ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 ก.ค. 2559: “‘บิ๊กตู่’ ไม่เห็นด้วย ‘ข่มขืนเท่ากับประหาร’ ชี้ ‘อย่าเสพติดกฎหมาย-ให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์'” และ “มหากาพย์หญิงไก่ จากแจ้งความลูกจ้างลักทรัพย์จนถึงตัวเองโดนแจ้งหมิ่นเบื้องสูง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 ก.ค. 2559: “‘บิ๊กตู่’ ไม่เห็นด้วย ‘ข่มขืนเท่ากับประหาร’ ชี้ ‘อย่าเสพติดกฎหมาย-ให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์'” และ “มหากาพย์หญิงไก่ จากแจ้งความลูกจ้างลักทรัพย์จนถึงตัวเองโดนแจ้งหมิ่นเบื้องสูง”

9 กรกฎาคม 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 ก.ค. 2559

  • “บิ๊กตู่” ไม่เห็นด้วย “ข่มขืนเท่ากับประหาร” ชี้ “อย่าเสพติดกฎหมาย-ให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์”
  • รวม 3 บอร์ดวิจัย นายกฯ คุม รองรับยุทธศาสตร์ 20 ปี
  • ซาอุฯ ช็อก 3 เมือง 4 ระเบิด
  • ราชทัณฑ์ยันไม่ละเมิดสิทธินักศึกษา – ไม่ใช่ตรวนแต่คือกุญแจเท้า
  • มหากาพย์หญิงไก่ จากแจ้งความลูกจ้างลักทรัพย์จนถึงตัวเองโดนแจ้งหมิ่นเบื้องสูง
  • บิ๊กตู่” ไม่เห็นด้วย “ข่มขืนเท่ากับประหาร” ชี้ “อย่าเสพติดกฎหมาย-ให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1467618656)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1467618656)

    จากกรณีเหตุการณ์สะเทือนขวัญ กรณีฆ่าข่มขืนครูสาว ที่จังหวัดสระบุรี จนนำมาซึ่งกระแสเรียกร้องให้คดีข่มขืนจะต้องมีโทษประหารสถานเดียวขึ้นมาอีกครั้ง

    ต่อเรื่องดังกล่าว มีความเห็นจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ว่า

    “ให้กลับไปดูทั่วโลกว่าเขาว่าอย่างไรอย่าไปคิดเอาเอง วันนี้อย่าลืมว่าเราอยู่กับกฎหมายโลก กฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน ทั่วโลกยกเลิกการประหารชีวิตกี่ประเทศแล้ว ของเราประหาร 3 ครั้งก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ที่ผ่านมาก็ใช้ในทุกมาตราแล้ว ทั้งกฎหมายปกติ และมาตรา 44 ซึ่งไม่มีอะไรแรงไปกล่าวนี้ ก็ยังไม่กลัวกันเลย” รวมทั้งยังบอกด้วยว่า “ถ้าให้มีการประหารชีวิตก็คงต้องประหารสัก 3 ชาติ ถึงจะกลัว อย่ามาใช้กฎหมายจนเสพติด อย่าไปเสพติดกฎหมายจนไปสู่อำนาจ ไปสู่ผลประโยชน์ อย่าไปเสพติดแบบนั้น ขอให้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ดีกว่า สังคมก็ต้องช่วยกันกดดัน นักข่าวก็ต้องช่วยกันประณาม สื่อต้องช่วยผมในการกดดัน คนที่ทำความผิดเหล่านี้ให้มันสงบ อย่าปล่อยให้มีปากมีเสียงอยู่ได้”

    นอกจากนี้ ทางด้านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ก็ได้รายงานถึงความเห็นของนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่มีใจความว่า ถ้าข่มขื่นแล้วฆ่านั้น โทษตามกฎหมายก็คือต้องประหารชีวิตอยู่แล้ว แต่ถ้าทำให้แม้แต่ข่มขืนโดยไม่ฆ่าก็ต้องประหารด้วย เท่ากับส่งเสริมให้ “มีการข่มขืนทุกราย เพราะต้องฆ่าปิดปากให้หมดเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตน”

    ทั้งนี้ นายธวัชชัยยังแสดงความเห็นอีกว่า “มีคดีมากมายที่เด็กรักกัน พ่อแม่ไม่ยอม หรือเรียกเงินสินสอดทองหมั้นสูงเกินไป ตกลงไม่ได้ก็ไปแจ้งความว่าลูกถูกข่มขืน และอื่นๆ จะทำอย่างไร

    เป็นไปได้หรือไม่ คดีข่มขืนกระทำชำเราทุกคดี ให้ศาลท่านใช้ดุลพินิจมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจทุกคดี โดยไม่จำกัดเฉพาะคดีที่มีอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี เพราะ พ.ร.บ.คุมประพฤติก็ได้มีการแก้ให้มีอำนาจสืบเสาะในคดีทุกประเภทได้อยู่แล้ว

    และคดีข่มขืนกระทำชำเรา จำเป็นต้องเข้าโปรแกรมบำบัดเฉพาะ และควรได้รับการติดตามช่วยเหลือหลังพ้นโทษตามคำพิพากษาทุกรายจะดีกว่าหรือไม่”

    รวม 3 บอร์ดวิจัย นายกฯ คุม รองรับยุทธศาสตร์ 20 ปี

    5 ก.ค. 2559 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ (คพน.) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติให้รวมคณะกรรมการด้านวิจัยระดับชาติ 3 คณะ เป็นคณะกรรมการชุดเดียวกัน โดย 3 คณะนั้นประกอบด้วย

    1. คณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ
    2. คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ
    3. คพน.

    ทั้งนี้ ให้เรียกว่าคณะกรรมการนโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (นวนช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน เพื่อให้นโยบายการวิจัยของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อนจากปัจจุบันที่การทำงานของคณะกรรมการทั้ง 3 ชุดที่ทับซ้อนกัน โดยหน่วยงานหรือองค์กรที่อยู่ภายในกำกับของคณะกรรมการทั้ง 3 คณะ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยังทำงานเป็นอิสระต่อกัน เพียงแต่จะต้องทำงานตามนโยบายของบอร์ด นวนช.

    นายสุทวิย์ยังกล่าวด้วยว่า “การรวมคณะกรรมการทั้ง 3 ชุดนี้ เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ประเทศระยะ 20 ปี นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นอนาคตประเทศทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านชีวภาพ อุตสาหกรรมด้านพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมด้านวิศวกรรมและการออกแบบ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับคุณภาพชีวิต และอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทำให้เกิดความชัดเจนว่าหน่วยงานวิจัยที่มีหน่วยงานย่อยอยู่ 20-30 หน่วยงานนั้นใครจะทำอะไรบ้าง มหาวิทยาลัยทั้ง 27 แห่ง จะตอบโจทย์ผลักดัน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมอย่างไร”

    นายสุวิทย์ระบุว่า หลังจากตั้งบอร์ด นวนช. แล้ว บอร์ดดังกล่าวจะมีหน้าที่บูรณาการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาของกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนส่งเสริมนวัตกรรมประเทศวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท กองทุนส่งเสริมด้านดิจิทัลวงเงิน 5,000 ล้านบาท กองทุนตั้งตัวซึ่งกระทรวงศึกษาธิการโอนให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ดูแลแล้ววงเงิน 2,000 ล้านบาท

    นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการปรับโครงสร้างด้านการวิจัยของประเทศ เพื่อเพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศให้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.5% ของจีดีพี ซึ่งเป้าหมายที่จะเพิ่มคือต้องเป็น 0.7% ในปี 2560 และเป็น 2% ของจีดีพีเมื่อสิ้นแผนยุทธศาสตร์ประเทศระยะ 20 ปี

    ซาอุฯ ช็อก 3 เมือง 4 ระเบิด

    ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย (https://en.wikipedia.org/wiki/2016_Saudi_Arabia_bombings)
    ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย (https://en.wikipedia.org/wiki/2016_Saudi_Arabia_bombings)

    วันที่ 4 ก.ค. 2559 เกิดเหตุระเบิดขึ้น 4 ครั้งใน 3 เมืองของประเทศซาอุดีอาระเบีย ดังนี้

    1. เหตุระเบิดครั้งแรก เกิดขึ้นบริเวณลานจอดรถของมัสยิดนะบะวีย์ เมืองเมดินา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย (รวมมือระเบิด 1 ราย) และบาดเจ็บ 5 ราย โดยนอกจากมือระเบิดแล้ว ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดคือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พบพิรุธและพยายามเข้าจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย
    2. เหตุระเบิดครั้งที่สองและสาม เกิดขึ้นในเมืองกาติฟ โดยเกิดความผิดพลาดพลาด ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต นอกจากตัวมือระเบิดพลีชีพ
    3. เหตุระเบิดครั้งที่สี่ เกิดขึ้นใกล้ๆ กับสถานกงศุลสหรัฐอเมริกาในเมืองเจดดาห์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย

    ทั้งนี้ การโจมตีเกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดของเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอซิสประกาศยกระดับความรุนแรงในการโจมตีพื้นที่ต่างๆ แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีฝ่ายใดออกมาอ้างตัวว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว

    ราชทัณฑ์ยันไม่ละเมิดสิทธินักศึกษา – ไม่ใช่ตรวนแต่คือกุญแจเท้า

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ (http://www.dailynews.co.th/crime/507336)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ (http://www.dailynews.co.th/crime/507336)

    วันที่ 6 ก.ค. 2559 เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คุมตัว 7 นักศึกษา กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่และเครือข่าย ผู้ต้องหาคดีชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และข้อหาตาม พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ มาขออำนาจศาลทหารฝากขังผัดที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2559 ที่ผ่านมานั้น เมื่อภาพการคุมตัว 7 นักศึกษาปรากฎตามสื่อหลายช่องทาง ได้เกิดการตั้งคำถามจากนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และสังคมออนไลน์ว่า การใช้โซ่ตรวนกับเหล่านักศึกษา เป็นการละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะมีระเบียบให้คำนึงถึงความปลอดภัยก็ตาม แต่นักศึกษาทั้ง 7 คนก็ได้แสดงเจตนายินดีให้เข้าจับกุม คุมขังโดยไม่คิดหนีตั้งแต่แรก ซึ่งทางราชทัณฑ์ควรจะใช้เหตุผลในการพิจารณาว่าความปลอดภัยดังกล่าว ต้องไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักศึกษาด้วย

    ล่าสุด วันที่ 6 ก.ค. 2559 เดลินิวส์ออนไลน์ได้สอบถามไปยัง นายอุดม สุขทอง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า เครื่องมือที่ใช้ในการพันธนาการนักศึกษาทั้ง 7 คนนั้น จริงๆแล้วคือกุญแจเท้า ไม่ใช่ตรวนอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการพันธนาการนักโทษตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มีทั้งหมด 5 ประเภท คือ 1. ตรวน 2. กุญแจมือ 3. กุญแจเท้า 4. กุญแจมือและเท้า 5. โซ่ล่าม การที่ใช้กุญแจเท้ากับนักศึกษานั้น ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ได้ทำเกินเลย แต่เป็นการทำตามกฎหมายอย่างเบาที่สุดแล้ว และหากเจ้าหน้าที่ไม่มีการพันธนาการก็จะเป็นความผิดตามกฎหมายอีก การที่นักศึกษาแสดงเจตนาว่าจะไม่มีการหลบหนีนั้น ในทางกลับกันตนมองว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีเครื่องยืนยันอีกว่าจะไม่มีการหลบหนีเกิดขึ้นจริงหรือมีผู้พาหลบหนี ไม่ว่าจะเป็นนักโทษจากคดีการเมืองหรือคดีอื่นๆ ก็ตาม จึงจำเป็นจะต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ถ้าหากเกิดการหลบหนีขึ้นมาจริง ผู้ที่ต้องรับผิดก็คือตัวเจ้าหน้าที่เอง อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้โซ่ตรวนนั้นจะใช้สำหรับคดีอุกฉกรรจ์ที่มีโทษตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปเท่านั้น

    “ผมอยากขอให้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นนั้นอย่าเชื่อสิ่งที่แชร์ต่อกันมา แต่ขอศึกษาทำความเข้าใจตัวบทกฏหมายให้ชัดเจนเสียก่อน เมื่อศึกษาให้ดีแล้ว สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นก็จะไม่เป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาบอกว่าท่านไม่เป็นผู้รู้ที่แท้จริง” หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผู้ต้องขังกล่าว

    มหากาพย์หญิงไก่ จากแจ้งความลูกจ้างลักทรัพย์จนถึงตัวเองโดนแจ้งหมิ่นเบื้องสูง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/658041)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/658041)

    จากกรณี “หญิงไก่” หรือนางมณตา หยกรัตนกาญ แจ้งความดำเนินคดีหญิงสาวอดีตลูกจ้างพร้อมกับพ่อแม่ในข้อหาว่าลักทรัพย์สินและเงินทองไปรวม 10 ล้านบาท จนหญิงสาวคนดังกล่าวต้องเข้าร้องทุกข์กับกองบังคับการปราบปราม และทำให้เกิดการสืบสาวเรื่องราวกันจนกลายเป็นมหากาพย์คดีที่ว่าด้วยความลึกลับซับซ้อนของนางมณตา หรือหญิงไก่ผู้นี้ และทำท่าว่าคดีจะพลิก จนทำให้นางมณตากลายเป็นผู้ต้องหาในหลายคดี

    ล่าสุด เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นางมณตาได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 7 ก.ค. 2559 เวลา 11.45 น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ซึ่งหลังจากสอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหานางมณตา 3 ข้อหา 5 คดี ประกอบด้วย

    1. แจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษอาญา 3 คดี เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ
    2. ข้อหาพยายามค้ามนุษย์
    3. ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนางมณตาไปถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติผู้ต้องหา โดยนายมณตาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

    อนึ่ง ในส่วนของการดำเนินคดีนางมณตาในฐานความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สืบเนื่องจากกรณีนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ นำผู้เสียหายซึ่งเป็นอดีตลูกจ้างมาแจ้งความดำเนินคดีนางมณตาข้อหาแจ้งความเท็จ ต่อมาจากการสอบปากคำผู้เสียหายพบความเชื่อมโยงการกระทำความผิดเรื่องของการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง อวดอ้างตัวว่าเป็นคุณหญิง โดยนายกมลศักดิ์ ศรีประเสริฐ ทนายความ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษนำพยานหลักฐานมามอบให้เพื่อดำเนินคดี ประกอบกับชุดสืบสวนสอบสวนพบประจักษ์พยานสำคัญที่ได้เข้ามาให้การถึงพฤติกรรมของนางมณตาว่า แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ จึงดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว

    ทั้งนี้ เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานด้วยว่า ศาลไม่ให้นางมณตาประกันตัว ทำให้ต้องถูกคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางทันที