ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : รายงานสถานการณ์ไวรัสโคโรนา-WHO ประกาศภาวะฉุกเฉิน-ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศคนแรก

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : รายงานสถานการณ์ไวรัสโคโรนา-WHO ประกาศภาวะฉุกเฉิน-ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศคนแรก

1 กุมภาพันธ์ 2020


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 25-31 ม.ค. 2563

  • รายงานสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ — WHO ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินโลก-ทั่วโลกติดเชื้อเกือบหมื่น-ตายทะลุสองร้อย-ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศคนแรก
  • “วิษณุ” ชี้ คดีบิลลี่จบแล้ว หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง “ชัยวัฒน์-พวก” เว้นแต่พบพยานหลักฐานใหม่
  • “หมอธีร์” กราบเท้า “เสรีพิศุทธ์” แลกถอนฟ้องหมิ่นประมาท
  • ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
  • โคบี ไบรอันต์ ตำนาน NBA ฮ.ตกเสียชีวิตพร้อมบุตรสาว
  • รายงานสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

    ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/WHO/videos/2803414043030186/

    วันที่ 31 ก.ค. 2563 เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่า องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้แถลงและออกแถลงการณ์ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินของโลก หลังจากที่คณะกรรมการภาวะฉุกเฉินกฎอนามัยอนามัยระหว่างประเทศปี 2005 (International Health Regulations (2005) Emergency Committee) พิจารณาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) แล้วเห็นว่า การแพร่ระบาดได้เข้าเกณฑ์ที่จะจัดเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

    ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในปัจจุบันนั้น (31 ม.ค. 2020 เวลา 18.10 น.) เว็บไซต์ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป (The European Centre for Disease Prevention and Control: ECDC) รายงานว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รวมทั้งสิ้น 9,834 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้ออยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน 9,723 ราย และมีเสียชีวิตแล้ว 213 ราย โดยการเสียชีวิตทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่เว็บไซต์ศูนย์วิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ระบบ มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ รายงานว่า มีผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว 187 คน ทั้งหมดอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และอยู่ในมณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดครั้งนี้ถึง 116 คน

    ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น ล่าสุด เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวในวันที่ 31 ม.ค. 2020 ว่า ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มอีก 5 ราย รวมเป็นผู้ติดเชื้อทั้งหมด 19 ราย

    ทั้งนี้ หนึ่งในผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นชายไทย ซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ที่ไม่มีประวัติเดินทางไปนครอู่ฮั่น ประเทศจีน จึงสรุปได้ว่าเป็นกรณีแรกที่มีการติดเชื้อในประเทศ

    อนึ่ง ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเฟซบุ๊กแฟนเพจThairath – ไทยรัฐออนไลน์ ได้รวบรวมมาให้ได้ทราบกัน โดยสามารถดูได้ที่นี่

    สามารถติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้จาก

    เว็บไซต์ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป (ECDC) — http://bit.ly/2GItzC5
    เว็บไซต์ศูนย์วิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ระบบ มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ — http://bit.ly/36IlRT3
    เว็บไซต์ THE MOMENTUM — http://bit.ly/37MqhcN

    “วิษณุ” ชี้ คดีบิลลี่จบแล้ว หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง “ชัยวัฒน์-พวก” เว้นแต่พบพยานหลักฐานใหม่

    “พิณนภา พฤกษาพรรณ” หรือ “มึนอ” ภรรยาและลูกๆของ บิลลี่ “พอละจี รักจงเจริญ” แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ. จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนาน 5 ปีแล้ว, ที่มาภาพ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

    จากกรณีที่เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2563 เฟซบุ๊กแฟนเพจ Human Rights Lawyers Association หรือสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันที่ 23 มกราคม 2563 พนักงานอัยการมีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เรื่องการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน สืบเนื่องจากกรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ภายหลังจากที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองเป็นจำนวน 6 ขวด และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นบิลลี่อีกเลยเป็นเวลากว่า 5 ปี จนกระทั่งดีเอสไอแถลงพบชิ้นส่วนที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าบิลลี่เสียชีวิตลงแล้ว โดยการฆาตกรรม

    จากกรณีสั่งไม่ฟ้องนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยังมีอำนาจในการทำความเห็นแย้งอยู่ ตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ในกรณีที่อัยการมีความเห็นไม่ตรงกับพนักงานสอบสวน ความว่า “หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นชอบด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเป็นคำสั่งเด็ดขาด หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วมีความเห็นแย้งกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการก็จะต้องส่งความเห็นพร้อมทั้งเหตุผลในการแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดต่อไป หากอัยการสูงสุดชี้ขาดให้ฟ้อง (เห็นด้วยกับความเห็นแย้ง) ก็จะมีคำสั่งให้พนักงานอัยการฟ้องคดี ต่อศาล หรือหากอัยการสูงสุดชี้ขาดไม่ฟ้อง (เห็นด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ) คำชี้ขาดของอัยการสูงสุด เป็นที่ยุติ และมีผลเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง” โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145

    ทั้งนี้ หากพนักงานอัยการหรืออัยการสูงสุดมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องคดีเองได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 34

    ดูข้อหาทั้งหมดที่อัยการไม่สั่งฟ้องได้ที่นี่

    ต่อมา วันที่ 25 ม.ค. 2563 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกรวม 4 คน ในคดีฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แต่ส่งฟ้องข้อหาเดียวคือ มาตรา 157 กรณีไม่ส่งตัวบิลลี่ ให้ตำรวจดำเนินคดีลักของป่า ว่า คดีนี้ถือเป็นที่สิ้นสุดและหยุดแค่นี้ แต่สามารถส่งฟ้องใหม่ได้หากพบพยานหลักฐานและข้อหาใหม่ โดยต้องเริ่มต้องเข้าสู่กระบวนการรับเป็นคดีพิเศษในกรณีที่มีหลักฐานใหม่

    “หมอธีร์” กราบเท้า “เสรีพิศุทธ์” แลกถอนฟ้องหมิ่นประมาท

    เว็บไซต์ PPTVHD36 รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2563 ที่รัฐสภา นายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ เกียรติลดารมย์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวขอโทษ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย 3 ประเด็นคือการ เรื่องทุจริตรถตู้ จนถูกให้ออกจากราชการ, เรื่องทุจริตงบรถจักรยานยนต์ไทเกอร์, เรื่องบุกรุกป่าสงวนที่จังหวัดกาญจนบุรี และวันดังกล่าวได้ตะโกนด่า พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เสียหายในวันที่ 13 สิงหาคม 2562 จึงนำกระเช้ามอบให้ และขอโทษ

    โดย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ถามกลับนายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ ว่า ที่มาขอโทษ เพราะถูกฟ้องใช่หรือไม่

    ด้านนายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ ยอมรับว่าใช่ พร้อมระบุว่า “ทำอย่างไรท่านจะถอนฟ้อง กราบเท้าจะถอนฟ้องหรือไม่”

    พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์  “คุณกล้ากราบเท้าแน่นะ ส่วนถอนฟ้องผมแค่เขี่ยๆ ไปก็ได้ ถ้ากล้ากราบก็จะถอน”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ PPTVHD36 (http://bit.ly/31ey0Od)

    ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า วันที่ 28 มกราคม 2563 เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนพิการได้ และไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป สถานะทางการเงินของผู้พิการ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีรายได้น้อยมาก เฉลี่ยเดือนละ 4,326 บาท การปรับปรุงเบี้ยผู้พิการให้ตอบสนองความต้องการที่จำเป็นจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562 มีจำนวนคนพิการที่ทำบัตรผู้พิการ 2.02 ล้านคน การปรับเบี้ยผู้พิการเพิ่มขึ้นนี้ จะทำให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 4,852 ล้านบาท/ปี โดยจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ให้แก่ผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวผู้พิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ 2564

    น.ส.รัชดากล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนี้
    1. ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ทุกส่วนราชการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการเช่น ทางลาดขึ้นลงอาคาร ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ โดยกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร
    2. ด้านการสร้างอาชีพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ดำเนินการ

    1. จัดทำบัญชีคนพิการโดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อเป็นข้อมูลในการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและการทำงานที่บ้าน
    2. กำหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทำงานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ให้กระทรวงแรงงาน ติดตามและตรวจสอบการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดำเนินการถูกต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด เพื่อให้คนพิการได้เข้าทำงานจริงและเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ

    3. ด้านสิทธิประโยชน์ ให้กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาแนวทางปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในการได้รับบริการด้านสุขภาพของคนพิการที่มีงานทำและเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และคนพิการที่ยังไม่มีงานทำและเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความสอดคล้องเท่าเทียมกัน

    โคบี ไบรอันต์ ตำนาน NBA ฮ.ตกเสียชีวิตพร้อมบุตรสาว

    โคบี ไบรอันต์
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ Rythm’n Ball (http://bit.ly/3b1G3m0)

    วันที่ 27 ม.ค. 2563 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า โคบี ไบรอันต์ นักบาสเก็ตบอลชื่อดังชาวอเมริกันวัย 41 ปี พร้อมด้วยลูกสาววัย 13 ปี เป็น 2 ใน 9 ผู้เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่เมืองคาลาบาซาส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 26 ม.ค. 2563 ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวที่ไบรอันต์โดยสารมานั้นตกลงสู่พื้นก่อนจะระเบิดเปลวไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

    ไบรอันต์เป็นแชมป์เอ็นบีเอ 5 สมัย และได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์บาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ

    การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเขาทำให้แฟนกีฬาทั่วโลกช็อก ขณะที่คนในวงการกีฬาและผู้มีชื่อเสียงต่างเขียนข้อความแสดงความไว้อาลัยเขากันอย่างท่วมท้นในโซเชียลมีเดีย

    อลีเซีย คียส์ พิธีกรในงานประกาศผลรางวัลแกรมมีอะวอร์ดส ซึ่งกำลังจัดขึ้นที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ สนามเหย้าของทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ ซึ่งเป็นทีมที่ไบรอันต์สังกัดมาตลอดชีวิตการเป็นนักบาสเก็ตบอลอาชีพ ได้กล่าวไว้อาลัยต่อการจากไปของไบรอันต์ในงานด้วย

    “เราทุกคนที่นี่ต่างเศร้าเสียใจจนเกินบรรยาย” พิธีกรสาวกล่าวบนเวที “ลอสแอเจลิส อเมริกา และโลกได้สูญเสียวีรบุรุษไปคนหนึ่ง พวกเราต่างหัวใจสลายขณะรวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านของไบรอันต์”

    สมาคมบาสเก็ตบอลแห่งสหรัฐอเมริกา (เอ็นบีเอ) ออกแถลงการณ์ระบุว่าเอ็นบีเอ “เสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของโคบี ไบรอันต์และจีอานนา ลูกสาววัย 13 ปี ของเขา”
    “ตลอด 20 ฤดูกาลแข่งขัน โคบีแสดงให้เราทุกคนได้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความสามารถพิเศษผสมผสานเข้ากับการอุทิศตนเพื่อชัยชนะ”