ThaiPublica > เกาะกระแส > จากศาลชั้นต้นถึงศาลฎีกา ยกฟ้องคดีคิงเพาเวอร์ฟ้อง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ตอบคำถามลักลอบขายสินค้าปลอดอากรในประเทศจริงหรือไม่

จากศาลชั้นต้นถึงศาลฎีกา ยกฟ้องคดีคิงเพาเวอร์ฟ้อง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ตอบคำถามลักลอบขายสินค้าปลอดอากรในประเทศจริงหรือไม่

4 สิงหาคม 2016


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา
ที่มา : www.facebook.com/เจิมศักดิ์-ปิ่นทอง

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2559 เวลา 9.00 น. ณ ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ 1822/2554 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด มอบหมายนายรัฎฐาปกรณ์ ทับปั้น ทนายความเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและพิธีกรรายการชื่อดัง เป็นจำเลยในข้อหา “ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 326 และ 332

โดยคำฟ้องของโจทก์ระบุว่า “เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2553 เวลากลางคืน จำเลยได้ดูหมิ่นโจทก์ด้วยการโฆษณาและหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยสิ่งบันทึกเสียง ภาพ หรือกระจายเสียง หรือป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น โดยมีเจตนาร้ายกลั่นแกล้งโจทก์ และเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในชื่อเสียงหรือประการใดจากการโฆษณาดังกล่าวของจำเลย และหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ด้วยการโฆษณาและเผยแพร่ ต่อบุคคลที่ 3 และใส่ความโจทก์ โดยจำเลยในฐานะพิธีกรผู้ดำเนินรายการ “ลงเอย อย่างไร” ตอน ของเถื่อน ภาษีเถื่อน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ทำให้โจทก์เสียหายแก่ธุรกิจว่าเป็นบริษัทขายสินค้าเถื่อน หนีภาษีเถื่อนให้แก่บุคคลทั่วไป เป็นบริษัทไม่ดี ฉ้อโกงภาษีอากรของรัฐบาล เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 326 และ 332”

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2556 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยนำคลิปวิดีโอการสั่งซื้อสุรา ไวน์ หลายลังจากบุคคลหนึ่ง โดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน ซึ่งสินค้าทั้งหมดถูกใส่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีชื่อบริษัทของโจทก์ติดอยู่ที่ถุงและมีผู้นำมาส่งให้ถึงบ้าน จึงเชื่อว่าสามารถสั่งซื้อสินค้าปลอดอากรจากบริษัทของโจทก์ได้จริง เป็นการพิสูจน์ได้ว่าคำพูดที่จำเลยกล่าวในรายการเป็นเรื่องจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 การกระทำของจำเลย จึงได้รับยกเว้นโทษความผิดฐานหมิ่นประมาท

ต่อมา บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา “ยืนตามศาลชั้นต้น” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2559 เนื่องจากศาลมีความเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใด อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คดีนี้ต่อสู้กันมา 3 ปีเต็ม ในที่สุดศาลฎีกาก็มีคำพิพากษา “ยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องคดี” ครั้งนี้ศาลฎีกามีความเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรายการ ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อมวลชนโดยสุจริต ที่วิญญูชนคนทั่วไปสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ และขณะที่การตั้งข้อสงสัยนั้น จำเลยก็ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ถือว่าได้ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้แก่สังคม เพื่อช่วยตรวจสอบการทุจริตเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง

คดีนี้มีที่มาอย่างไร

ภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าถึงที่มาของคดีนี้ว่า คดีนี้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ตรงกับสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการปรับขึ้นภาษีเหล้า บุหรี่ ขณะนั้นมีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

“เป็นช่วงจังหวะที่ผมกำลังทำรายการ “ลงเอย อย่างไร” ตอน ของเถื่อน ภาษีเถื่อน จึงไปสัมภาษณ์ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่กำกับดูแลกรมสรรพสามิต ระหว่างการซักถาม ช่องทางการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี บังเอิญผมเคยเป็นกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ทราบว่าในอดีต ทอท. เคยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการนำสินค้าปลอดอากรออกมาขายภายในประเทศ ประกอบกับคำบอกเล่าของนายชรินทร์ นุกรณ์นวรัตน์ ประธานบริหาร บริษัท โกลเบิล ยูเนี่ยน เอกซ์เพรส จำกัด ซึ่งเป็นเพื่อนของผม บอกว่าเคยโทรศัพท์สั่งซื้อเหล้า บุหรี่ ไวน์ จากร้านค้าปลอดอากร โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ต พร้อมกับจัดส่งให้ถึงบ้าน”

“ระหว่างสัมภาษณ์ ผมถาม นพ.พฤฒิชัยว่า จริงๆ แล้วมีเรื่องหนึ่งที่ผมเองก็แปลกใจ มีเพื่อนผมเขาบอกว่าสามารถสั่งเหล้าและไวน์ที่ไม่ต้องเสียภาษีจากร้านค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรีได้โดยไม่ต้องไปซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อแสดงว่าเดินทางไปต่างประเทศ แต่สามารถโทรศัพท์ไปสั่งแล้วสามารถส่งไวน์เป็นลังมาถึงบ้านได้ ถ้าระบบทำแบบนี้ผมเป็นห่วง เราจะมีเหล้าบุหรี่ไม่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐขายในบ้านเมืองของเรา ผมก็เป็นห่วงเหมือนกัน หลังจากสกู๊ปชิ้นนี้ออกอากาศไป ผมก็ถูกบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ฟ้องหมิ่นประมาท เพราะไปพาดพิงถึงคิงเพาเวอร์”

หลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ชนะคดี 3 ศาล

นายเจิมศักดิ์เล่าต่อว่า”หลังจากนายชรินทร์ทราบข่าวว่าผมถูกฟ้อง จึงทำการทดลองสั่งซื้อเหล้าบุหรี่จากร้านค้าปลอดอากรอีก ครั้งนี้ถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน ถึงแม้นายชรินทร์ไม่สามารถระบุว่าสั่งซื้อจากใคร ซื้อจากบริษัทโดยตรงใช่หรือไม่ แต่สินค้าที่อยู่ในคลิปวิดีโอเป็นสินค้าปลอดอากรจริง บรรจุอยู่ในกล่องและถุงที่มีตราของบริษัทที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผม ซึ่งผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าปลอดอากรตอนนั้นมีอยู่เจ้าเดียว คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผมจึงขอให้นายชรินทร์ไปให้การต่อศาล นายชรินทร์ไม่ได้บอกว่าสั่งจากคิงเพาเวอร์ แต่โทรศัพท์สั่งซื้อไปแล้ว ก็ได้รับสินค้าจากร้านค้าปลอดอากร”

นอกจากนี้ตนยังขอร้องให้ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตบอร์ด ทอท. รุ่นเดียวกับตนไปให้การต่อศาล ในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีข้อกล่าวหามีการขนสินค้าปลอดอากรออกในช่องทางที่ไม่ปกติ (ท่าอากาศยานเชียงใหม่) รวมทั้งอดีตอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเคยเป็นบอร์ด ทอท. รุ่นเดียวกับตนเช่นกัน นำแฟ้มคดีเปรียบเทียบปรับบริษัท กรณีไม่ได้ใช้พาสปอร์ตซื้อสินค้าปลอดอากรมาแสดงต่อศาล

“เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้ว จึงพิพากษายกคำฟ้องของโจทก์ แต่ถ้าพิจารณาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คำถามของผมดูเหมือนว่าจะหมิ่นประมาท แต่ได้รับยกเว้น เพราะเป็นการนำเสนอเรื่องจริงและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ทนายความของผมบอกให้ยื่นอุทธรณ์ ผมก็บอกว่าชนะคดีแล้วจะอุทธรณ์ทำไม ทนายความผมอธิบายจนเข้าใจว่าผมยังหมิ่นประมาท แต่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องรับโทษ”

นายเจิมศักดิ์กล่าวต่อว่าทางบริษัทคิงเพาเวอร์ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล กล่าวว่าผมผิดหมิ่นประมาท ส่วนผมก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเช่นกัน ระบุว่า คำถามของผมไม่มีเจตนาหมิ่นประมาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าผมไม่มีเจตนาหมิ่นประมาท เพราะคำถามที่ผมถามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นข้อสงสัยเพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข โดยสรุปแล้วศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาคนละประเด็น จากนั้น บริษัทคิงเพาเวอร์ได้ให้ทนายความยื่นฎีกาต่อศาล และในที่สุดศาลฎีกาก็พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ยกคำฟ้องโจทก์

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังศาลฎีกาติดสินจะฟ้องกลับหรือไม่ นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า “ยังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป แต่ถ้าถามความรู้สึกผม ณ ขณะนี้ คิดว่าไม่อยากยุ่ง ผมเหนื่อย เพราะผมยังมีคดีความอื่นๆ ที่ต้องต่อสู้ในชั้นศาลอีก 4-5 คดี ถามว่าจะส่งสำนวนคดีและหลักฐานให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เช่น ป.ป.ช. สตง. เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ฐานปล่อยปะละเลยหรือไม่ ประเด็นนี้น่าสนใจมาก แต่ต้องขอศึกษาก่อนว่าควรดำเนินคดีกับกรมศุลกากรหรือกรมสรรพสามิต”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าได้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้ นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า”คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้ ผมถือว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการสื่อมวลชน และยังเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ ให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ตรวจสอบต่อไป บริษัทเอกชนทำผิด เสียภาษีไม่ถูกต้อง สื่อก็สามารถตรวจสอบได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสาธารณชน ต้องช่วยกันหาทางปิดช่องโหว่ที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ หากปล่อยให้มีการนำสินค้าปลอดอากรออกมาขายในประเทศจริง ก็จะทำให้ระบบการค้าปั่นป่วน ผู้ประกอบการที่เสียภาษีถูกต้องก็เจ๊งกันหมด เพราะสินค้าที่ไม่เสียภาษีจะตั้งราคาขายได้ถูกกว่า ถึงแม้ผมจะเสียเวลาขึ้นศาลถึง 3 ปีเต็ม ผมคิดว่ามันก็เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ผมไม่ได้มีเจตนาจะใส่ร้ายใคร แต่มีเจตนาที่จะทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และไม่ต้องการให้มีการเอาเปรียบทางการค้า จึงตั้งเป็นคำถามต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง”

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะนำคลิปวิดีโอเผยแพร่ต่อสาธารณชนไหม นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า “ผมคิดว่าเผยแพร่ได้นะ เพราะศาลตัดสินแล้วว่าผมไม่มีความผิดหมิ่นประมาท ผมคิดว่าจะนำบางท่อน บางตอนไปเปิดในรายการฟ้าวันใหม่ของ “บลูสกายทีวี” ตอน คดี King Power ลงเอยอย่างไร? เหล้าเถื่อน ภาษีเถื่อน”.