ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ป.ป.ช. แจงเหตุตีตกนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม – เผย ยังสอบต่อว่าเข้าข่ายรับของเกิน 3 พันหรือไม่” และ “กลุ่มก่อการร้ายโจมตีโรงแรมดุสิตดีทู ไนโรบี”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ป.ป.ช. แจงเหตุตีตกนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม – เผย ยังสอบต่อว่าเข้าข่ายรับของเกิน 3 พันหรือไม่” และ “กลุ่มก่อการร้ายโจมตีโรงแรมดุสิตดีทู ไนโรบี”

19 มกราคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 12-18 ม.ค. 2562

  • ป.ป.ช. แจงเหตุตีตกนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม – เผย ยังสอบต่อว่าเข้าข่ายรับของเกิน 3 พันหรือไม่
  • คพ. เผย ฝุ่นพิษเกินมาตรฐานเหลือ 1 พื้นที่ วอน ปชช. งดเผาในที่โล่ง-งดใช้รถควันดำ
  • ขนส่งแจงปมตำรวจไม่เอาใบขับขี่ดิจิทัล – มีใบขับขี่ดิจิทัลแล้วต้องพกใบจริงด้วย
  • จ่อขึ้นค่ารถไฟชั้นสาม-เบรกขึ้นค่ารถเมล์
  • กลุ่มก่อการร้ายโจมตีโรงแรมดุสิตดีทู ไนโรบี
  • ป.ป.ช. แจงเหตุตีตกนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม – เผย ยังสอบต่อว่าเข้าข่ายรับของเกิน 3 พันหรือไม่

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS (http://bit.ly/2RUnNo2)

    เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงานว่า ป.ป.ช. เปิดห้องคุยกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2562 เกี่ยวกับกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร โดยระบุว่าไม่สามารถหาข้อมูลเจ้าของนาฬิกาจากบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศได้เลย ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมนาฬิกาบางเรือนจึงยังอยู่ที่ พล.อ. ประวิตร หลังจากที่เพื่อนเสียชีวิตไปแล้ว ป.ป.ช. ระบุว่าเป็นเพราะครอบครัวเพื่อน พล.อ. ประวิตร ไม่พร้อมรับคืนไปเอง

    วันนี้ในช่วงเช้า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เปิดห้องพบสื่อมวลชนระดับบรรณาธิการ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นการเปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีการตรวจสอบการครอบครองนาฬิกาหรูทั้ง 22 เรือนของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบัน

    โดยนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมากในกรณีนี้ได้อธิบายว่า ในขั้นตอนการตรวจสอบทาง ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังประเทศผู้ผลิตแล้ว แต่ติดปัญหาเนื่องจาก พ.ร.บ.ความร่วมมือทางอาญา พ.ศ. 2535 ของหลายประเทศในยุโรปไม่ถือว่าการจงใจไม่แสดงทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นความผิดทางอาญา เป็นเพียงความผิดทางจริยธรรม ดังนั้นหลายประเทศจึงไม่ให้ความร่วมมือในการส่งเอกสารใบรับรองนาฬิกามายังประเทศไทย

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ทาง ป.ป.ช. จึงได้ตรวจสอบวิธีใหม่ โดยการสอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายในประเทศ แต่ก็ได้คำตอบว่า นาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ทาง ป.ป.ช. จึงตรวจสอบต่อไปยังกรมศุลกากร เนื่องจากคาดว่านาฬิกาจะถูกนำเข้ามาผ่านทางศุลกากร แต่ก็ปรากฎว่าไม่พบข้อมูลใดๆ อีก

    ทาง ป.ป.ช. จึงใช้วิธีการสอบถามไปยังสถานทูต ให้ช่วยสอบถามบริษัทเอกชนผู้ผลิตนาฬิกาทั้ง 22 เรือนดังกล่าวให้ ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาจากบริษัทผู้ผลิตเหล่านั้นคือ “ไม่ได้เก็บข้อมูล” หรือไม่ก็ “ไม่ให้ข้อมูล” เมื่อเป็นเช่นนั้น ทาง ป.ป.ช. จึงหมดหนทางที่จะพิสูจน์ความเป็นเจ้าของนาฬิกาเหล่านั้นด้วยข้อมูลจากทางบริษัทผู้ผลิตนาฬิกา

    อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 4 ประเทศที่เป็นที่มาของนาฬิกาหรูทั้ง 22 เรือนนั้น มีหนึ่งประเทศที่ตอบรับว่าจะให้ความร่วมมือกับทาง ป.ป.ช. ผ่านทาง พ.ร.บ.ความร่วมมือทางอาญา แต่เสียงข้างมากของ ป.ป.ช. เห็นว่าหากใช้วิธีดังกล่าว การตรวจสอบก็ต้องยืดระยะเวลาไปอีก 6 เดือนถึงหนึ่งปี และก็คาดว่าจะได้คำตอบเหมือนเดิมอยู่ดีว่า การจงใจไม่แสดงทรัพย์สินไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา จึงอาจทั้งเสียเวลาและไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้นจึงเห็นว่าควรยุติการพิจารณาเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า

    ส่วนเสียงข้างน้อย เช่น น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ซึ่งเป็นนักบัญชีมาก่อน เห็นว่าควรต้องตรวจสอบต่อให้สิ้นสุด จนได้ข้อมูลครบถ้วนที่สุด แต่ในเมื่อเสียงข้างมากตัดสินใจยุติการสืบสวนแล้ว ตนเองก็เคารพการตัดสินใจ
    สำหรับประเด็นที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า นาฬิกาหรูบางเรือน พล.อ. ประวิตร ยังคงสวมใส่อยู่หลังจากที่เพื่อนชื่อ ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทาง ป.ป.ช. อธิบายว่า เป็นเพราะทางครอบครัวของนายปัฐวาทยังไม่พร้อมที่จะรับนาฬิกาคืน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงจัดงานศพและยังโศกเศร้าเสียใจอยู่

    ในส่วนของพยานที่ทาง ป.ป.ช. ได้เชิญพูดคุยเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ปรากฎว่าพยานทุกคน ให้การ “เป็นคุณ” กับ พล.อ. ประวิตร ทั้งหมด ไม่สามารถหาพยานที่ให้การ “เป็นโทษ” กับ พล.อ. ประวิตร ได้เลยแม้แต่คนเดียว

    และในกรณีที่มีผู้นำกรณีนี้ไปเปรียบเทียบกับกรณีการอ้างว่ายืมรถยนต์ของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นั้น ทาง ป.ป.ช. อธิบายว่าสองกรณีนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากในกรณีของนายสุพจน์นั้น มีพฤติการณ์ครอบครองรถยนต์ตั้งแต่แรก นั่นคือทั้งเลือกรุ่น เลือกสี และเลือกทะเบียนรถเอง แต่กรณีของ พล.อ. ประวิตร ไม่พบว่ามีพฤติกรรมเหล่านี้

    อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ระบุว่าตอนนี้กำลังตรวจสอบเพิ่มเติม กับข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ ว่าการยืมนาฬิกาของ พล.อ. ประวิตร นั้น จะเข้าข่ายการรับของมูลค่าเกิน 3,000 บาทหรือไม่

    คพ. เผย ฝุ่นพิษเกินมาตรฐานเหลือ 1 พื้นที่ วอน ปชช. งดเผาในที่โล่ง-งดใช้รถควันดำ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ AIR4THAI กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ (http://bit.ly/2S1raK9)

    วันที่ 18 ม.ค. 2562 เฟซบุ๊กกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานสถานการณ์ PM2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล วันที่ 18 มกราคม 2562 เวลา 15.00 น.

  • พื้นที่ริมถนน เกินค่ามาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) 1 พื้นที่
  • พื้นที่ทั่วไป อยู่ในเกณฑ์ค่ามาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) ทุกพื้นที่

    โดยรวมปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มลดลง

    คพ. ขอความร่วมมือประชาชน งดการเผาในที่โล่งทุกประเภท และงดการใช้รถยนต์ควันดำอย่างเด็ดขาด

    ท่านสามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศของหน่วยงานราชการได้ทางแอ๊พพลิเคชั่น Air4Thai และเว็ปไซต์  http://air4thai.pcd.go.th/ และสถานการณ์คุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานครbangkokairquality.com

    ขนส่งแจงปม มีใบขับขี่ดิจิทัลแล้วต้องพกใบจริงด้วย

    นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://bit.ly/2HinGhT)

    จากกรณีที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จะนำใบขับขี่ดิจิทัลมาใช้ โดยให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสแกนใบขับขี่ใส่ไว้ในโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน เพื่อใช้แสดงแก่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเมื่อถูกเรียกตรวจ พร้อมประโยชน์อื่นๆ ซึ่งหวังแก้ปัญหาลืมพกพาและสอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชนปัจจุบันนั้น เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ส่อเกิดปัญหาขึ้นในทางปฏิบัติ เมื่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ยังไม่ตอบรับ

    พล.ต.ต. เอกลักษณ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการศึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะคณะทำงานแก้ไขกฎหมาย สตช. กล่าวถึงกรณีที่กรมการขนส่งทางบก จะนำใบขับขี่ดิจิทัลมาใช้ ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2562 นี้ ว่า ทางปฏิบัติการเรียกตรวจผู้ขับขี่ทำผิดกฎหมายจราจร ผู้ขับขี่จะต้องแสดงใบขับขี่ต่อเจ้าพนักงานตำรวจจราจร และหากกระทำผิดจริง ตำรวจมีอำนาจยึดใบขับขี่และออกใบสั่งให้ผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับตามกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 140 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบกปี 2522 ซึ่งกฎหมายฉบับดังกล่าว อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขเรื่องการยกเลิกเรียกเก็บใบขับขี่ เพื่อให้รองรับการใช้ใบขับขี่ดิจิทัลตามที่กรมการขนส่งทางบกเสนอ โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาวันที่ 17 ม.ค. 2562 นี้ ดังนั้น ระหว่างนี้ ตำรวจจราจรยังมีอำนาจที่จะยึดใบขับขี่ หากไม่สามารถนำใบขับขี่มาแสดงได้ จะมีความผิดเพิ่มอีกข้อหาไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่

    พล.ต.ต. เอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.จราจรทางบก กับ พ.ร.บ.ขนส่งทางบกขัดแย้งกัน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แจ้งไปยังอธิบดีกรมการขนส่งทางบกทราบแล้ว เพื่อขอให้เลื่อนการใช้ใบขับขี่ดิจิทัลออกไปก่อน จนกว่าการแก้ไขกฎหมายจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติระหว่างผู้ขับขี่กับตำรวจจราจร อย่างไรก็ตาม หากกรมการขนส่งทางบกยืนยันจะใช้ใบขับขี่ดิจิทัลตามกำหนดที่วางไว้โดยไม่รอกฎหมายใหม่เชื่อว่าจะมีปัญหาแน่นอน เพราะตำรวจจราจรมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 กรมการขนส่งทางบก ยืนยันว่าแม้ว่าประชาชนจะใช้ใบขับขี่อัจฉริยะผ่านมือถือ แต่การใช้งานจริงตามกฎหมายประชาชนยังต้องมีการพกพาใบขับขี่กระดาษอยู่ เพราะตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกปี พ.ศ. 2522 ใบขับขี่อัจฉริยะถือเป็นทางเลือกเท่านั้น และการพัฒนาแอปพลิเคชันถือเป็นการพัฒนาตามนโยบาย 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาระบบเพิ่มอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

    ส่วนการพัฒนาเชื่อมระบบจากแอปพลิเคชันระหว่าง ขบ. กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในอนาคตเพื่อให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดึงข้อมูลจากใบขับขี่อัจฉริยะนั้น ทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องมีการหารือในรายละเอียดอีกครั้งเพราะในระบบสามารถทำได้ในการตัดแต้มหรือยึดใบขับขี่

    นางจันทิรากล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นขณะนี้การพัฒนาระบบดังกล่าวเพื่อเป็นการต่อยอดเกี่ยวกับข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกมาไว้บนมือถือผ่านการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของ ขบ. เช่น ข้อมูลการต่อทะเบียน ต่อภาษี การตรวจสภาพ วันหมดอายุ หรือขั้นตอนการดำเนินการต่างๆของ ขบ. รวมถึงแอปพลิเคชันดังกล่าวยังสามารถแชร์เส้นทางการเดินรถโดยสารสาธารณะ หรือปุ่มฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งประโยชน์ต่างๆ ก็เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการจากขนส่งทางบก

    จ่อขึ้นค่ารถไฟชั้นสาม-เบรกขึ้นค่ารถเมล์

    ที่มาภาพ: Ashik Salim ในเว็บไซต์ Unsplash (http://bit.ly/2Hibw8N)

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นางสิริมา หิรัญเจริญเวช รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท. เตรียมเสนอแผนปรับกรอบอัตรากำลัง และแผนการสรรหาบุคลากรเพิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและรองรับโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต โดยเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2562 ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน พิจารณาอนุมัติการสรรหาบุคลากรเพิ่ม 1,904 คนตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะสรรหาทั้งหมดได้ภายในปีนี้

    นางสิริมา กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการนั้น จะเริ่มจากยุทธศาสตร์รถไฟทางคู่ระยะที่สอง โดยเตรียมเสนอความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงิน 8.53 หมื่นล้านบาท ขณะที่โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. ภายในเดือน ม.ค. นี้ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนประกวดราคาต่อไป จากนั้นจะตามด้วยโครงการรถไฟทางคู่สายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง174 กม. วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

    นางสิริมากล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องแผนฟื้นฟู โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเพิ่มรายได้ให้แก่ รฟท. นั้น ขณะนี้ได้ส่งมอบแนวทางการปรับโครงสร้างค่าโดยสารให้กับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ไปทำการศึกษาร่วมกับโครงสร้างค่ารถไฟฟ้า เพื่อให้สะท้อนต่อต้นทุนที่แท้จริงในปัจจุบันแล้ว ทั้งนี้ รฟท. ได้เคยศึกษาปรับเพิ่มค่ารถไฟชั้น 3 จากเดิมอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 2 บาท ปรับเพิ่มเป็น10 บาท และค่าโดยสารตามระยะทางจะเพิ่มขึ้นอีก 50% ซึ่งจะทำให้รายได้ของการรฟท.เพิ่มขึ้นอีก 30%

    ส่วนกรณีค่าโดยสารรถประจำทางที่เคยมีข่าวว่าจะเพิ่มในวันที่ 21 ม.ค. 2562 นั้น ล่าสุด เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าhttp://bit.ly/2HeM6Jc ขสมก. ได้ถูกสั่งทบทวนการปรับขึ้นค่าโดยสารใหม่ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเกรงมีผลกระทบต่อภาระของประชาชน

    น.ส.ปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้หารือเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารของ ขสมก. ที่ตามกำหนดจะเริ่มวันที่ 21 ม.ค.2562 นี้ โดย คนร. ให้กรอบนโยบายกับ ขสมก. ไปทบทวนในเรื่องดังกล่าวว่า จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และให้พิจารณาถึงความเหมาะสมของช่วงเวลาที่จะปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารด้วย

    ทั้งนี้ คนร. ห่วงเรื่องการขึ้นค่าโดยสารของ ขสมก. ว่า จะมีผลกระทบต่อภาระของประชาชน จึงมอบนโยบายให้ประธาน ขสมก. ไปพิจารณา โดยให้ดูความเหมาะสม และผลกระทบต่างๆ ของการปรับขึ้นค่าโดยสาร ซึ่ง ขสมก. น่าจะกลับไปหารือกับกระทรวงคมนาคมให้ชัดเจนก่อนนำมาเสนอ คนร. ต่อไป

    นายกฤชเทพ สิมลี รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กล่าวว่า วันที่ 18 ม.ค. นี้ เวลา 11.00 น. จะมีประชุมด่วนคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เพื่อดำเนินการตามมติ คนร. ที่ขอให้กระทรวงคมนาคมชะลอการปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ออกไปก่อน ดังนั้น คณะกรรมการฯ จะต้องประชุม เพื่อทบทวนมติ เนื่องจากมติเดิมคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ทั้งระบบ ตั้งแต่ 21 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป

    สำหรับประเด็นที่คณะกรรมการฯ ต้องทบทวนใหม่ คือ แนวทางการชะลอขึ้นค่าโดยสารว่า จะชะลอรถประเภทใดและชนิดใดบ้าง เพราะรถโดยสารสาธารณะมีหลายประเภท และหลายชนิด ไม่ใช่เฉพาะแค่รถเมล์ของ ขสมก. เท่านั้น ยังมีรถเมล์ร่วมบริการของเอกชน และรถทัวร์ร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับรถเมล์เก่าของ ขสมก.คงต้องชะลอการขึ้นค่าโดยสารแน่นอนทั้งรถร้อนและรถเย็น ส่วนรถเมล์ใหม่อาจให้ขึ้นค่าโดยสารได้ ส่วนรถร่วม บขส. และ บขส. ต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง

    นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ขสมก. กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด ขสมก. ได้มีมติให้ ขสมก. ชะลอการปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์เก่าทั้งรถเมล์ร้อนและปรับอากาศ จำนวนกว่า 2,500 คัน ออกไปก่อน จากเดิมที่มีกำหนดจะปรับราคาในวันที่ 21 ม.ค. 2562 นี้

    กลุ่มก่อการร้ายโจมตีโรงแรมดุสิตดีทู ไนโรบี

    วันที่ 15 ม.ค. 2562 เฟซบุ๊กแฟนเพจ Royal Thai Embassy, Nairobi โพสต์ข้อความซึ่งมีใจความหลักว่า “เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2562 เวลาประมาณ 15.00 น ได้เกิดเหตุระเบิดรถยนต์และการยิงกัน ที่ รร. Dusit D2 กลางกรุงไนโรบี เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเสียหายและจำนวนผู้บาดเจ็บ โดยกลุ่ม Al Shabaab ออกมาแสดงความรับผิดชอบว่าอยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุครั้งนี้ ในชั้นนี้ สอท. ได้ประสานคนไทยที่ทำงานในโรงแรมดังกล่าวแล้ว ทุกคนปลอดภัยดี”

    เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานโดยอ้างเอเอฟพีว่า กลุ่มผู้ก่อการในครั้งนี้ให้เหตุผลในการก่อเหตุว่า เป็นการแก้แค้นที่ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 28 คนที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ด้านกาชาดเคนยา ระบุว่ายังมีคน 19 คนที่ยังสูญหาย ก่อนหน้านี้ กาชาดเคนยาระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 24 คน และทางการเคนยาต้องใข้เวลาถึง 19 ชม. เพื่อยุติเหตุการณ์ครั้งนี้