เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธาน
เผยอนาคตการเมือง เลือกอยู่พรรคที่สานต่อนโยบายรัฐบาล
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงบทบาทและอนาคตทางการเมืองหลังเลือกตั้งว่า เรื่องนี้ได้ตนบอกหลายครั้งแล้วอยู่ในช่วงการตัดสินใจ ว่าควรจะอยู่ทำงานต่อหรือไม่ หากอยู่ต่อจะอยู่ได้ด้วยอะไร ฉะนั้น กำลังดูว่า ถ้าต้องอยู่จะต้องทำอย่างไร
“อันแรก พรรคการเมืองต้องมาเชิญผมก่อน และผมจะตอบรับใครหรือเปล่าก็ต้องคิดดู ถ้าคิดว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานต่อ ก็คงต้องอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้จะต้องเป็นพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละอย่างแท้จริง และทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า ไม่ใช่ไปล้มล้างทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด มันเสียเวลาเปล่า มีหลายอย่างที่สำเร็จมา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ต่อคำถามกรณีพรรคพลังประชารัฐเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่รับการติดต่อจากพรรคพลังประชารัฐ ส่วนกรณีที่พลังประชารัฐชูนโยบายแปลงที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดให้เกษตรกรนั้น อยู่ในขั้นตอนการหารือ สิ่งที่ตนบอกได้ในตอนนี้คือ ระมัดระวังหน่อย การจะเอาที่ดิน ส.ป.ก.ออกเป็นโฉนดเหมาะสมหรือไม่
“ผมได้เตือนไปแล้วผ่านทางสื่อและอะไรต่างๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นที่ดินเหล่านี้ จากที่ใช้ทำการเกษตรจะไปเป็นอย่างอื่นหมด ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังหาวิธีการ หามาตรการให้ที่ดินเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากว่าการทำการเกษตร เช่น การนำไปตั้งวิสาหกิจชุมชน หรือทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ในกรณีที่พื้นที่ไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ไม่สนใจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ยันเดินหน้าครม.สัญจร หลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งมีผล วอนอย่ามองได้เปรียบ
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง มีผลบังคับใช้ รัฐบาลจะยังเดินสายประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรอีกหรือไม่ เพราะมีหลายพรรคกังวลความได้เปรียบและเสียเปรียบทางการเมือง ว่า พระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งจะออกมาในเร็ววันนี้ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจด้วยว่ารัฐบาลต้องทำงาน อีกทั้งเป็นรัฐบาลที่เข้ามาด้วยวิธีพิเศษ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำคือการแก้ปัญหาที่เป็นวาระชาติ ซึ่งหลายเรื่องได้ทำสำเร็จไปแล้ว และยังต้องแก้ไขปัญหาในเรื่องกฎหมายเพื่อขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่ในอดีตที่ผ่านมา
ทั้งนี้ตนขออย่ามองเพียงเรื่องได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะรัฐบาลไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แต่ทำตามนโยบายที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นหากรอแต่รัฐบาลหน้า ประชาชนก็ไม่ได้รับการดูแล
ซึ่งในอนาคตหากรัฐบาลหน้าเห็นว่าดีกว่าก็ทำใหม่ได้ แต่ไม่ใช่ล้มล้างกฎหมาย และ พ.ร.บ.การเงินการคลังทั้งหมด โดยเฉพาะวันนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมาตรการป้องกันการทุจริตกรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐจากโครงการรับ จำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มาแล้ว โดยรัฐบาลนี้ได้ทำตามมาตลอด จึงถือเป็นความแตกต่าง
เตือน “พรรคการเมือง” หาเสียง ระวังทำลายรากฐาน ปท.
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า เรื่องของรัฐธรรมนูญเรามีการปรับแก้รัฐธรรมนูญมาหลายครั้งเต็มที ดังนั้นวันนี้เมื่อเขาร่างรัฐธรรมนูญมาแบบนี้เราก็ต้องยอมรับ และตนก็ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับตรงนี้ เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ เมื่อร่างมาก็มีการนำเอาบทเรียน ปัญหาอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นมาแก้ไขจนเป็นกติกาใหม่ออกมา ซึ่งหลายคนก็ไม่ยอมรับ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการลงประชามติมาแล้ว ก็ต้องเคารพเสียงของประชาชนด้วย และปฏิบัติตามกติกาใหม่นี้ให้ได้ จากนั้นก็มาคอยดูว่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นบ้างหรือไม่ แก้ปัญหาเดิมๆ ได้หรือเปล่า ความขัดแย้งลดลงหรือไม่
“สิ่งสำคัญที่สุดเรามักให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญมากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะถือเป็นกฎหมายกรอบสำคัญของประเทศ แต่กฎหมายลูกทุกคนไม่ค่อยสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ) หรือพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กฎกระทรวง ไม่เคยสนใจเลย ทุกคนเอาแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญทั้ง 300 กว่ามาตรามาสู้กัน มันไม่ได้”
“ทุกคนจะต้องดูสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมา แก้ปัญหาทีละล็อกเป็นกิจกรรม ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่สามารถปรับตัวเองได้ เพราะไม่รู้ช่องทาง ง่ายที่สุดก็คือเปิดดูในโทรศัพท์ตามเว็บไซต์ที่เกี่ยวข่องมีการชี้แจงของแต่ละหน่วยงานอยู่แล้ว ไม่ใช่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย บางคนก็โพสต์ว่าไม่เป็นธรรมไม่เท่าเทียม ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้แก้กฎหมายให้เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ เราทำให้กับรายเล็กๆ จำนวนมากเพื่อให้เกิดความเป็นสากล” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเตือนพรรคการเมืองในเรื่องของการหาเสียงว่า ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณจะต้องระวังให้มากที่สุด ไม่ใช่โจมตีรัฐบาลนี้ แต่พอถึงรัฐบาลหน้าก็จะทำนี่ทำโน่น ยืนยันรัฐบาลนี้ทำตามกฎหมายทุกประการ ฉะนั้นอย่าไปพูดจาอะไรที่ไม่ถูกกฎหมายหรือไม่ถูกต้องตามท พ.ร.บ.การเงินการคลัง เพราะ พ.ร.บ.การใช้จ่ายงบประมาณครอบคลุมไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว ที่ออกมาพูดกันไปมาขณะนี้ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ ก็ขอให้ระมัดระวังในวันข้างหน้าด้วย
ทั้งนี้ ป.ป.ช.มีการออกระเบียบมาจำนวนมาก วันข้างหน้าหากถูกฟ้องขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นไปตามกฎหมายใหม่ทั้งสิ้น อย่าลืมว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำหรือแก้ปัญหา ทั้งหมดก็เพื่อความสงบเรียบร้อย การแก้ไขปัญหายาเสพติดถึงแม้จะไม่ 100% แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก รวมทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำ การบุกรุกป่า แก้ปัญหาเกษตรครบวงจร การประมง การค้ามนุษย์ การค้าการลงทุนที่วันนี้มีการลงทุนไป 9 แสนกว่าล้านบาทในพื้นที่อีอีซี ดังนั้น ถ้าทุกคนประกาศจะยกเลิกอีอีซี ตนขอถามว่า แล้วสิ่งที่มีการลงทุนไปจะทำอย่างไร ทุกคนก็เลิกทั้งหมด แล้วจะทำอย่างไร ทุกอย่างจะกลับมาสู่ที่เก่าทั้งหมดแล้วใครจะรับผิดชอบ
“กรุณาเตือนพรรคการเมืองด้วย อย่าลืมว่า การก่อสร้างบ้านของเรานี้อยู่ระหว่างการตอกเสาเข็ม ต่อเติมพื้นล่างขึ้นมา แล้วพวกท่านยังจะมาทำลายรากฐานของมัน ทำลายกฎหมายทุกตัว แล้วประเทศจะไปได้หรือไม่ หากทำเช่นนี้ ขอร้องว่าอย่าเพิ่งมาช่วยกันทำลายสิ่งเหล่านี้เลย เพียงแค่จะเอาชนะทางการเมืองกันอย่างเดียว ผมอยากจะขอร้องตรงนี้จะทำให้เสียประโยชน์กับคนทุกฝ่าย เสียหายกันไปทั้งหมดแล้วจะแก้กันอย่างไร”
“หรือจะแก้ด้วยนโยบายที่พูดกันไปมาในวันนี้ แล้วมันจะแก้ได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าแก้ได้จริงก็คงแก้กันมานานแล้ว เพราะทุกคนที่ออกมาพูดก็เคยอยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วทั้งสิ้น หลายอย่างที่พูดออกมาก็แสดงให้เห็นว่าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้รัฐบาลได้ทำไปแล้ว ออกมาพูดซ้ำ อยากให้ไปดูว่า นโยบายของบางพรรคการเมือง ซ้ำกับสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว แม้แต่ออกไปต่างประเทศก็พูดอยู่นั้น รถไฟฟ้าก็ไม่รู้ว่ายุทธศาสตร์เขามีอย่างไร ทำอะไรไปแล้วบ้าง สื่อมวลชนเอง ถ้ามัวแต่จะเอาแต่ข่าวความขัดแย้งมากๆ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
แจงมาตรการคุมค่ารักษาพยาบาล – ย้ำ รพ.ต้องติดป้ายบอกราคาชัดเจน
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความชัดเจนของมติ ครม. ควบคุมค่าบริการทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ ได้มีการกำชับแนวทางอย่างไร ให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ประกอบการและผู้รักษาพยาบาล ว่า สิ่งที่ทำตอนนี้คือให้ไปกำหนดมาตรการมา แต่ไม่ใช่จะไปควบคุมราคาทั้งหมด ตอนนี้ให้ไปหามาตรการที่เหมาะสมมา เรื่องนี้เป็นการกำหนดสินค้าและบริการในหลายๆ รายการ ซึ่งจะปรับปรุงทุกๆ 2 ปี ตรงนี้จะมีอนุกรรมการจากทุกภาคส่วนพิจารณากำหนดมาตรการเดิมมีเพียงแค่ควบคุมบางรายการ 50 กว่าชนิด
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 อยู่แล้ว ระบุว่า สถานพยาบาลทุกแห่งจะต้องจัดให้มีป้ายสอบถามอัตราค่าบริการ และต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่นๆ และสิทธิผู้ป่วย ณ สถานบริการ ซึ่งผู้ป่วยสามารถตรวจสอบได้กับเข้ารับบริการ ดังนั้นก็เป็นทางเลือกของประชาชน เข้าไปโรงพยาบาลก็สามารถสอบถามค่าบริการได้ก่อน
“หากพบว่าสถานพยาบาลไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนี้ก็ให้ร้องเรียนกันมา รวมไปถึงเมื่อรักษาพยาบาลไปแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนได้ มีช่องทางร้องเรียนทั้งหมด อยากจะกล่าวแค่นี้ อย่าทำให้ทุกอย่างขยายความเรื่อยๆ เลย จะได้ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างโรงพยาบาลเอกชนกับผู้รับบริการ และภาพพจน์การเป็นผู้นำด้านการรักษาพยาบาลของไทย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเคยควบคุมสินค้าบางชนิดอย่างน้ำปลา ซึ่งปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว วันนี้กระทรวงสาธารณะสุขก็ได้มีการปรับดูแลโรงพยาบาลเอกชนในระดับหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จะต้องปรับปรุงทั้งผู้ให้และผู้บริการ โรงพยาบาลมี 2 ส่วน คือ โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ต้องดูถึงความแตกต่างตรงนี้ ตอนนี้ต้องกำหนดมาตรการมา ไม่ใช่ว่าไปกำหนดราคาทุกอย่าง
“คงไม่ใช่แค่มาตรฐานการรักษาพยาบาลเท่านั้น คงต้องมีมาตรฐานและความโปร่งใสด้านราคาด้วย เพราะเป็นกลไกสำคัญ ที่ต้องทบทวนเรื่องนี้เพราะอยู่ในกรอบการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ด้วย เพราะยาและเวชภัณฑ์ก็เป็นสินค้าเช่นกัน ยังมีกฎหมายหลายตัว อย่าเพิ่งไปวิตกตื่นเต้น รัฐบาลทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม อย่าไปขับเคลื่อนเคลื่อนไหวในทางไม่ถูกต้อง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทดลองใช้โดรนฉีดน้ำสลายฝุ่นพิษ – สั่งขรก.ดับเครื่องขณะจอดรถรอ
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีชาวบ้านร้องเรียนเรื่องโรงซ่อมของการรถไฟแห่งประเทศไทย มักกะสัน ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานว่า วันนี้ได้สั่งการไปแล้ว ให้ติดตามมาตรการ ว่ามีการป้องกันหรือไม่ เพราะฝุ่นละออง PM2.5 เกิดจากหลายส่วนไม่ใช่ภาครัฐอย่างเดียว ซึ่งทุกคนต้องร่วมกันความรับผิดชอบ และวันนี้ได้กำชับกระทรวงคมนาคมและการรถไฟ รวมถึงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามระเบียบการป้องกันฝุ่นละออง
ต่อกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทดลองใช้โดรนโปรยละอองน้ำจากอากาศเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานนั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่าเป็นเพียงแค่การทดลอง อย่าเพิ่งติติงว่าจะได้ประโยชน์หรือหลอกลวง เพราะต้องทดลองว่าจะใช้สารโปรยกำจัดฝุ่นละอองในปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา
“ก็ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมโดรน ทำการทดสอบในพื้นที่จำกัดระดับ ความสูงประมาณ 25 เมตร และเป็นระดับที่ฉีดน้ำไม่ถึง ซึ่งเท่าที่นำเครื่องมือวัดฝุ่นละอองของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าปริมาณฝุ่นละอองลดลงมาก จึงต้องคิดต่อว่าจะใช้โดรนบินโปรยสารต่อได้หรือไม่ เพราะในต่างประเทศก็เคยใช้เหมือนกัน อย่าเพิ่งติติงว่าไม่ได้ ไม่ใช่ ทุกอย่างต้องมีการทดลอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการติดเครื่องรถยนต์รอในพื้นที่ราชการว่า ตนได้ย้ำไปในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ข้าราชการไม่ต้องติดเครื่องยนต์รอนาน และรถของนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งไปแล้วว่าไม่ต้องติดเครื่องยนต์ เพราะมีกลิ่นเหม็น เปลืองน้ำมัน และทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพ ซึ่งตนได้ทำเป็นตัวอย่างแล้วด้วย ดังนั้นทุกคนก็ต้องช่วยกัน
อย่างไรก็ตาม มีรถหลายหลายประเภทที่ติดเครื่องไว้นานๆ เช่น รถแท็กซี่ รถสาธารณะ และรถขนส่งมวลชนทั้งหมด แต่หากจะต้องหยุดทั้งหมดก็คงเป็นไปไม่ได้ จึงต้องหามาตรการที่เหมาะสม และในระหว่างนี้ต้องไม่ติดเครื่องยนต์เร็วจนเกินไปก่อนออกเดินทาง และหากวันนี้กำหนดบทลงโทษก็จะยุ่งกันไปใหญ่ หากปฏิบัติไม่ได้ก็จะเดือดร้อนอีก และเมื่อวานนี้ตนเองได้ออกแถลงการณ์ไปแล้ว จึงขออย่าให้ใครมาบิดเบือนว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย
ชี้ปัญหาภาคใต้ไม่เกี่ยวปมศาสนา – กำชับคุมเข้ม พท.เสี่ยง
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักจุฬาราชมนตรี นักวิชาการ และประชาชนมุสลิม ห่วงว่าสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของศาสนา และเกรงว่าสถานการณ์จะบานปลายแบบรัฐยะไข่ ประเทศพม่า ว่า อย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา เพราะทางผู้แทนประเทศมุสลิมก็มาเยี่ยมเยือนหลายครั้ง จัดคณะทำงานไปดูและสอบถามประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ เขาก็บอกว่า ไม่ใช่ความขัดแย้ง เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งที่ไม่ใช่รูปแบบเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ฉะนั้นต้องไม่เอาหลายอย่างไปพันกัน
“สิ่งที่ผมอยากให้ความสำคัญก็คือสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าช่วงนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเพราะอะไร เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมืองหรือเปล่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งอะไรหรือไม่ เกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องไปดูให้ชัดเจน วันนี้ก็มีหลายกลุ่ม หลายฝ่ายที่ออกมาสร้างเหตุรุนแรงในขณะนี้เพื่อยกระดับตัวเองให้มีเกรดสูงขึ้น”
“ยังไม่ถึงตรงนั้น เราต้องไปไปเข้าล็อกของเขา เขาก็มีวิธีที่จะกดดันรัฐบาล จะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เขาต้องการ เป็นสงครามทางความคิด เราก็อย่าเอาความคิดไปตกหลุมตรงนั้น วันนี้ได้กำชับไปหลายอย่างด้วยกัน เพราะจุดที่อ่อนไหว และพื้นที่เสี่ยง มีจำนวนมาก ทั้งวัด โรงเรียน เด็ก ครู สถานที่ประกอบธุรกิจทั้งหมด แม้กระทั่งฐานของทหารก็เสี่ยง เพราะถูกแวดล้อมไปด้วยประชาชนทั้งหมด ฉะนั้นต้องหามาตรการการข่าวที่เหมาะสม ระมัดระวังตัวเอง ระมัดระวังผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการทุกอย่างต้องเข้มงวด ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่ก็ต้องร่วมมือด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ ทิ้งท้ายว่า บางครั้งการกำหนดมาตรการออกมาก็ปฏิบัติได้ยาก เพราะประชาชนที่ไม่เดือดร้อนก็กลัวจะกระทบสิทธิ์ของเขา ดังนั้น หากต้องการสิทธิเสรีภาพมากที่สุด ความไม่ปลอดภัยก็เกิดขึ้นตามมา
เผยซ่อมบ้านผู้ประสบภัยพายุ “ปาบึก” เสร็จ 97%
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุปาบึกว่า วันนี้รัฐบาลจำเป็นต้องแถลงชี้แจงให้ทราบในเรื่องสำคัญ คือ การซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งที่ต้องซ่อมทั้งหลังและบางส่วน มีจำนวนรวมกว่า 50,000 หลัง โดยปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ทั้ง พลเรือน ตำรวจ ทหาร อาชีวศึกษา ได้ดำเนินการซ่อมแซมไปแล้ว 97% เหลืออีกเพียง 2,000 หลัง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็ววันนี้ ทั้งนี้รัฐบาลยังต้องติดตามมาตรการการช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล
มติ ครม.มีดังนี้
ตั้งอนุกรรมการ 3 ฝ่าย คุมราคาค่ารักษาพยาบาล
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าววา ครม.มีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ตามที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซี่งประชุมเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2562 โดยกำหนดเพิ่มรายการสินค้าและบริการควบคุมเพิ่ม 2 รายการ ได้แก่1) เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค (หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์) และ 2) บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นขอลสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค (หมวดบริการ)
“แต่เนื่องจากการบริการทางการแพทย์มีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างไปจากสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น อาจจะมีความหลากหลายและไม่ได้มีราคาเดียว ทำให้คงไม่สามารถการควบคุมแบบราคาสูงสุดเหมือนสินค้าทั่วไปได้ ดังนั้น ครม.อนุมัติให้ตั้งอนุกรรมการการพิจารณาราคายาและเวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ประกอบจาก 3 ฝ่าย คือ รัฐ ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, เอกชน ประกอบด้วยสมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัย และประชาชน ประกอบด้วยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และผู้ทรงคุณวุมิด้านเศรษฐศาสตร์ โดยหลักการจะเน้นหารือให้ความธรรมกับทั้ง 2 ฝ่ายคือผู้ประกอบการก็ต้องแข่งขันได้อยู่ได้ ขณะที่ประชาชนก็ต้องได้รับบริการที่ไม่แพงกว่าที่ควรจะเป็นเกินไป” นายสนธิรัตน์กล่าว
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าสำหรับกรอบเวลาของการประชุมคณะอนุกรรมการอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณา แต่เบื้องต้นได้รายงานว่าจะรีบหารือให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ครม.ยังได้ยกเลิกรายการสืนค้าควบคุมอีก 4 รายการ ได้แก่ 1) เยื่อกระดาษ เนื่องจากภาวะการค้าปกติ ราคาค่อนข้างทรงตัว 2) แบตเตอรี่รถยนต์ เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูง ผู้ผลิตมีการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง 3) เม็ดพลาสติก เนื่องจากมีผู้ผลิตหลายรายและตลาดมีการแข่งขันสูง จึงไม่มีปัญหาด้านกลไกราคา และ 4) น้ำตาลทราย เพื่อให้สอดคล้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมที่ประกาศลอยตัวน้ำตาลทรายและปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด รวมทั้งตลาดมีการแข่งขันและปัจจุบันสถานการณ์สอดคล้องกับกลไกตลาด
นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติให้คงรายการสินค้าและบริการควบคุมอีก 50 รายการ แบ่งเป็นสินค้า 45 รายการ และบริการ 5 รายการ โดยปรับเพิ่มข้อความรายการสินค้าควบคุม 1 รายการ ได้แก่ ข้าวสาลีเป็นข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เพื่อใป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศที่ผู้ประกอบการนำเข้าข้าวบาร์เลย์มากขึ้น
ผ่านร่าง กม.ลดหย่อนภาษี – บริจาคเงินหนุนป่าชุมชน
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนป่าชุมชน และเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของป่าชุมชนในบทบาทการดูดซับก๊าซเรือนกระจก
รวมทั้งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายในการจัดตั้งป่าชุมชนที่อยู่รอบป่าสงวนแห่งชาติในรัศมี 5 กิโลเมตร จำนวน 21,850 หมู่บ้าน พื้นที่ประมาณ 19.1 ล้านไร่ และปัจจุบันมีป่าชุมชนที่ได้รับการอนุมัติจัดตั้งแล้วภายใต้การสนับสนุนจากงบประมาณหมวดเงินอุดหนุน ในการบริหารจัดการป่าชุมชน จำนวน 4,658 หมู่บ้าน พื้นที่ 3.55 ล้านไร่ และมีป่าชุมชนที่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนและภาคเอกชนจะให้การสนับสนุน จำนวน 4,149 หมู่บ้าน พื้นที่ 1.55 ล้านไร่ โดยสนับสนุนหมู่บ้านละ 100,000 บาท ตลอดโครงการรวมเป็นเงิน 415 ล้านบาท
กระทรวงการคลังจึงเสนอให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ให้การสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน สามารถนำเงินบริจาคมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ สำหรับการบริจาคที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อนึ่ง กระทรวงการคลังประมาณการการสูญเสียรายได้ว่าการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนมีแผนการใช้งบประมาณจากภาครัฐปีละ 90 ล้านบาท ขณะที่การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยให้ภาคเอกชนลงทุนดำเนินการปลูกป่าโดยการบริจาคมีผลทำให้จัดเก็บภาษีลดลงประมาณปีละ 18 ล้านบาท โดยจะเป็นการช่วยทดแทนและประหยัดเงินงบประมาณของภาครัฐที่ต้องดำเนินการปีละ 72 ล้านบาท
สำหรับเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบด้วย 1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ให้การสนับสนุนต้องลงนามในบันทึกความร่วมมือโครงการ “ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน” และดำเนินการตามแนวทางของโครงการ 2) ต้องสนับสนุนโครงการเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าหมู่บ้านละ 100,000 บาท โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถให้การสนับสนุนได้มากกว่า 1 หมู่บ้าน และ 3) ผู้บริจาคจะต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงินจากกรมป่าไม้ โดยระบุว่า เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการ “ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน” ชื่อป่าชุมชนที่ให้การสนับสนุนและปีที่ดำเนินการ ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกความร่วมมือโครงการที่ได้ร่วมกันลงนามไว้แล้ว
ยกเว้นภาษีเงินได้ – เงินบริจาค “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”
นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ดังนี้
1) บุคคลธรรมดา ให้หักลดหย่อนได้เป็นจำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่นๆ
2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชน ที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไปโดยไม่เก็บค่าบริการใดๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
ทั้งนี้ สำหรับการบริจาคที่กระทำตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และกระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการภาษีในเรื่องนี้จะมีผลทำให้การจัดเก็บภาษีลดลงตลอดระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีประมาณ 45 ล้านบาท โดยจะเป็นการช่วยทดแทนเงินสนับสนุนให้แก่เด็กและเยาวชน ครูอาจารย์และโรงเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในการสนับสนุนเงินเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
อนุมัติสินเชื่อรวบรวมข้าวโพด 1,500 ล้าน – จัดงบฯชดเชยดอก ธ.ก.ส. 45 ล้าน
นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2561/62 โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2561/62 โดยมีเป้าหมายสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมหรือรับซื้อและสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตร วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คิดดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการ ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี โดยคิดจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแก่ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือคิดเป็นเงิน 45 ล้านบาทตลอดโครงการ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันรับเงินกู้ และตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้เป็นต้นไป
โดยสถาบันเกษตรกรจะต้องรับภาระดอกเบี้ยเองในอัตรา MLR บวกตามชั้นความเสี่ยงของสถาบันเกษตรกรแต่ละแห่ง (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) สำหรับการคืนเงินกู้กำหนดระยะเวลาจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และกำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่รับเงินกู้ ทั้งนี้ ต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 และระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่รับเงินกู้
อนึ่ง สถานการณ์ตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2561/2562 คาดว่าจะมีผลผลิต 5 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการ 8.25 ล้านตัน ดังนั้นโครงการดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิกและสถาบันเกษตรกรตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสถาบันเกษตรกร รวมทั้งเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเกษตรกรในการดำเนินธุรกิจข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรได้มีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่หลากหลายยิ่งขึ้นจากเดิมที่แหล่งรับซื้อส่วนใหญ่จะเป็นประกอบการเอกชน
แจงความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือชาวไร่มันสำปะหลัง 7 โครงการ
นายณัฐพร กล่าวว่า ครม.มีมติรับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้ามันสำปะหลัง ปี 2561/62 มาตรการและแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง และแผนการดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปีการผลิต 2561/62 จำนวน 7 โครงการ แบ่งเป็นโครงการของกระทรวงพาณิชย์จำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 18.324 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณอยู่แล้ว และโครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและวงเงินงบประมาณที่ใช้ดำเนินโครงการปี 2561/62 จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 114 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้
โครงการของกระทรวงพาณิชย์
1) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กเพื่อเพิ่มศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง จัดสรรเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 10 ล้านบาท 2) โครงการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จัดสรรเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 2 ล้านบาท 3) โครงการกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน จัดสรรเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 6.324 ล้านบาท 4) โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (มันเส้นสะอาด) โครงการของกระทรวงพาณิชย์ที่ไม่ขอรับจัดสรรงบประมาณ
โครงการของ ธ.ก.ส.
5) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อ 1,150 ล้านบาท วงเงินที่ขอรับจัดสรรชดเชยดอกเบี้ย 69 ล้านบาท จำนวนเป้าหมาย 5,000 ราย รายละประมาณ 14,000 บาท ดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาชำระคืน 5 ปี 6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท ดอกเบี้ย MLR-1% และขอรับจัดสรรเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล 45 ล้านบาท และ 7) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม 2,000 ล้านบาท หรือรายละ 20,000 บาท ดอกเบี้ย 6% ต่อปี โดยโครงการนี้ไม่ขอรับจัดสรรงบประมาณชดเชยดอกเบี้ย
ไฟเขียวกฎกระทรวงแก้นิยามธุรกิจ SMEs
นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนการจ้างงานหรือรายได้ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. …. โดยกำหนดนิยามวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมใหม่ให้ใช้จำนวนการจ้างงานและรายได้ของกิจการเป็นเกณฑ์ในการกำหนดขนาดกิจการ จากเดิมที่ใช้จำนวนการจ้างงานและสินทรัพย์ถาวรเป็นเกณฑ์ และแบ่งประเภทกิจการเป็นกิจการผลิตสินค้า กิจการให้บริการและการค้า จากเดิมที่แยกเป็นการผลิตสินค้า การบริการ การค้าส่ง และการค้าปลีก ดังนี้
-
1) วิสาหกิจรายย่อย มีจำนวนแรงงาน 1-5 คน และมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ทั้งกิจการผลิตสินค้าและกิจการบริการและการค้า
2) วิสาหกิจขนาดย่อม สำหรับกิจการผลิตสินค้า มีจำนวนแรงงาน 6-50 คน และมีรายได้ 1.8-100 ล้านบาทต่อปี สำหรับกิจการบริการและการค้า มีจำนวนแรงงาน 6-30 คน และมีรายได้ 1.8-50 ล้านบาทต่อปี
3) วิสาหกิจขนาดกลาง สำหรับกิจการผลิตสินค้า มีจำนวนแรงงาน 51-200 คน และมีรายได้ 100-500 ล้านบาทต่อปี สำหรับกิจการบริการและการค้า มีจำนวนแรงงาน 31-100 คน และมีรายได้ 50-300 ล้านบาทต่อปี
อนึ่ง ในกรณีที่จำนวนการจ้างงานเข้าลักษณะของวิสาหกิจขนาดหนึ่ง แต่จำนวนรายได้เข้าลักษณะของวิสาหกิจอีกขนาดหนึ่ง ให้ถือจำนวนการจ้างงานหรือรายได้ที่มากกว่าเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา และจำนวนการจ้างงานให้พิจารณาจากหลักฐานแสดงจำนวนการจ้างงานที่ได้จัดทำขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนรายได้ให้พิจารณาจากรายได้รวมที่ระบุไว้ในงบการเงินปีล่าสุดที่นำส่งต่อทางราชการหรือที่มีเอกสารบัญชีแสดงรายได้
อนุมัติงบกลาง 448 ล้าน พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ 5 โครงการ
นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช สำหรับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน หรือ Southern Economic Corridor (SEC) ภายใต้กรอบการพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก 2) การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามัน 3) การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง และ 4) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรม และการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ประกอบด้วยโครงการจำนวนรวม 116 โครงการ กรอบวงเงินปี 2562-2565 รวม 106,790 ล้านบาท โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการภายใน 2 ปี และขอรับการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบการพัฒนาดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติงบกลาง ปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการจำเป็นเร่งด่วน (quick-win) รวม 5 โครงการ วงเงิน 448.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะพยาม จ.ระนอง ใช้งบประมาณ 132.8 ล้านบาท 2) โครงการป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลก ใช้งบประมาณ 88.5 ล้านบาท 3) โครงการสนับสนุนการแปรรูปสมุนไพรแบบครบวงจร จ.ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ใช้งบประมาณ 194.6 ล้านบาท 4) โครงเฝ้าระวังภาวะฉุกเฉิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างความเข้มแข็งด้านบริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ สู่ไทยแลนด์ 4.0 ของเทศบาลเมืองชุมพร ใช้งบประมาณ 12.6 ล้านบาท และ 5) โครงการศึกษาการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญการวิจัยเชิงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ของจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าการพัฒนา SEC จะช่วยให้เศรษฐกิจหรือจีดีพีในพื้นที่ดังกล่าวขยายตัวได้เฉลี่ยอย่างน้อยปีละ 5% ในช่วง 10 ปีแรกของการพัฒนา และคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านคนต่อปี มีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีแรก ส่วนผลทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์นั้นคาดว่า SEC จะเป็นประตูเศรษฐกิจทางฝั่งตะวันตกของประเทศ มีการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ และเชื่อมโยงกับ EEC ได้ ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ โดยลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าทางเรือจากไทยไปเอเชียใต้ลงได้ครึ่งหนึ่งจากเดิมที่จะต้องขนส่งผ่านท่าเรือแหลมฉบังไปยังท่าเรือเชนไนของอินเดีย ใช้เวลา 9-15 วัน ซึ่งเมื่อมาใช้ท่าเรือระนองจะสามารถลดลงเหลือเพียง 4-7 วันเท่านั้น
ปรับโครงสร้างหนี้รถไฟฟ้าสีม่วง – ประหยัดดอกเบี้ยพันล้าน
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม.มีมติทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยเดิม ครม.มีมติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 อนุมัติให้ รฟม.กู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือ JICA ซึ่ง ณ กันยายน 2561 มีหนี้คงค้างรวม 172,578.51 ล้านเยน ซึ่งได้ปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยงด้วยวิธี Cross Currency Swap หรือ CCS ไปแล้ว 111,290.09 ล้านเบย คงเหลือหนี้ที่ไม่ได้บริหารความเสี่ยงอีก 61,288.42 ล้านเยน โดยแบ่งเป็น 2 สัญญา ได้แก่ 1) สัญญาที่ TXXX-1 คงเหลือยอดหนี้ 45,999 ล้านเยน ระยะเวลาชำระคืนคงเหลือเฉลี่ย 7 ปี และสัญญาที่ TXXXII-3 คงเหลือยอดหนี้ 15,290 ล้านเยน ระยะเวลาชำระคืนคงเหลือเฉลี่ย 8.5 ปี
ทั้งนี้ กระทรวงคลังได้คำนวณเปรียบทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงระหว่างต้นทุนการแปลงหนี้เงินกู้สกุลเยนเป็นเงินบาทด้วยวิธี CCS เทียบกับการกู้เงินบาทภายในประเทศไปชำระคืนก่อนกำหนดและเปลี่ยนให้เป็นหนี้สกุลเงินบาท พบว่าหนี้ในสัญญาแรกการใช้วิธี CCS มีต้นทุนสูงกว่า 1.55% (ต้นทุนดอกเบี้ยจากวิธี CCS 4.14% เทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ภายในประเทศ 2.59%) และหนี้ในสัญญาที่สองการใช้วิธี CCS จะมีต้นทุนสูงกว่า 1.45% (ต้นทุนดอกเบี้ยจากวิธี CCS 4.16% เทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ภายในประเทศ 2.71%) ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงเห็นควรให้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้กลับมาเป็นสกุลเงินบาทด้วยการไปกู้เงินบาทภายในประเทศเพื่อนำไปชำระหนี้กับ JICA ก่อนกำหนด
“ส่วนจำนวนดอกเบี้ยที่ประหยัดลงไปได้นั้นไม่ได้มีการคำนวณชัดเจนในรายงานของ ครม. แต่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รายงานใน ครม.ว่าน่าจะประมาณพันล้านบาท” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ธอส.ปรับโครงสร้างแหล่งทุน – ออกพันธบัตรใหม่ 12,000 ล้าน
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินสำหรับปีงบประมาณ 2562 โดยการออกพันธบัตรวงเงินรวมไม่เกิน 30,600 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) การกู้เงินโดยการออกพันธบัตรใหม่ จำนวน 12,000 ล้านบาท และ 2) การกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนด (roll-over) จำนวน 18,600 ล้านบาท เพื่อปรับสัดส่วนเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวของ ธอส.ให้มีความเหมาะสม อันเป็นการเสริมสภาพคล่องจากปัญหาความไม่สัมพันธ์กันระหว่างอายุของหนี้สินและสินทรัพย์ (maturity mismatch) และความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในการดำรงเงินรับฝาก
ทั้งนี้ การกู้เงินดังกล่าวจะสามารถช่วยสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยและปานกลางตามพันธกิจของ ธอส.ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนและการปรับสมดุลโครงสร้างเงินทุนในระยะยาวของ ธอส.ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 รับทราบด้วยแล้ว
ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม
รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนานกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม.มีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอต่ออายุประทานบัตร ที่ 1 – 4/2553 รวม 4 แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งพื้นที่คำขอต่ออายุประทานบัตรดังกล่าวเป็นที่นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว และบริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ด้วยแล้วและเป็นที่ดินมีสิทธิครอบครอง ของผู้ขอเอง รวมทั้งไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมือง
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ประทานบัตรเดิมที่เคยได้รับประทานบัตรมาแล้วและได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560 จะมีผลบังคับใช้ ประกอบกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ให้ความเห็นชอบแล้วและเห็นว่าพื้นที่คำขอต่ออายุประทานบัตรทั้ง 4 แปลง เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ.2560-2564 ด้วย
นอกจากนี้ ครม.มีมติอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 39/2551 ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งพื้นที่คำขออยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี ของลุ่มน้ำป่าสักและเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยบริษัท หินอ่อน จำกัด ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้แล้ว โดยพื้นที่ไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมือง ตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการต่างๆ การปิดประกาศการขอประทานบัตร ไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน รวมทั้งสำนักงานเทศบาลตำบลทับกวางได้แจ้งความเห็นชอบในการขอประทานบัตร และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 โดยพื้นที่คำขอประทานบัตรเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ.2560-2564 เช่นเดียวกัน
เพิ่มอำนาจรักษาการรัฐวิสหากิจ 3 แห่ง
รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนานกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการบินพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 3 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการหรือผู้ว่าการของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่งมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการหรือผู้ว่าการ
รับทราบข้อเสนอ ป.ป.ช. ป้องกันทุจริต “จีทูจี”
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในมาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศ จากโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เนื่องจากโครงการระบายข้าวแบบจีทูจีของรัฐบาลก่อน มีการทุจริต ผิดระเบียบการค้าระหว่างประเทศ สร้างความเสียหายให้ประเทศอย่างร้ายแรง โดยด้านนโยบาย ป.ป.ช.มีข้อเสนอโดยสรุปดังนี้
- รัฐต้องมีนโยบายชัดเจน มุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง สามารถช่วยเหลือสินค้าเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น โดยใช้กลไกของการเพิ่มตลาดและลดต้นทุนการผลิต
- ให้ดำเนินการระบายข้าวแบบจีทูจีเท่าที่จำเป็น โดยยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน คำนึงถึงต้นทุนและผลประโยชน์ของนโยบาย โดยเฉพาะภาระทางการคลัง ฯลฯ
- ควรให้ข้าราชการประจำของกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว และเปิดรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวต่อสาธารณะ และยังให้กรมการค้าต่างประเทศกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์หรือคู่มือเพื่อใช้อ้างถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการกำหนดให้มีการระบายข้าวแบบจีทูจี
- วิธีการระบายข้าว ควรให้กรมการค้าระหว่างประเทศพิจารณาระบายข้าวด้วยวิธีอื่น เช่น การระบายข้าวให้บริษัทเอกชนในประเทศอย่างโปร่งใส
- ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าว ให้กรมการค้าต่างประเทศจัดทำสัญญามาตรฐานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศแบบจีทูจี โดยคำนึงถึงการตรวจสอบคู่สัญญาเกี่ยวกับสถานะเป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น วิธีการส่งมอบข้าว ไม่ควรส่งมอบข้าวแบบหน้าคลังสินค้า
- ควรกำหนดวิธีการควบคุมเพื่อให้มีการส่งออกไปต่างประเทศจริง วิธีการชำระเงิน ควรชำระผ่านทางธนาคาร โดยวิธีเปิด letter of credit (L/C)
- การเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบจีทูจีให้สาธารณชนทราบ ฯลฯ
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 22 มกราคม 2562 เพิ่มเติม