ThaiPublica > เกาะกระแส > งานวิจัยเชิงพื้นที่ เก็บข้อมูลเชิงลึกตอบโจทย์แก้ความเหลื่อมล้ำการศึกษาตรงจุด ชี้มิติของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่าง

งานวิจัยเชิงพื้นที่ เก็บข้อมูลเชิงลึกตอบโจทย์แก้ความเหลื่อมล้ำการศึกษาตรงจุด ชี้มิติของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่าง

2 สิงหาคม 2019


รศ. ดร.ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาสุขภาพและการศึกษาของนักเรียน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)

แม้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะเป็นปัญหาที่มีมาอย่างช้านาน และเป็นปัญหาที่หากจะแก้ไขให้หมดไปอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยกระบวนการทำงานที่ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนวคิดหนึ่งในการแก้ปัญหานี้คือแก้ด้วยกระบวนการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ ก่อนจะจัดสรรเงินอุดหนุนให้ตรงกับปัญหาซึ่งนักเรียนกำลังเผชิญอยู่จริง

จากข้อมูลรายจ่ายการศึกษาแห่งชาติพบว่า ในโรงเรียนหนึ่งจะมีนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจน เฉลี่ยรายได้ไม่ถึง 3,000 บาทต่อเดือน หรือไม่ถึง 36,000 บาทต่อปี ครอบครัวเหล่านี้ต้องแบกรับรายจ่ายการศึกษาคิดเป็น 22% ของรายได้ ซึ่งสูงกว่าครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยที่รับภาระเพียง 6% ของรายได้ หรือเฉลี่ยแล้วคือต้องรับภาระมากกว่าถึงเกือบ 4 เท่า อันเป็นสาเหตุให้เด็กกลุ่มที่มาจากครอบครัวฐานะยากจนมีแนวโน้มออกจากโรงเรียนกลางคัน หรือหลุดจากระบบการศึกษา เป็นจำนวนเฉลี่ยปีละกว่า 670,000 คน

ขณะที่ประเทศไทยมีงบประมาณช่วยเหลือนักเรียนยากจน ที่เรียกว่าเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจนในสถานศึกษาแบบเท่ากันทุกคน แต่ในความเป็นจริง นักเรียนแต่ละคนหรือในแต่ละพื้นที่การศึกษาต่างมีปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน การช่วยเหลือในลักษณะดังกล่าวจึงอาจจะยังไม่ตรงจุด

รศ. ดร.ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาสุขภาพและการศึกษาของนักเรียน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) อธิบายว่า ที่ผ่านมามีการเก็บข้อมูลการศึกษาทั่วประเทศในเชิงภาพรวมมาโดยตลอด ช่วยให้เกิดมิติที่แตกต่างในการแก้ปัญหาและเป็นประโยชน์ต่อการคาดการณ์ทิศทางการแก้ปัญหาทางการศึกษาในอนาคต

แต่โดยสรุปแล้ววิธีดังกล่าว ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก เนื่องจากทำได้เพียงแสดงทิศทางของปัญหา ไม่สามารถเจาะลึกในลักษณะการกระจายรายได้ของประชากรในแต่ละพื้นที่ อันเป็นปัจจัยหลักของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร จึงทำการวิจัยจนได้ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามอุปสงค์ (demand-side financing) ตรงตามความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคล ในบริบทพื้นที่แตกต่างกัน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและบรรเทาอุปสรรคการมาเรียน

โครงการดังกล่าวเริ่มต้นที่โรงเรียนในสังกัด สพฐ.กับโครงการ ‘เงินอุดหนุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข’ โดยให้ สพฐ.เป็นหน่วยงานแรกในการปฏิรูปกระบวนการจัดสรรงบประมาณ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจนในระบบการศึกษา

รศ. ดร.ชัยยุทธ ระบุว่า การเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่ามิติของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่าง ซึ่งหมายถึงต้องการวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ขณะเดียวกัน ด้วยบริบททางสังคมของประชากร ที่ต่างกันด้วยสภาพแวดล้อม ทรัพยากร ความเจริญของเทคโนโลยี การกระจายงาน ทำให้พบอีกด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กต้องออกจากโรงเรียนกลางคันหรือตกหล่นจากการศึกษาภาคบังคับมีความแตกต่างกันไปด้วย

“มิติของพื้นที่ในที่นี้หมายถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชนหรือท้องถิ่น แม้กระทั่งองค์กรภาครัฐในแต่ละพื้นที่เอง ก็ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการศึกษาที่ต่างกันไปตามแนวทางของภูมิภาคนั้นๆ ซึ่งการนำวิธีการเจาะลึกข้อมูลในแต่ละพื้นที่อย่างละเอียดมาใช้ จะทำให้มองเห็นภาพดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้น

ที่ผ่านมา การเก็บข้อมูลแบบเก่าทำให้เกิดปัญหาอีกด้วยว่า บางครัวเรือนมีผู้ได้รับสิทธิ์ในบ้านเดียวกันสองคนขึ้นไป จึงได้รับสิทธิ์มากกว่าครอบครัวอื่น เช่น ผู้ด้อยโอกาสมากกว่าสองคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน หรือมีทั้งเด็กด้อยโอกาส ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยคนชรา หรือบ้างเป็นผู้พิการ ครอบครัวเหล่านี้ก็จะได้รับสิทธิ์ที่ซ้อนทับกัน แต่ด้วยการเก็บข้อมูลแบบเจาะลึกลงไปเป็นครัวเรือน ทำให้รัฐมีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการวางแผนจัดสรรเงินสวัสดิการ เนื่องจากธรรมชาติของประชากรเองมีการย้ายถิ่นที่อยู่ตามความจำเป็นทางอาชีพ หรือด้วยความจำเป็นทางการศึกษา จึงไม่สามารถยึดถือรายชื่อตามบันทึกในทะเบียนบ้านได้

การเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ยังมีบทบาทโดยตรงต่อโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขในการส่งเสริมการทำงานของรัฐ โดยแต่เดิมที่ สพฐ.ได้วางแผนงานโดยมองโครงสร้างการศึกษาของเด็กทั้งประเทศโดยรวม ทำให้การจัดสรรเงินอุดหนุนในแต่ละพื้นที่การศึกษายังช่วยเหลือเด็กได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากจำนวนเด็กด้อยโอกาสในแต่ละพื้นที่มีไม่เท่ากัน การจัดสรรเงินสวัสดิการจึงใช้วิธีเกลี่ยให้แต่ละจังหวัดโดยแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์” รศ. ดร.ชัยยุทธกล่าว

รศ. ดร.ชัยยุทธอธิบายอีกว่า ด้วยวิธีการเดิม สพฐ.จะแบ่งโควตาให้จังหวัดหนึ่งไม่เกิน 40% นั่นหมายถึงทุกจังหวัดจะได้เงินอุดหนุนเท่ากันทั้งหมด ขณะที่แต่ละจังหวัดมีเด็กด้อยโอกาสจำนวนไม่เท่ากัน ทำให้จังหวัดที่มีเด็กยากจนเยอะก็จะเข้าถึงสิทธิ์ได้น้อยลง ปัญหาจึงไปตกที่โรงเรียน เช่น บางโรงเรียนมีเด็กยากจน 100 คน แต่เขาได้สิทธิ์ที่จัดสรรสำหรับเด็กแค่ 40 คน ก็ต้องเอาเงินสำหรับเด็ก 40 คนไปเกลี่ยให้เด็กอีก 60 คนด้วย เพราะยังไม่มีข้อมูลเจาะลึกในระดับจังหวัด จึงกลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำชัดเจนในการมอบเงินสวัสดิการ เท่ากับว่าจังหวัดที่มีเด็กยากจนน้อยกว่าเขาก็ได้รับไปเต็มหมด สามารถจัดสรรให้เด็กได้มากกว่า

ดังนั้น การเก็บข้อมูลเชิงลึก ในระดับพื้นที่จึงมีความสำคัญมากต่อการจัดสรรความช่วยเหลือให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ตรงจุดกว่า