ThaiPublica > คอลัมน์ > ประชุมศาลาประชาคม กลุ่มธุรกิจตลาดทุน ภัทร (ตอนที่ 2): ปรัชญาและหลักการร่วมกันทำงาน

ประชุมศาลาประชาคม กลุ่มธุรกิจตลาดทุน ภัทร (ตอนที่ 2): ปรัชญาและหลักการร่วมกันทำงาน

2 มีนาคม 2019


บรรยง พงษ์พานิช

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/banyong.pongpanich

ในตอนที่ 1 ผมเล่าถึงประวัติภัทร ตอนนี้จะพูดถึงการสร้างงานที่มีความหมาย……

…มีปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตจะไม่มีความหมายเลยถ้าไม่ได้ทำงานที่มีความหมาย” ผมเป็นคนโชคดีที่ได้มาทำงานที่นี่ 42 ปี ได้มาสร้างเนื้อสร้างตัวรวมทั้งค้นพบความหมายของชีวิต ค้นพบฉันทะ (passion) จากการทำงานที่นี่ ได้สร้างความภาคภูมิใจที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นรวมไปถึงสังคมประเทศชาติ “ภัทร” เป็นที่ทำงานที่เป็น “สวรรค์” ของผมอย่างแท้จริง

สำหรับคนทั่วไป ที่ทำงานอย่างไหนถึงจะเป็น “สวรรค์” ได้นั้น ก็คงจะมีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ผมคิดว่า สำหรับคนที่เลือกมาแล้วว่ามีทัศนคติสอดคล้องกันอย่างพวกเราอย่างน้อยที่ทำงานที่เราตื่นขึ้นมาอยากทำงานทุกวันน่าจะมีคุณสมบัติ 5 อย่าง คือ “ได้เรียน-ได้ทำ-ได้สตางค์-ได้สนุก-ได้ภูมิใจ”

ในเรื่อง “ได้เรียน” นั้น ผมเชื่อว่าคนหนุ่มสาวทุกคนควรต้องกระตือรือล้นที่จะหาความรู้ใส่ตัว เพิ่มศักยภาพตัวเองไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่ภัทรนี้ เราพยายามที่จะให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (learning organization) อย่างแท้จริง ทุกคนต้องได้โอกาสที่จะได้เรียน ได้รู้ให้มากที่สุด ในบรรยากาศที่ทั้งกดดัน ทั้งสร้างสรร ทั้งโปร่งใส ผมมีกฎอยู่หกข้อในเรื่องนี้ ขอสรุปแบบสั้นๆ

…คนที่รู้ตัวว่าโง่เท่านั้นถึงจะเรียน …สำหรับที่นี่ ไม่เรียนไม่รอด …เมื่ออยากเรียนต้องได้เรียน …เราเรียนเพื่อคิดมากกว่าเรียนเพื่อรู้ …อย่าเสียดายเวลาอย่าหน่ายกระบวนการที่จะให้คนได้เรียน …เมื่อคนอื่นเรียนเราก็จะได้รู้ไปด้วย (ถ้าอยากรู้ขยายความ ไปหาอ่านในบทความ learning organization ที่ผมเคยเขียนไว้ได้) เราทุกคนต้องพยายามทำให้องค์กรเราเป็นแบบที่ว่า แล้วจะพบว่ามันเป็นเรื่องสนุกเร้าใจที่จะได้เรียนรู้ตลอดอายุขัย (lifelong learning) อย่างผมอายุจะหกสิบห้าอยู่แล้ว ยังไม่ยอมจากภัทรไปก็เพราะเหตุนี้อย่างเดียวแหละครับ เพราะรู้ว่าพ้นที่นี่ไป กระบวนการเรียนรู้ของผมต้องลดลงอย่างมากมาย

คนเราเมื่อได้เรียนได้เพิ่มศักยภาพแล้ว ย่อมต้องการ “ได้ทำ” คือได้โอกาสที่จะสร้างผลิตภาพ (productivity) ทั้งโดยตนเองทั้งร่วมกับผู้อื่น ที่ภัทร เราพยายามเป็นองค์กรแห่งโอกาส ให้ทุกคนได้มีเวทีเต็มศักยภาพ ได้ทำเต็มที่ ทุกคนจะถูกเรียกร้องถูกกระตุ้นให้คิดให้เสนอให้สร้างผลงานโดยไม่ต้องรอคำสั่ง

…แน่นอนครับ เราไม่สามารถบอกว่าใครอยากจะทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่แน่ใจว่าเป็น substance ย่อมสามารถหยิบยกนำเสนอได้ตลอดเวลา เราจะสร้างสรรอย่างมีวินัย ซึ่งวินัยของเราหมายถึงขอบเขตที่ทุกคนตระหนักรู้มากกว่าที่เพียงเขียนขึ้นมาเป็นกฎ เป็นวินัยอย่างอารยะ ไม่ใช่ tyranical discipline อย่างที่เข้าใจกันทั่วไป …ผมมีเพื่อนที่เก่งกว่าผมมากมาย (เพื่อนทุกคนเรียนได้ GPA สูงกว่าผม) ที่พูดกับผมว่า

“มึงเป็นคนโชคดีชิบหายที่ได้โอกาส ได้อยู่ในที่ที่เขาให้โอกาส กูนี่ซวยสัสไปอยู่ที่ไหนก็เจอแต่เจ้านายใจแคบ เพื่อนร่วมงานใจร้าย สาระพัดเคราะห์กรรม” ที่นี่เราจะไม่ยอมให้คนภัทรต้องออกไปบ่นกับคนข้างนอกอย่างนี้ ซึ่งทางเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือเราต้องมีช่องทางให้เขาบ่นได้ข้างใน เรามีวัฒนธรรม “อนุญาตให้ข้ามขึ้นได้” ทุกคนถ้าไม่มั่นใจ direct supervisor ก็ข้ามขึ้นไปบ่นได้เลย กี่ขั้นก็ได้จนถึงผม ขอให้มี substance เท่านั้น ส่วนพวก supervisors ทั้งหลายก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะเราจะ “ไม่มีการข้ามลง” ทุกอย่างจะถูกปรึกษาหารือลงไปตามลำดับขั้น วิธีนี้จะทำให้ ถ้ามีการเข้าใจผิดก็จะได้ปรับกัน ถ้ามีบกพร่องก็จะได้แก้ไข เพื่อจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขสร้างผลิตภาพร่วมกันได้เต็มที่

แน่นอนครับ เราไม่ได้มาเสียสละ มาทำงานสาธารณะ เมื่อได้ทำได้สร้างผลิตผลผลิตภาพแล้วทุกคนจะต้อง “ได้สตางค์” คือได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับงานที่ทำไป อย่างที่เราเคยประกาศอุดมการณ์ร่วมกันว่า “เราจะอ้วนให้ได้ โดยที่ไม่ต้องเอี้ย” เรายอมทำงานหนักอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดจริยธรรม แต่เราทุกคนก็ต้องการสร้างตัวต้องการมั่งคั่งดูแลครอบครัวได้ดี

…เชื่อไหมครับ ที่ภัทรนี่ เราจ่ายค่าตอบแทนต่อหัวบุคคลากรโดยเฉลี่ยสูงกว่าบริษัทหลักทรัพย์ไทยอื่นๆ ถึงสามเท่าครึ่ง ซึ่งก็แน่นอนที่เราทำอย่างนั้นได้ก็เพราะพวกเรามีประสิทธิผล (productivity) มากกว่า สร้างรายได้ต่อหัวมากกว่าเขาเฉลี่ยสี่เท่า (แหะๆ ผู้ถือหุ้นขอเอาเปรียบนี้ดนึง) ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะเราเก่ง หรือทำงานหนักกว่าเขาสี่เท่าหรอกครับ แต่มันเป็นเพราะเรามี business model และวิธีการทำงานเป็นทีมที่ทำให้สร้างผลิตภาพได้สี่เท่า …ผมกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดทั้งๆ ที่รู้ดีว่าพวกเราที่ฟังอยู่กว่าครึ่งยังไม่ได้มากกว่าเพื่อนที่อื่นสามเท่าครึ่งหรอก แต่อย่างน้อยก็มาบอกว่ามันมีโอกาส เพราะข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น

พวกเราทำงานกันหนัก วันๆ กว่าสิบชั่วโมง ใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้านเสียอีก ซึ่งนี่คือต้นทุนที่สูงมากทั้งต่อพวกเราและครอบครัว เราจะทำเช่นนั้นไม่ได้นานหรอกถ้าไม่ “ได้สนุก” ไปด้วย ที่นี่เราอยากให้ทุกคนตื่นมาทุกเช้าแล้วอยากมาทำงานอย่างมีความสุข มีความสนุกสนาน เราแยกแยะ “ความจริงจัง” ออกจาก “ความเคร่งเครียด” เราส่งเสริมการเคารพซึ่งกันและกัน แน่นอนครับ การมีประสิทธิภาพนั้นต้องมาจากการแข่งขัน เราร่วมกันแข่งขันกับผู้อื่น และระหว่างพวกเราก็มีการแข่งขันกันเป็นธรรมดา แต่เราพยายามสร้างบรรยากาศการแข่งขันอย่างเป็นมิตร ไม่มีการขัดแข้งขา แข่งแบบดีด้วยกัน ผู้ชนะวิ่งเร็วขึ้น ผู้แพ้ก็วิ่งเร็วขึ้น มีรางวัลให้ทุกคน

…ผมจะไม่พูดหรอกครับว่าที่นี่ไม่มีการเมือง แต่เราต้องระวังให้มีในระดับที่ยอมรับได้ และพยายามให้เป็นการเมืองแบบสร้างสรรค์
…เราให้ความสำคัญกับบรรยากาศและวัฒนธรรมการทำงานอย่างมาก ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงาน พวกเราได้ชื่อว่าเป็นพวก work hard & play hard อย่างกิจกรรมใหญ่ที่ทุกคนเข้าร่วมประจำปีทั้งสามอย่าง คือ off-site ไปปาร์ตี้ต่างจังหวัดสามวันสองคืน งานกีฬาสีที่ขับเคี่ยวกันอย่างสุดๆ และงานปีใหม่เมากลิ้ง ถึงจะดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็เป็นการไร้สาระที่เข้มข้นที่สุด ประทับใจสร้างประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง ใครไม่ได้มาร่วมด้วยตนเองไม่มีทางคาดเดาได้หรอกครับว่ามันเป็นอย่างไร

อ่านต่อตอนที่3 (จบ)

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562