ThaiPublica > เกาะกระแส > ส.ผู้ค้าปลีกไทย จี้ AOT ปลดล็อคประมูลสัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” แยกตามหมวดสินค้า สลายผูกขาด – เพิ่มรายได้ประเทศ

ส.ผู้ค้าปลีกไทย จี้ AOT ปลดล็อคประมูลสัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” แยกตามหมวดสินค้า สลายผูกขาด – เพิ่มรายได้ประเทศ

21 กุมภาพันธ์ 2019


เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แถลงข่าว กรณีคณะกรรมการ ทอท. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การให้สิทธิประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในท่าอากาศยาน (TOR) ณ ห้องประชุมชั้น 12 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย อาคารว่องวานิช 2

หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “บอร์ด ทอท.” ครั้งที่ 3/2562 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางในการให้สิทธิประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. โดยให้แยกเป็น 3 สัญญาใหญ่ ได้แก่ กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (duty free), กิจกรรมเชิงพาณิชย์ (retail, F&B, service และ bank) และกิจการให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (duty free pick-up counter) ออกจากกัน รวมทั้งมีมติเห็นชอบในหลักการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ตามที่ฝ่ายบริหาร ทอท. เสนอ โดยมอบหมายให้ฝ่ายบริหาร ทอท. ตรวจสอบข้อกำหนดและตรวจสอบละเอียดให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ก่อนที่จะดำเนินการประกาศต่อไป โดยไม่มีรายละเอียดของหลักการ TOR แต่อย่างใด

นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า กรณีที่บอร์ด ทอท. มีมติเห็นชอบแนวทางในการให้สิทธิประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. โดยให้แยก 3 สัญญาใหญ่ ได้แก่ กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร, กิจกรรมเชิงพาณิชย์ และกิจการให้บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรออกจากกัน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเป็นกิจการที่มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กัน แต่ก็มีลักษณะของธุรกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งธุรกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรเกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะในกลุ่มสินค้าแต่ละกลุ่ม ส่วนของกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เป็นธุรกิจบริการที่มาส่งเสริมให้การเดินทางผ่านสนามบินเป็นไปอย่างมีความสุขสนุกสนาน เกิดความประทับใจ

  • มติบอร์ด ทอท. ล้มงานออกแบบเทอร์มินอล 2 สุวรรณภูมิ – แยกประมูล 3 สัญญา “ดิวตี้ฟรี-พื้นที่เชิงพาณิชย์-จุดส่งมอบสินค้า”
  • ปมขัดแย้ง ทอท. vs สมาคมการค้าฯ “เปิดเสรี-ผูกขาดดิวตี้ฟรี” จากสนามบินสุวรรณภูมิถึงทำเนียบรัฐบาล
  • 3 สมาคมการค้า ร้อง “บิ๊กตู่” เปิดเสรี “ดิวตี้ฟรี” – แนะแยกประมูลตามหมวดสินค้า
  • อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีรายละเอียด TOR ของกิจการทั้ง 3 ประเภท แต่สมาคมฯ ยังคงยืนยันตามข้อเสนอเดิมที่เคยส่งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา กล่าวคือ สมาคมฯ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะกำหนดเกณฑ์เงื่อนไขสัมปทานดิวตี้ฟรี สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นแบบรายเดียว (master concession)

    โดยสมาคมฯ ได้มีการนำเสนอถึงข้อดีของการกำหนดเกณฑ์สัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้า (concession by category) มาโดยตลอด และได้มีการยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาข้อเสนออย่างรอบคอบ ทั้งนี้ สมาคมฯ ยังคงยืนยันที่จะนำเสนอให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านรับทราบถึงข้อดีของการสัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้า ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และมีผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เพื่อให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐและประชาชน ทางสมาคมฯ ยังคงย้ำชัดถึงการใช้ระบบสัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้า เช่น หมวดเครื่องสำอาง หมวดสุรา และบุหรี่ หมวดสินค้าแฟชั่น จะทำให้มีความหลากหลายของสินค้า สินค้ามีคุณภาพและไม่ถูกจำกัด ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเติบโต และนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าถูกใจได้มากขึ้น คาดว่าจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมาจากการเพิ่มอัตราการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และการดึงคนไทยให้กลับมาใช้จ่ายในประเทศนั่นเอง

    นอกจากนี้สมาคมฯ ยังมีความเห็นว่า การจะกำหนดหลักเกณฑ์ TOR โดยนำร้านค้าปลอดอากรของสนามบินสุวรรณภูมิมารวมเข้ากับสนามบินภูมิภาคอีก 3 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. ได้แก่ สนามบินเชียงใหม่, สนามบินหาดใหญ่ และสนามบินภูเก็ต เป็นแนวทางที่สมาคมฯ ไม่เห็นด้วย เนื่องจากสนามบินแต่ละแห่งมีลักษณะต่างกัน การกำหนดหลักเกณฑ์จึงควรแยกจากกัน เพราะสนามบินภูมิภาคทั้ง 3 แห่งมีพื้นที่ขนาดเล็กประมาณ 1,000-1,200 ตารางเมตรเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เห็นด้วยหากทางฝ่ายบริหาร ทอท. จะนำสนามบินภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง คือ สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหาดใหญ่ และสนามบินภูเก็ต มารวมกันเป็นสัมปทานเดียวแล้วนำออกมาประมูล ซึ่งอาจจะกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรเป็นสัมปทานแบบรายเดียว ซึ่งสามารถดำเนินการได้ เพราะมีขนาดเล็ก

    แต่สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 12,000-15,000 ตารางเมตร และมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 60 ล้านคนต่อปี ควรกำหนดหลักเกณฑ์สัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้ามากกว่าการกำหนดให้เป็นสัมปทานแบบรายเดียว เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่สมดุลและเป็นธรรม ซึ่งทางสมาคมฯ มีความเห็นว่า สัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้าไม่ได้มีความยุ่งยากในการบริหารจัดการแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีผู้ได้รับสัมปทานหลายราย หากมีการบริหารจัดการล่วงหน้าที่ดี มีการจัดสรรพื้นที่ตั้งร้านค้า ตามหมวดหมู่สินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพของอาคารผู้โดยสารและเส้นทางการเดินของผู้โดยสาร (passenger flow) การกำหนดหลักเกณฑ์สัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้าจะทำให้เกิดความง่ายในการบริหารมากกว่า เพราะผู้ประกอบการมีความเชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มสินค้า จะทำให้เกิดความหลากหลาย และถูกใจนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

    นายวรวุฒิ อุ่นใจ
    ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

    นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ปัจจุบันผลการดำเนินงานของ ทอท. ทั้งในส่วนกิจการร้านค้าปลอดอากร และกิจกรรมเชิงพาณิชย์ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใช้ระบบสัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้า อย่างเช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และสิงคโปร์ ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ ทอท. มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากจะใช้ระบบสัมปทานแบบหมวดหมู่สินค้าแล้ว ทอท. ควรปรับอัตราการจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้รับสัมปทานขึ้นเป็น 30-40% ตามมาตรฐานสากล จากที่ปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 15-18% เท่านั้น

    ส่วนประเด็นเรื่อง การเปิดจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะ ทางสมาคมฯ ขอเรียกร้องให้ ทอท. เป็นผู้ดำเนินการให้บริการเปิดจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะโดยไม่ต้องเปิดสัมปทาน หรือหากจะให้สัมปทานควรกำหนดหลักเกณฑ์ว่า ผู้ที่จะเข้าประมูลสัมปทานในกรณีนี้ต้องไม่ประกอบธุรกิจร้านค้าปลอดอากรในเมือง หรือมีส่วนได้เสียในสัมปทานร้านค้าปลอดอากร หาก ทอท. ให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในสนามบินเป็นผู้ให้บริการจุดส่งมอบสินค้าด้วยแล้ว อาจจะสามารถล่วงรู้ข้อมูลของผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในเมืองรายอื่นที่เป็นคู่แข่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ดังนั้น ทางสมาคมฯ มีความเห็นว่า ฝ่ายบริหาร ทอท. ควรเป็นผู้ดำเนินการจุดรับมอบสินค้าสาธารณะเอง โดย ทอท. จะได้วางระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ข้อมูลการรับเข้าและนำออกสินค้าปลอดอากรจากคลังสินค้าทัณฑ์บนของกรมศุลกากร เชื่อมโยงกับข้อมูลการขายผ่านเครื่องเครื่องบันทึกการขายจากร้านค้าปลอดอากร ไปจนถึงจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และแสดงถึงความโปร่งใสทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้ายสินค้า

    อย่างไรก็ตาม ทิศทางของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยต่อจากนี้ จะยังคงเฝ้าจับตาสถานการณ์การประมูล รายละเอียดเงื่อนไขของการประมูล ตลอดจนกระบวนการในการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติและการเปิดซองประมูล และรวมถึงกระบวนการหลังการประมูล ทุกขั้นตอนที่ต้องโปร่งใส เป็นธรรม และ ตรวจสอบได้ สมาคมฯ ขอย้ำจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอดว่า ไม่ว่าผลของการประมูลจะเป็นอย่างไร สมาคมฯ ยังคงยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ