื่อให้สามารถผ่อนชำระหนี้และดำเนินกิจการต่อไปได้ อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายยังเอื้อให้นโยบายการคลังของภาครัฐช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่

    แผ่นดินไหวในลาวสะเทือนถึงไทย

    เฟซบุ๊กแฟนเพจบีบีซีไทยรายงานว่า กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เมื่อเวลา 04.03 น. ของวันที่ 21 พ.ย. 2562 ตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศลาว ขนาด 5.9 ความลึก 5 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากประเทศไทยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านน้ำช้าง ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ประมาณ 19 กิโลเมตร รู้สึกสั่นไหวบริเวณ จ. น่าน จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.ลำปาง จ.เลย

    หลังจากนั้นยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา 12 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเวลา 04.19 น. ครั้งล่าสุด เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6.4 ในประเทศลาว ความลึก 3 กิโลเมตร เมื่อเวลา 06.50 น. ของวันดังกล่าว มีรายงานว่าสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนหลายจังหวัดของไทยรวมทั้งในกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายที่อยู่ในอาคารสูงในกรุงเทพฯ โพสต์ข้อความระบุว่ารู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวขณะอยู่บนอาคารในช่วงเวลา 06.55-07.00 น. ของวันดังกล่าว