ThaiPublica > เกาะกระแส > DSI แจงคดี “บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ” รวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้ามาก ประชุมนัดหน้า 26 ก.ย.

DSI แจงคดี “บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ” รวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้ามาก ประชุมนัดหน้า 26 ก.ย.

19 กันยายน 2019


พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ชี้แจงความคืบหน้าในการสอบสวนดำเนินคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณีนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง และแกนนำกลุ่มกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย หายตัวไปภายหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมตัวพร้อมรถจักรยานยนต์ในความผิดเกี่ยวกับการนำน้ำผึ้งป่าออกจากเขตอุทยานแห่งชาติโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ต่อสาธารณชนไปแล้ว นั้น

วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562) พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เชิญคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและที่ปรึกษาคดีพิเศษ ประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินการตามที่ได้มอบหมายให้ไปรวบรวมหลักฐานในประเด็นต่างๆ ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้ได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่าการรวบรวมหลักฐานตามประเด็นที่มอบหมายมีความคืบหน้าไปมาก ที่สำคัญมีดังนี้

    1. ให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเร่งรัดประสานงานสำนักงาน ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เพื่อขอรับสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ท. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีมีการจับกุมตัวนายพอละจีในความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติแล้วไม่ดำเนินคดี โดยอ้างว่าปล่อยตัวไป ที่ส่งมอบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มาเพื่อรวมเรื่องดำเนินการโดยเร็ว

    2. มีการสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมจำนวนหนึ่ง และมีการประสานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และศูนย์พิสูจน์หลักฐาน ภาค 7 เพื่อติดตามผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งการดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นและจะออกรายงานการตรวจพิสูจน์เพื่อส่งมอบให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษต่อไป

    3. ที่ประชุมมีกำหนดนัดประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และที่ปรึกษาคดีพิเศษ เพื่อติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่มอบหมายอีกครั้งในวันที่ 26 กันยายน 2562

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงรูปคดีและพยานหลักฐานที่ต้องรวบรวมเพิ่มเติม และเมื่อได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว จึงจะพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานพอกล่าวหาบุคคลใด ในฐานความผิดใดบ้าง และจะได้ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาหรือร้องขอต่อศาลเพื่อออกหมายจับทันที