ThaiPublica > เกาะกระแส > “ศักดิ์สยาม” พร้อมสู้คดีค่าโง่โฮปเวลล์ถึงที่สุด ส่งหลักฐาน 4 หน่วยงาน ร่วมตรวจสอบ

“ศักดิ์สยาม” พร้อมสู้คดีค่าโง่โฮปเวลล์ถึงที่สุด ส่งหลักฐาน 4 หน่วยงาน ร่วมตรวจสอบ

20 พฤศจิกายน 2019


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.30 น. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เรียกประชุมคณะทำงานโฮปเวลล์ชุดใหญ่ ภายหลังการหารือนายศักด์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่าวันนี้ผมก็ได้แต่งตั้งทนายความในส่วนกระทรวงคมนาคมเพิ่มอีก 2 คน คือนายศุภชัย ใจสมุทร ในฐานะทนายความ ไม่ได้มาในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายชนินทร์ แก่นหิรัญ เนื่องจากทนายความทั้ง 2 คนมีประสบการณ์ความรู้ด้านคดีความ ส่วนนายนิติธร ล้ำเหลือ จะเป็นทนายความของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และอย่างที่ผมเคยยืนยันมาตั้งแต่ที่เข้ารับตำแหน่งแล้ว กระทรวงคมนาคมคงจะต้องสู้ให้ถึงที่สุด เพราะเท่าที่ดูจากพยานหลักฐานแล้ว คิดว่าคงพอจะสู้ได้ ส่วนรายละเอียดให้ไปถามคณะทำงานคดีโฮปเวลล์

ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความของรฟท. ในหนึ่งคณะทำงานโฮปเวลล์ชุดใหญ่ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมคณะทำงานฯได้มอบหมายให้ตนจัดทำรายงานสถานะคดีโฮปเวลล์ พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปยื่นให้กับหน่วยงาน 4 แห่ง ซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับไปดำเนินการ อันได้แก่ กระทรวงการคลัง , สำนักงบประมาณ , สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรมบัญชีกลาง หลังจากคณะทำงาน ฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ามีการดำเนินการบางส่วนไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยรายงานที่จะเสนอให้หน่วยงานทั้ง 4 แห่ง รับไปพิจารณานั้นจะชี้ให้เห็นตั้งแต่ที่มาของโครงการโฮปเวลล์ การอนุญาตให้เข้าดำเนินการตามสัญญา การบอกเลิกสัญญา และสถานะของคดี รวมทั้งจะมีข้อเสนอแนะในเบื้องต้นให้หน่วยงานเหล่านี้ รับไปดำเนินการต่อตามอำนาจหน้าที่

“โครงการโฮปเวลล์ กระทรวงคมนาคมไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่เป็นโครงการของรัฐบาล หากถูกบังคับคดี กระทรวงการคลังควรทำอย่างไร ยกตัวอย่าง คดีจำนำข้าว เดิมไปฟ้องเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ แต่สุดท้ายก็กลับมาฟ้องกระทรวงการคลัง ส่วนกรณีที่บริษัทโฮปเวลล์มาฟ้องรฟท.นั้น เป็นการฟ้องตามที่ปรากฎในสัญญาฯ แต่ข้อเท็จจริง รฟท.ไม่มีอำนาจลงนาม เพราะครม.มีมติให้กระทรวงคมนาคมเพียงหน่วยงานเดียวมีอำนาจลงนามในสัญญากับบริษัทโฮปเวลล์ฯ” นายนิติธร กล่าว

  • โฮปเวลล์(ตอน 1) : ตำนานคดีค่าโง่ จากรัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ถึง ประยุทธ์ จันทร์โอชา… “จบแบบไม่จบ” อ้างโฮปเวลล์ขอเจรจา
  • โฮปเวลล์ (ตอน 2): หลักฐานใหม่คดีค่าโง่…การรถไฟพลิกปมเด็ด “โฮปเวลล์” ขอเจรจาด่วน
  • นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

    นายนิติธร กล่าวต่อไปว่า จากการที่คณะทำงานคดีโฮปเวลล์ได้ทำการตรวจสอบพยานเอกสารทั้งหมด พบว่า ไม่มีมติครม.ครั้งใดเห็นชอบ หรือ อนุมัติให้บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าทำสัญญาสัมปทานฯกับกระทรวงคมนาคม มีแต่มติครม.อนุมัติให้บริษัท โฮปเวลล์ (ฮ่องกง) จำกัด เป็นผู้รับสัมปทานฯและลงนามในสัญญาฯกับกระทรวงคมนาคม จึงมีประเด็นข้อสงสัยบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาทำสัญญาฯกับกระทรวงคมนาคมได้อย่างไร ต้องมาไล่ดูกันใหม่ทั้งหมดว่าบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่ เพราะครม.มีมติให้บริษัท โฮปเวลล์ (ฮ่องกง) จำกัด เข้าทำสัญญาฯ แต่ไม่มาลงนามในสัญญาฯ กรณีนี้ไม่น่าจะมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ส่วนการให้บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด มาลงนามในสัญญาฯ โดยที่ครม.ไม่เคยมีมติเห็นชอบ หรือ อนุมัติมาก่อนจะมีสิทธิฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าเป็นโมฆะ แต่พูดตามเอกสารหลักฐานเท่านั้น เมื่อคณะทำงานคดีโฮปเวลล์ ตรวจพบความผิดปกติ หรือมีประเด็นข้อสงสัย ก็ต้องไปแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 แห่ง รับไปพิจารณา หากหน่วยงานเหล่านี้รับรู้รับทราบแล้ว ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ทำให้ประเทศชาติเสียหาย อาจถือว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 หรือไม่ ต้องพิจารณากันเอง

    “สำหรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วันนี้ยังไม่ได้พูดถึงว่าจะฟ้องคดี หรือไม่ฟ้อง แต่กำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง หากรัฐมนตรีทำผิด ก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพราะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ส่วนคณะทำงานด้านการเจรจากับบริษัทโฮปเวลล์ ก็ทำหน้าที่เจรจาไป ไม่เกี่ยวข้องกับคณะทำงานคดีโฮปเวลล์ เป็นคนละชุดกัน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม พยานเอกสารพร้อม ก็ต้องนำเสนอรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาตัดสินใจ” นายนิติธร กล่าว

    ถามว่าดคีนี้มีแนวโน้มจะฟ้องร้องต่อไป หรือ ยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัท โฮปเวลล์ ฯ นายนิติธร ตอบว่า “ในความเห็นส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวข้องกับคณะทำงานคดีโฮปเวลล์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผมคิดว่าไม่ควรจ่ายค่าเสียหาย เพราะข้อมูลพยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ ชี้ให้เห็นได้ว่ามีการดำเนินการหลายอย่างไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และสัญญาฯ ไม่น่ามีผลบังคับ ซึ่งเรามีเอกสารครบถ้วน คดีนี้ไม่ใช่เรื่องพยานบุคคล แต่เป็นคดีที่ว่ากันตามพยานเอกสาร เช่น มติ ครม. เป็นต้น”