ThaiPublica > เกาะกระแส > บริษัท-ห้างร้าน 4.3 แสนราย แห่เข้าโครงการเอสเอ็มอี “บัญชีเดียว” สรรพากร ชงครม. รื้อโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในมี.ค.นี้

บริษัท-ห้างร้าน 4.3 แสนราย แห่เข้าโครงการเอสเอ็มอี “บัญชีเดียว” สรรพากร ชงครม. รื้อโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในมี.ค.นี้

15 มีนาคม 2016


นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 กรมสรรพากรร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาวิชาชีพบัญชี จัดงานสัมมนา “โค้งสุดท้ายมาตรการบัญชีชุดเดียว” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการบัญชีชุดเดียว รุ่นที่ 3 โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธานกล่าวเปิดงาน

นายประสงค์ กล่าวว่า มาตรการบัญชีชุดเดียวมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ ต้องการให้ผู้ประกอบธุรกิจแก้ไขข้อผิดพลาดทางการบัญชีที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของธุรกิจ (บัญชีชุดเดียว) รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากมาตรการนี้ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องปรับปรุงงบการเงินรอบบัญชีปี 2558 ที่จะยื่นในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ให้ถูกต้อง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

หลังจากกรมสรรพากรเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้ามาจดแจ้งกับกรมสรรพากร เพื่อขอเป็นผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2559 นายประสงค์ กล่าวว่า มีผู้มาจดแจ้งอย่างไม่เป็นทางการแล้ว 470,000 ราย หากตัดรายชื่อผู้ที่ยื่นคำร้องซ้ำซ้อนออกจะเหลือ 430,000 ราย คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 100% ของผู้ประกอบการทั้งหมด 500,000 ราย

สำหรับผู้ที่มาจดแจ้งกับกรมสรรพากรแล้วจะได้รับสิทธิยกเว้นการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังทุกประเภท โดยมีข้อแม้ว่าผู้ประกอบการต้องเริ่มต้นทำบัญชีแสดงรายได้และงบการเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง หรือทำ “บัญชีชุดเดียว” ตั้งแต่วันที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภาษีที่มีอยู่ประมาณ 8,000 คน ก็ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่ โดยมาให้ทำหน้าที่แนะนำผู้เสียภาษี ทำบัญชีที่เป็นมาตรฐานและเสียภาษีให้ถูกต้อง

นายประสงค์ กล่าวต่อว่า หลังจากผู้ประกอบการจัดทำบัญชีเล่มเดียวเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป กรมสรรพากรจะนำระบบการชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Payment มาใช้ในการจัดเก็บภาษี โดยกรมสรรพากรจะเชื่อมโยงข้อมูลกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในอนาคตการเสียภาษีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต้องจ่ายเงินผ่านธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดจะออนไลน์เข้ามาอยู่ในฐานข้อมูลกรมสรรพากร

“มาตรการบัญชีชุดเดียว ในระยะสั้นอาจทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้จากภาษีตรงไม่มากนัก แต่ในระยะยาวกรมสรรพากรจะมีรายได้จากภาษีทางอ้อมเพิ่มขึ้น 30% ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และถ้าหากมีการนำระบบ E-Payment มาใช้จะช่วยอุดรูรั่วไหล ทำให้กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีธุรกิจการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีได้ นอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอุดรูรั่วไหลในการจัดเก็บภาษีแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้ด้วย ยกตัวอย่าง บริษัท ก โอนเงินเข้าบัญชีนาย ข เท่าไหร่ บริษัท ก หักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งกรมสรรพากรหรือไม่ ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้จะเชื่อมโยงมาที่กรมสรรพากรด้วย หากนาย ข มีเงินโอนเข้ามาอยู่ในบัญชี โดยไม่สามารถแสดงที่มาของรายได้ได้ โดยไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ก็ต้องถูกตรวจสอบ” นายประสงค์กล่าว

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า โครงการพัฒนาระบบการชำระภาษีผ่าน E-Payment ตามแผนงานที่กำหนดไว้ กรมสรรพากรต้องเร่งยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากรว่าด้วยการเรียกดูข้อมูลบุคคลที่ 3 เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน 2559 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินของธนาคารพาณิชย์มาที่ฐานข้อมูลกรมสรรพากร และเริ่มประกาศ TOR เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้ามาวางระบบ E-Payment ให้กรมสรรพากรช่วงเดือนตุลาคม 2559 หลักๆก็จะมีงานออกแบบและติดตั้งระบบถ่ายโอนข้อมูลทางการเงินของธนาคารพาณิชย์มาอยู่ในฐานข้อมูลสรรพากร รวมทั้งติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบและประมวลผลข้อมูลภาษีทุกประเภท กับข้อมูลทางการเงินของธนาคารพาณิชย์

“นอกจากนี้กรมสรรพากรเตรียมแผนปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานำเสนอที่ประชุมค.ร.ม. พิจารณาภายในเดือนมีนาคม 2559 ในหลักการจะมีทั้งการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีให้มีความเหมาะสมด้วย โดยภาพรวมแล้วผู้เสียภาษีทุกคนจะเสียภาษีลดลง” นายประสงค์กล่าว