ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสการเมือง > รัฐบาลเตรียมรองรับประชาชนถวายอาลัย 29 ต.ค. นี้ – ทำงบประมาณรูปแบบใหม่ – ไฟเขียวกม.ยาสูบ ต่ำกว่า 20 ห้ามซื้อ/แบ่งซองขาย

รัฐบาลเตรียมรองรับประชาชนถวายอาลัย 29 ต.ค. นี้ – ทำงบประมาณรูปแบบใหม่ – ไฟเขียวกม.ยาสูบ ต่ำกว่า 20 ห้ามซื้อ/แบ่งซองขาย

25 ตุลาคม 2016


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

เตรียมรองรับประชาชนถวายอาลัย 29 ต.ค. นี้

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงมาตรการดูแลและรองรับประชาชนที่จะเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในวันที่ 29 ตุลาคม 2559 ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการตั้งศูนย์อำนวยการร่วมที่สนามหลวง จัดระเบียบการถวายสักการะ

สำหรับวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ศูนย์ติดตามสถานการณ์ (ศตส.) จะประชุมพิจารณาหารือนำแผนเพื่อรองรับประชาชนในเรื่องการจัดระเบียบดีขึ้นทั้งการรักษาความปลอดภัย น้ำ ขยะ จัดการอาหารที่นำมาแจก ซึ่งอาจจะต้องปรับให้เป็นอาหารแห้งหรืออาหารสำเร็จรูป อาจจะให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีโรคประจำตัว ลมชัก ความดัน จะต้องมีรายละเอียดของตัวเองใส่กระเป๋าเสื้อไว้ หากเกิดเหตุจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที เช่นเดียวกับเด็กที่อาจพลัดหลงกับผู้ปกครอง พร้อมสั่งตำรวจหน่วยเคลื่อนเร็วช่วยเหลือประชาชน

พร้อมกันนั้น ได้ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการจัดเตรียมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมกับคณะกรรมการอื่นๆ และเตรียมประชุมในเร็วๆ นี้ เนื่องจากต้องรอการประสานจากสำนักพระราชวัง

ตามที่มีเสียงร้องเรียนว่าห้องน้ำไม่เพียงพอต่อการใช้งาน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ติดต่อให้เอสซีจีจัดหาห้องน้ำน็อกดาวน์มาเพิ่มเติมในวันที่ 29 ตุลาคม และในช่วงที่ 2 คือ 14 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ก็จะมีห้องน้ำน็อกดาวน์ทั้งชายและหญิงเพิ่มมา 1 ยูนิต

ยันจำนำข้าวไม่ขัด พ.ร.บ.รับผิดของเจ้าหน้าที่ 2539

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงประเด็นเรื่องคดีจำนำข้าว ที่ทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่ออุทธรณ์คำสั่งปกครองเรียกชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2559 นี้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามก็มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ หากทำตามขั้นตอนอุทธรณ์ไม่ได้ก็ไปชี้แจง และแสดงหลักฐานในศาล ฝ่ายกฎหมายเองก็ไม่ขัดข้อง ถือเป็นขั้นตอนกฎหมายตามปกติ

พร้อมยืนยันว่า ตนมีหน้าที่ในการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น และไม่เคยบอกว่าสิ่งที่เกิดนั้นถูกหรือผิด แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีจำนวนมากพอสมควร ก็ต้องไปชี้แจงกันในชี้ศาล

สำหรับกรณีที่มองว่าคำสั่งศาลปกครอง ขัดเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 นั้น ตนได้ปรึกษากับฝ่ายกฎหมายแล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เมื่อปี 2539 ยืนยันว่า ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ แล้วจะให้ตนว่าอย่างไรต่อได้

“หากมีข้อชี้แจงอย่างไรก็ขอให้ไปชี้แจงในชั้นศาล อย่ามาชี้แจงกันในสื่อ ผมจะไม่ขอพูดตอบโต้ในเรื่องเหล่านี้อีก เพราะผมถือว่าผมนำเรื่องเหล่านี้เข้าไปแล้ว ก็ขอให้ไปชี้แจงด้วยหลักฐานที่มีอยู่ อย่าลืมว่าทุกคดีผมไม่ได้เริ่มต้น เป็นคดีที่ค้างคามานาน ผมก็ต้องรับมาปฏิบัติต่อไปในกระบวนการยุติธรรม” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

อย่าสร้างความหวาดกลัว เหตุระเบิดปัตตานี

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงประเด็นเรื่องระเบิดที่เทศบาลเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาว่า ถ้ายังมีฝ่ายที่จ้องจะลงมืออยู่ มันก็อาจจะมีเหตุเกิดขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏกายอย่างชัดเจน แต่จะปะปนอยู่กับประชาชน ขณะนี้หลายๆ อย่างดีขึ้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นผลกระทบจากกระบวนการพูดคุย เป็นการสร้างศักยภาพของฝ่ายเขา ฉะนั้น ตนไม่อยากให้เราให้ความสำคัญกับเรื่องการข่าวมากนัก เพราะจะเป็นการสร้างความหวาดกลัว อยากให้เป็นการเสนอข้อเท็จจริงไป

“เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเขาก็เสี่ยงด้วย ไม่ใช่แค่ประชาชน ขอให้เห็นใจกันด้วย เจ้าหน้าที่พร้อมจะเสียสละอยู่แล้ว ไม่อยากให้ประชาชนบาดเจ็บหรือสูญเสียแม้แต่คนเดียว เราไม่อยากให้ความสำคัญกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งช่วงนี้ก็ดีขึ้นมากมาย” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

ยันไม่เคยมีเว็บเพจของตัวเอง – ย้ำเป็นเพื่อนกับผู้นำมาเลเซีย

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงกรณีมีเว็บเพจอ้างว่าเป็นนายกรัฐมนตรีในทวิตเตอร์ว่า ไม่เคยมีแอกเคาต์เป็นของตัวเอง ต้องไปดูว่าเจตนารมณ์เขาทำเพื่ออะไร เท่าที่ตรวจสอบมีหลายครั้งที่ออกมาทำนองนี้ และต่างประเทศก็มีแบบนี้ อาจจะไม่ใช่ของตนคนเดียว แม้กระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน แสดงว่าเป็นการเอาเยี่ยงอย่างมาหรือไม่ ตนไม่แน่ใจ โดยตนกับทางประเทศมาเลเซียเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นผู้นำประเทศเหมือนกัน ฉะนั้น เรื่องใดก็ตามที่เป็นกิจการภายในของแต่ประเทศ ซึ่งอาเซียนตกลงกันแล้ว เรื่องใดที่เป็นเรื่องภายในประเทศก็แก้ปัญหากันไป แต่เรื่องใดที่สร้างสรรค์ก็เป็นความร่วมมือระหว่างอาเซียน ขอแยกแยะให้ออก

เตรียมจัดทำงบประมาณรูปแบบใหม่

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทำงบประมาณใหม่ ซึ่งในการทำงบประมาณรูปแบบใหม่นี้จะต้องเป็นแผนที่มีความเชื่อมโยงกับกระทรวงอื่น สามารถต่อยอดไปถึงการพัฒนาในอีก 20 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำแผนงบประมาณเหล่านี้ไปต่อยอดการปฏิรูปประเทศที่จะสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนในทุกระดับชั้นในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คน จะกำกับดูแลงานในสายงานของแต่ละคน โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน รับผิดชอบด้านงบประมาณและกลั่นกรองแผนงานก่อนจะส่งให้กับนายกรัฐมนตรี

ด้าน พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายใหม่ประจำปี 2561 ตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยแบ่งกลุ่มแผนงานออกเป็น 28 กลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มงานที่เพิ่มขึ้น คือ กลุ่มงานไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มงานเกษตร และกลุ่มงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า “ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีขั้นตอนในการทำงานอยู่แล้ว ขอให้เชื่อมั่น ตนทำดีที่สุดแล้ว อยากให้บ้านเมืองไปได้ปลอดภัย เราต้องแสดงความเข้มแข็งของเรา อย่าให้ต่างชาติมองว่าเรายังทะเลาะกันไม่เลิก หรือเอาเรื่องประเด็นความขัดแย้ง เอาสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกันอีกไม่ได้แล้ว อย่าลืมว่ากฎหมายเหล่านี้มีเพื่อพิทักษ์ปกป้องพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้น ต้องมาดูว่าจะทำกันอย่างไร เหมือนกับกฎหมาย ต้องให้ประชาชนคุ้มครองซึ่งกันและกัน ไม่มีการดูหมิ่นกัน แต่ท่านทรงฟ้องอะไรด้วยพระองค์เองไม่ได้”

นอกจากนี้ ยังมีมติ ครม. ที่น่าสนใจอื่นๆ ดังนี้

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เห็นชอบกฎหมายยาสูบ ต่ำกว่า 20 ห้ามซื้อ/ซองขาย

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีปรับปรุงรวบรวมสาระสำคัญของพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 มารวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกันและรวบรวมหลักเกณฑ์ให้เป็นระบบ เพื่อให้การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

  • แก้ไขเพิ่มเติมในคำนิยามคำว่า “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ให้มีการครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ เช่น บารากู่ บุหรี่ไฟฟ้า
  • แก้ไขคำนิยามการสื่อสารการตลาดให้ครอบคลุมไปถึง การขาย การแสดง ณ จุดขาย การขายโดยการใช้บุคคล การสร้างภาพลักษณ์
  • เพิ่มเติมคำนิยามฉลากให้ครอบคลุมถึงการแสดงฉลากผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ โดยหลักเกณฑ์การซื้อขายจะกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ที่จะซื้อจากเดิมอายุ 18 ปี เป็น 20 ปี
  • ห้ามขายในลักษณะจูงใจให้บริโภค ห้ามแจกจ่ายเป็นตัวอย่างให้ทดลอง ห้ายขายในสถานที่ต่างๆ ที่เป็นสถานที่ง่ายต่อการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน
  • ห้ามโฆษณา เช่น แสดงชื่อ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประกวด การแข่งขัน ห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ยาสูบ แต่ใช้เครื่องหมายผลิตภัณฑ์ยาสูบมาเป็นชื่อหรือเครื่องหมาย
  • ห้ามผลิต ขาย นำเข้ามาเพื่อขาย หรือนำเข้ามาเพื่อแจกจ่าย ห้ามแบ่งซองขาย รวมทั้งห้ามทำการโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ที่เป็นสิ่งเลียนแบบผลิตภัณฑ์ยาสูบ
  • ห้ามผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้แทนจำหน่าย หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดำเนินกิจกรรมในลักษณะให้การอุปถัมภ์ หรือสร้างการรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม

“ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านการตรวจพิจารณาความเห็นจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งรวมถึงนำข้อเสนอแนะจากตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ สมาคมการค้ายาสูบไทยด้วย อีกทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาทำการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่นาสูบ และผู้ได้รับผลกระทบด้วยแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังไม่สามารถระบุเวลาได้ว่าจะออกมามีผลบังคับใช้เมื่อไร ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในชั้นต่อไป”  พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งการในที่ประชุมให้กำหนดเขตปลอดบุหรี่เพิ่มเติม โดยไม่ได้เน้นว่าจะสนับสนุนการสูบบุหรี่ แต่จะเน้นจำนวนผู้เสพ และไม่ให้เกิดผู้เสพรายใหม่

“ประชารัฐ” อุดหนุนเพิ่ม หมู่บ้านละ 250,000 บาท

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐประจำปีงบประมาณ 2560 โดยอนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อดำเนินการรวมวงเงิน 18,760 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปแก่หมู่บ้านแห่งละ 250,000 บาท จำนวน 74,655 หมู่บ้าน วงเงินรวม 18,663.75 ล้านบาท และค่าดำเนินโครงการจำนวน 96.25 ล้านบาท

โครงการดังกล่าวต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ 2559 ที่สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 (มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล หรือตำบลละ 5 ล้านบาท และโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐระยะที่ 1  หมู่บ้านละ 200,000 บาท) กำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการ 3 เดือน (พฤศจิกายน 2559 – มกราคม2560)

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า นายกฯ ได้สั่งการให้เน้นการกลั่นกรองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์  ทำโครงการที่ให้เกิดการกระจายของเม็ดเงิน โดยเงินงบประมาณที่ลงไปครั้งนี้ แต่ละหมู่บ้านต้องไม่ไปจัดซื้อครุภัณฑ์ หรือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปีปกติ

“การสร้างศาลาการเปรียญ หรือการซ่อมแซมอาคารโรงเรียนซึ่งทางหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกระทรวงศึกษาธิการมีงบประมาณประจำปีไว้ดำเนินการอยู่แล้ว ควรเป็นโครงการที่ช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง   หรือจัดทำโครงสร้างพื้นฐานที่ชุมชนได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ลานตากมันสำปะหลัง เป็นต้น” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่ เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการและกรอบวงเงินให้กับโครงการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากประชาคมหมู่บ้านแล้ว และให้ไปประสานกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลาง ร่วมกันจัดทำคู่มือการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งสั่งการให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่คอยสนับสนุนด้านต่างๆ และต้องไปกำกับดูแล ติดตามโครงการ และรายงานสภาพปัญหา ความคืบหน้าให้ ครม. ทราบทุกเดือน

เห็นชอบ EGATi ซื้อหุ้นบริษัทเหมืองถ่านหินอินโดฯ

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการขออนุมัติลงทุนและเพิ่มทุนสำหรับซื้อหุ้นบริษัทเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย (บริษัท Adare Indonesia: AI) ของบริษัท กฟฝ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EGATi) ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย 2668-2579 มูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 325 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 11,700 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 11-12%

โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะทำการเพิ่มทุนให้บริษัท EGATi เพื่อลงทุนในเรื่องดังกล่าว โดยบริษัท EGATi จะทำการเบิกจ่ายในปี 2559 จำนวน 164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,904 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินรายได้ของ กฟผ. ส่วนที่เหลือต้องจ่ายอีกจำนวน 161 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,800 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2565-2570 จะใช้เงินปันผลที่ได้จากการลงทุน ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณของประเทศ

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า “การซื้อหุ้นบริษัทเหมืองถ่านหินของ EGATi เป็นการลงทุนตามปกติของบริษัท EGATi ไม่ได้เป็นการเอาถ่านหินมาเพื่อทำโรงไฟฟ้าที่จังหวัดหนึ่งจังหวัดใด ทั้งนี้นายกฯ ยังมีความต้องการให้คนในพื้นที่ที่จะสร้างโรงไฟฟ้าคุยกันให้เกิดความลงตัวก่อน อย่าได้วิตกกังวลกับผลกระทบเกินไป เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปมากสามารถที่จะช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้”

เห็นชอบจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมระดับอำเภอ

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 96/2557 เรื่องการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมเพื่อทำหน้าที่รับเรื่องร้องทุกข์ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร โดยให้ปรับเกลี่ยข้าราชการในจังหวัดและงบประมาณ จากศูนย์ดำรงธรรมระดับจังหวัดมาสู่ระดับอำเภอ และเมื่อทำงานไประยะหนึ่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประเมินตามประสิทธิภาพการทำงานว่าควรจะมีศูนย์ดำรงธรรมระดับจังหวัดหรืออำเภอ และอาจจะไม่จำเป็นต้องมีทุกอำเภอ

“นายกรัฐมนตรีกำชับว่าจะต้องมีระดับจังหวัดหรือระดับอำเภออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประหยัดงบประมาณ ให้ประชาชนสะดวกในการร้องทุกข์ไม่ต้องเดินทางเข้ามาในตัวจังหวัด” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สุขภาพจิต

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสุขภาพจิต เนื่องจากพระราชบัญญัติสุขภาพจิตฉบับล่าสุดคือปี 2551 ได้ใช้บังคับมา 8 ปีแล้วพบว่ามีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหลายส่วน และมีข้อกำหนดในการดำเนินงานบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีสาระสำคัญ เช่น

ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิ์ผู้ป่วยทางจิตในการได้รับการบำบัด รวมทั้งแก้ไขรายละเอียดตามกฎหมายในประเด็น เช่น การกำหนดนิยามคำว่า สุขภาพ สุขภาพจิต สำนักงานและหน่วยงานของรัฐให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีการกำหนดโยบายและคุมครองสิทธิของบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต การเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพจิต การกำหนดสิทธิของผู้ป่วยที่จะต้องได้รับ ได้แก่ การที่ผู้ป่วยมีสิทธิปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการบำบัดรักษาไว้เป็นความลับ การนำเสนอข้อมูล รวมถึงสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร การผูกมัดร่างกาย หรือแยกผู้ป่วยจะทำได้เฉพาะกรณีเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย และกำหนดข้อกำหนดการรักษาผู้ป่วยด้วยไฟฟ้า การกระทำต่อสมอง ประสาท หรือการบำบัดรักษาด้วยวิธีอื่น

รัฐบาลยืนยันเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวดี

พล.ท. สรรเสริญ ถึงกรณีอดีตรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจออกมาแสดงความเห็นพร้อมให้ข้อมูลว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีจะทรุดหนัก เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศลดต่ำลงตามรายได้ประชาชนที่ลดลง การลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ และจำนวนนักท่องเที่ยวมีปริมาณลดลงมาก นั้นตามที่กระทรวงการคลังได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

โดย พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่าตามรายงานกระทรวงการคลัง ระบุว่า การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนกันยายน 2559 ที่ขยายตัวร้อยละ 13.4 ต่อปี ตามรายได้ของเกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ณ เดือนกันยายน 2559 ที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี สำหรับยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนกันยายน 2559 ขยายตัวร้อยละ 3.2 ต่อปี โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวถึงร้อยละ 5.2 ต่อปี

ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนการลงทุนในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งในเดือนมกราคม-กันยายน 2559 การขอรับการส่งเสริมใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายมีมูลค่าทั้งสิ้น 157.8 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมโดยรวม สถานการณ์ท่องเที่ยวต่างประเทศล่าสุด พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2559 (ข้อมูลเบื้องต้นจากกรมการท่องเที่ยว) มีจำนวน 2.4 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อปี อ่านข้อมูลเพิ่มเติม: ข่าวแถลงกระทรวงการคลังฉบับที่-143-2559