ThaiPublica > เกาะกระแส > วิพากษ์กฎหมายป.ป.ช.ใหม่ ปมการเปิดข้อมูลบัญชีทรัพย์สินปกปิด 14 ข้อมูลส่วนตัว-ป.ป.ช. พร้อมรับข้อคิดเห็นไปทบทวน

วิพากษ์กฎหมายป.ป.ช.ใหม่ ปมการเปิดข้อมูลบัญชีทรัพย์สินปกปิด 14 ข้อมูลส่วนตัว-ป.ป.ช. พร้อมรับข้อคิดเห็นไปทบทวน

30 พฤศจิกายน 2017


เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ภาคประชาชนได้จัดงานเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง การเปิดเผยทรัพย์สินและบทบาทหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติ ป.ป.ช.ใหม่ ณ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ภาคประชาชนได้จัดงานเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง การเปิดเผยทรัพย์สินและบทบาทหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติ ป.ป.ช.ใหม่ ณ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวเปิดงานว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มีความสนใจในหลายประเด็นในการต่อต้านการคอร์รัปชัน และได้จัดสัมมนามาเป็นระยะๆ ในหัวข้อที่น่าสนใจ โดยในวันนี้ได้จัดงานเสวนาโต๊ะกลมขึ้นเนื่องจากขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภามีหลายประเด็นที่นำไปสู่การแสดงความเห็นที่หลากหลาย ทั้งความไม่เข้มแข็งของกฎหมายต่างจากฉบับเดิมที่มีความเข้มแข็ง ความรวดเร็ว ความมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมไปถึงหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในด้านการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเชื่อว่าการสัมมนาในวันนี้จะได้รับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหลายฝ่าย

นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ คณะกรรมการป.ป.ช. รักษาการเลขาธิการ ให้ข้อมูลว่า การกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติกันทั่วโลก ซึ่งข้อมูลของธนาคารโลกปี 2559 ในโลกเรามี 161 ประเทศ ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เจ้าหน้าที่ของรัฐ เปิดเผยบัญชีรายการแสดงทรัพย์สิน เพื่อสร้างความโปร่งใสให้ระบบการเมืองและระบบราชการ และป้องกันการทุจริต ถือเป็นมาตรการเสริมในการป้องกันการทุจริต

การเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยมีการพัฒนามาเป็นระยะๆ เพื่อตรวจดูว่าในระหว่างดำรงตำแหน่งได้ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จนทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญปีปัจจุบัน 2560 ที่เป็นประเด็นเกิดขึ้น ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันไปเขียนไว้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 กับปี 2550 กรณีที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ โดยมาตรา 234 (3) บัญญัติไว้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้ของบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

“รัฐธรรมนูญปี2540และปี 2550 ให้เปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าว 4 ตำแหน่ง แต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันให้เปิดเผยผลการตรวจสอบ มันก็เลยเป็นประเด็นเกิดขึ้นว่า ต่อไปนี้สาธารณะชนจะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 4 ตำแหน่งได้หรือไม่อย่างไร ก็มีแนวคิด 2 แนว บางคนบอกว่าหากเขียนว่าต้องเปิดเผยตามรัฐธรรมนูญปี 2540และ 2550 หากเขียนอย่างนั้นจะขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่พอมาดูร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาในปัจจุบันถือว่าเป็นทิศทางที่ดี เรื่องนี้เขียนไว้ตามร่างมาตรา 100 ว่าในการดำเนินการกำหนดการให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน กำหนดไว้หลายตำแหน่ง และเขียนว่าตำแหน่งที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะได้ให้เปิดเผยคือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ นั่นหมายความว่าร่างกฏหมายป.ป.ช.ที่กำลังอยู่ในชั้นร่างพิจารณาของกรรมาธิการ เปิดตำแหน่งที่จะต้องเปิดเผยเพิ่มขึ้น และทราบล่าสุดว่ามีการปรับปรุงเพิ่มขึ้นว่าให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง รวมทั้งผู้บริหารปกครองท้องถิ่นที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย”

ประเด็นที่เกิดขึ้นก็คือว่าการเปิดเผยทำได้แค่ไหน เพราะการเปิดเผยทำได้แค่ไหน เพราะเรื่องการเปิดเผยมีมุมมองใน 2 ประเด็นคือ การให้สาธารณะชนเข้ามาร่วมตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านี้ และอีกประเด็นการเปิดเผยนี้เป็นการก้าวล่วงไปในเรื่องส่วนตัวมากจนเกินไปหรือไม่ ในเรื่องนี้กฏหมายป.ป.ช.ฉบับล่าสุด สามารถปกปิดรายการที่เป็นรายละเอียดที่อาจจะกระทบกับความปลอดภัยในชีวิตหรืออาจจะถูกคุกคามได้ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน อีเมล์ วันเดือนปีเกิด หรือภาพถ่ายทรัพย์สินอื่น เพราะยุคดิจิทัลทำธุรกรรมต่างๆ หากรู้ข้อมูลเหล่านี้ อาจจะมีผลกระทบเรื่องส่วนตัวได้ ป.ป.ช.จึงประกาศเรื่องนี้ออกมา

“ประกาศ 4 อย่างนี้เข้าใจว่าสาธารณะชนรับได้ แต่ถัดมาเมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการป.ป.ช.ให้ปกปิดเพิ่มเติม เป็น 14 รายการ ได้แก่ เลขที่บัญชีธนาคาร สถาบันการเงิน สถานที่ตั้งโรงเรือน บ้าน เป็นต้น การปกปิดข้อมูลเหล่านี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าการปกปิดข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนไม่สามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ เนื่องจากที่ผ่านมาป.ป.ช.พบว่า ประชาชนไม่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ไม่ว่าเลขที่บัญชีธนาคาร เลขที่โฉนด อย่างไรก็ตาม การปกปิดรายการใดยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมที่จะรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน เพราะการป้องกันและการราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเป็นหัวใจหลัก เพื่อนำไปทบทวนและแก้ไขกฎหมายให้สะท้อนความเห็นจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ประเด็นที่มีการถกเถียงในขณะนี้คือ การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งในมาตรการ 104 แห่งร่าง พ.ร.บ. กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองต่อสาธารณได้โดยสรุปเท่านั้น ห้ามเปิดเผยในรายละเอียด โดยเฉพาะรายการที่จะไม่เปิดเผยซึ่งเพิ่มเป็น 14 รายการจากเดิมมีเพียง 4 รายการเท่านั้น เพราะอาจขัดต่อหลักการที่จะให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ

นายภัทระ คำพิทักษ์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(ซ้าย) และนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ คณะกรรมการป.ป.ช. รักษาการเลขาธิการ

นายภัทระ คำพิทักษ์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สินเป็นมาตรการเชิงจริยธรรมที่พึงกระทำของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง นักการเมือง ผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญทั้งโลก บางประเทศอาจจะมีโทษทางอาญา บางประเทศอาจจะไม่มีโทษทางอาญา แต่ใช้ข้อมูลนั้นเป็นฐานในการตรวจสอบเพิ่มเติมด้านอื่น เช่น ร่ำรวยผิดปกติ สำหรับประเทศไทยระยะแรกไม่มีโทษทางอาญา แต่มีการลงโทษทางอาญาโดยศาลในภายหลัง

การเขียนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินในรัฐธรรมนูญ 2560 ได้คำนึงถึงความเป็นจริงของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ยึดหลักความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายและปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย และยังคงไว้ซึ่งหลักการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบทรัพย์สิน การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 เป็นการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลโดยสรุปหลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบแล้วนั้น หมายถึงว่า ตรวจได้ผลอย่างไรให้เปิดเผยตามนั้น เพียงแต่ต้องไม่ระบุถึงรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์ หรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่จำเป็น หรือข้อมูลที่อาจจะมีอันตรายของบุคคลได้ เพราะปัจจุบันระบบเทคโนโลยีดิจิทัลแบงกิงเติบโตมากขึ้น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบางรายการอาจจะมีการนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ได้

จุดมุ่งหมายของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคือ รายการใดที่อันตรายต่อเจ้าของบัญชีทรัพย์สินก็ไม่ควรเปิดเผย ไม่ได้มีเจตนาปกปิด เช่น หมายเลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ที่บ้าน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ เลขที่บัญชีหุ้น เลขที่บัญชีเงินใหกู้ยืม โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง เลขที่บ้าน เลขบัตรเครดิต ดังนั้น การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินยังคงหลักการเดิม โดยกำหนดให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ส่วนวิธีการเปิดเผยข้อมูลขึ้นอยู่กับการกำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

นายภัทระกล่าวอีกว่า กฎหมายมีความก้าวหน้าในการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินรวมทั้งการปราบปรามคอร์รัปชัน เพราะครอบคลุมเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่เริ่มรับราชการ มีหน้าที่ในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรามา 103(2) และยื่นทุก 3 ปีระหว่างการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งข้อมูลนี้จัดเก็บ 2 ที่คือหน่วยนงานต้นสังกัดกับหน่วยงานกลาง

รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง(ขวา)และนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส(เสื้อสีเหลือง)

รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและนักจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่มั่นใจว่าในการปฏิบัติงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถตรวจสอบได้ถี่ถ้วนหรือไม่ รวมทั้งมีการตีความการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายอย่างไร และจะมีการอ้างความเป็นส่วนตัวมากขึ้นหรือไม่

ประเด็นอยู่ที่การพิจารณาเรื่องสิทธิส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะเมื่ออาสาเข้ามาทำงานเพื่อสาธารณะแล้วความเป็นส่วนตัวย่อมลดลง สิทธิส่วนบุคคลควรจะน้อยลง แต่รัฐธรรมนูญ 2560 เขียนไว้อย่างคลุมเครือทำให้เกิดความกังวลในประเด็นเปิดเผยโดยสรุป ซึ่งไม่มั่นใจว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสรุปมากน้อยแค่ไหนเพราะตีความได้ นอกจากนี้ ผลการตรวจสอบนั้นครอบคลุมถึงรายการที่ยื่นมาตั้งแต่ต้นหรือไม่

นอกจากนี้ ยังกังวลประเด็นบุคคลที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามกฎหมายใหม่ ซึ่งอาจจะไม่แน่ใจว่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการทั้งชุด หรือเปลี่ยนแปลงในรายบุคคล

พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวว่า ความแตกต่างของรัฐธรรมนูญปี 2540 ปี 2550 และปี 2560 คือ การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในปี 2540 กำหนดเป็นหมวดหนึ่งเฉพาะ ส่วนปี 2550 มีรายละเอียดเฉพาะวิธีการปฏิบัติ แต่ปี 2560 ไม่ได้เขียนไว้ กลับเขียนไว้ในอำนาจของ ป.ป.ช. ในมาตรา 234 อนุ 3 ที่เป็นประเด็นปัญหาอยู่

ประเด็นที่ถกเถียงว่า ใครควรจะยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน แม้รัฐธรรมนูญ 2560 ได้เพิ่มคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วย แต่ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่นัยของกฎหมายเจาะจงให้เกิดผลมากกว่า เพราะระบุว่าตัวเองคือเจ้าหน้าที่รัฐ คู่สมรสและบุคคลในอุปการะ แต่กฎหมายไทยเขียนว่าคู่สมรส บุตรบุญธรรม ข้อเท็จจริงบุตรที่โตแล้วก็อาจจะอุปการะด้วย

จุดอ่อนในกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 คือการยื่นบัญชีทรัพย์สินที่เป็นหัวใจในการปราบคอร์รัปชันคือ 1. การยกเลิกยื่นบัญชี 1 ปีหลังพ้นตำแหน่ง ที่ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อพ้นตำแหน่ง ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103 ห้ามรับของขวัญอันสืบเนื่องจากหน้าที่ที่ทำงาน 2 ปีหลังเกษียณ 2. ขยายกลุ่มผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน คือ เพิ่มข้าราชการระดับสูงทั้งหมด และผู้บริหารท้องถิ่น 3. การให้ความสำคัญข้อมูลความลับ ข้อมูลส่วนตัวและอาจจะเกิดอันตราย

นอกจากนี้ข้อมูลที่เป็นความลับ ต้องกำหนดให้ชัดว่าข้อมูลที่เป็นความลับส่วนตัวคืออะไร เพราะ ข้อมูลที่ห้ามในหลักการเดิมคือเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิต แต่บางอย่างที่ห้ามในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ในนามบัตรมีไว้อยู่แล้วทั้งบ้านเลขที่ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ จึงไม่ควรห้าม

ส่วนการกำหนดให้ข้าราชการยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินไว้กับหัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าส่วนราชการจะเอาไปเก็บไว้กับสมุดประวัติ โดยไม่ต้องเปิดเผยตามมาตรา 127 ซึ่ง ป.ป.ช. ต้องการให้ยื่นทุก 3 ปี โดยให้ฝ่ายบริหารของ ป.ป.ช. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูล คณะกรรมการปฏิรูปมีความกังวล เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้ว

พลอากาศเอกวีรวิท คงศักดิ์

ด้านนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้กรอกแบบฟอร์มแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินส่ง ป.ป.ช. เมื่อเร็วๆ นี้ และไม่รู้สึกลำบากใจต่อการเปิดเผยข้อมูลทั้งข้อมูลที่อยู่ ดังนั้นเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่น่าจะมีการปกปิดอะไร เพราะเป็นข้อมูลที่มีการรับรู้กันทั่วไป ที่ผ่านมาสื่อมวลชนมีข้อมูลเจาะลึกกว่าที่ ป.ป.ช. เผยแพร่เสียอีก รวมทั้งการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลสาธารณะ ก็ต้องยอมรับการเปิดเผย

ส่วนการตรวจสอบนั้นมีความเห็นว่า ควรมีผลตรวจสอบที่ให้หน่วยงานอื่นสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบฐานะว่ารวยเป็นปกติหรือผิดปกติ โดยควรสรุปการแสดงบัญชีทรัพย์สินมีคุณค่ามีประโยชน์ไปถึงการตรวจสอบภาษีว่าถูกต้องครบถ้วนเป็นธรรมด้วย อยากฝากให้ ป.ป.ช. ดูด้วย

ทางด้านข้อกังวลเรื่องบทบัญญัติมีการเพิ่มขั้นตอนขึ้นมามาก รวมทั้งร่างกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้เลขาธิการ ป.ป.ช. ต้องรับผิดชอบด้วย กรณีข้อมูลรั่วไหลและสงสัยว่ามาจากการทำงานของ ป.ป.ช. ถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะปัจจุบันนี้การสืบหาข้อมูลเลขที่บ้านสื่อมวลชนหาได้ไม่ยาก รวมไปถึงยังกังวลขั้นตอนการไต่สวนที่เลขาธิการต้องเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกเรื่อง เพราะเห็นว่าหน่วยงานธุรการของ ป.ป.ช. น่าจะมีอิสระในการตัดสินใจลงมือปฏิบัติงานแสวงหาข้อเท็จจริงได้

ส่วนมาตรา 41, 42, 43 ให้คณะกรรมการ คตง. มีอำนาจตรวจสอบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องพิจารณาว่าซ้ำซ้อนและขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่

ส่วนนายเสนาะ สุขเจริญ บรรณาธิการข่าว สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ในฐานะสื่อให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือมาตรา 104 ที่ปกปิดทั้งหมด 14 รายการ มองว่าเป็นการตัดการทำงานขององค์กรภาคประชาชน เพราะที่ผ่านมาบัญชีทรัพย์สินเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบที่มาของทรัพย์สิน ความร่ำรวยของนักการเมือง อย่างเช่น คดีซุกหุ้นของนายทักษิณ ชินวัตร, คดีเงินกู้ 45 ล้านบาท ของพลตรี สนั่น ขจรประศาสน์, คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินของอดีต ส.ส. ก็มาจากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน หรือในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีรัฐมนตรี 7-8 คน ถือครองหุ้นเกิน 5% ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของความเป็นรัฐมนตรี ก็มาจากการทำหน้าที่ของสื่อและภาคประชาชน เข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน หรือการสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี กรณีนายไชยา สะสมทรัพย์ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นต้น

การตัดการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินทั้งหมด 14 รายการ แทบจะไม่เห็นร่องรอยอะไร อย่างเช่น กรณีโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอล มีบริษัทของนักการเมืองเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้รับงานก่อสร้างสนามฟุตซอลรวมเป็นมูลค่า 30 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบบัญชีผู้ถือหุ้นแล้ว ปรากฏว่าไม่มีรายชื่อนักการเมืองรายนั้นถือหุ้น แต่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สื่อไปตรวจสอบที่อยู่ของผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้เปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยของนักการเมืองที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ปรากฏว่าใช้ที่อยู่เดียวกัน นี่คือร่องรอย ของการทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน

การปกปิดที่อยู่อาศัยของบุคคลสาธารณกลุ่มนี้ อาจจะกลายเป็นว่ากฎหมายฉบับนี้ให้ความสำคัญและให้น้ำหนักบุคคลสาธารณเหล่านี้มากกว่าการให้น้ำหนักการทำหน้าที่ตรวจสอบของภาคประชาชน