ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2558
ถอยดีกว่า “ตั๊น” ไม่เป็นตำรวจแล้ว
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 เฟซบุ๊กเพจ “Thailand Police Story” ได้โพสต์เนื้อหาว่า “กองบัญชาการตำรวจนครบาล กำลังประมวลผลดำเนินการรับนางสาวจิตภัสร์ (ตั๊น) กฤดากร เข้าเป็นตำรวจ โดยจะดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ(191) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยศร้อยตำรวจตรี โดยจะเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณา โดยให้เหตุผลว่ามีความรู้ด้านประสานงานต่างประเทศ”
เรื่องราวดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านมากมายขึ้นในโลกออนไลน์ โดยเชื่อมโยงกับเมื่อครั้ง น.ส.จิตภัสร์ ยังเป็นหนึ่งในแกนนำคณะกรรมประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ทั้งในแง่ของการที่เคยนำมวลชนบุกไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุม กปปส. ทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกรณีที่มีหมายจับในข้อหากบฏและอื่นๆ รวม 8 ข้อหา จากการชุมนุมทางการเมืองในครั้งนั้น
ตัวอย่างของการต่อต้านที่เห็นได้ชัดคือ ในเฟซบุ๊กเพจ “ตำรวจไทย สู้ๆ” ได้มีการโพสต์เชิญชวนให้แสดงการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ด้วยการผูกริบบิ้นสีดำที่เสาวิทยุสื่อสาร เสาวิทยุติดรถยนต์ หรือกระจกมองข้างรถยนต์ รถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ ในส่วนของหมายจับ ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ชี้แจงว่า เนื่องจาก น.ส.จิตภัสร์ได้เคยเดินทางมามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป ซึ่งตามกฎหมายแล้ว เมื่อ “จับตัวได้” ก็ถือว่าหมายจับนั้นสิ้นสุดลงไป ส่วนจะขาดคุณสมบัติในการเข้ารับราชการตำรวจหรือไม่ เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (อ่านเพิ่มเติม)
อนึ่ง เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีนางสาวจิตภัสร์ กฤดากร หรือ ตั๊น อดีตแกนนำ กปปส. ที่มีรายชื่อเข้ารับการคัดเลือกบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดกองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่า ตำแหน่งดังกล่าวที่ น.ส.จิตภัสร์ สมัครเข้าไปนั้นเป็นตำแหน่งเปิดใหม่ ไม่เคยมีผู้ใดประจำตำแหน่งนี้มาก่อน จากนี้ต้องตรวจสอบเหตุผลก่อนว่าทาง บก.สปพ. เปิดตำแหน่งดังกล่าวขึ้นมาเพื่ออะไร แต่เท่าที่ทราบตำแหน่งนี้เป็นวุฒิที่ต้องการพิเศษเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค หรือ เป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนจึงต้องรับเข้ามา ถือว่าไม่ใช่วุฒิตามปกติเพราะหากเป็นเช่นนั้นต้องมีการไปสอบเข้าแบบการรับสมัครทั่วไป
ล่าสุด เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า วันที่ 24 ก.ย. 2558 เวลา 10.30 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร แถลงข่าวเปิดใจว่า อยากชี้แจงพร้อมทำความเข้าใจข้อเท็จจริงว่า เรื่องดังกล่าวตนมีเจตนารมรณ์ตั้งใจทำงานเพื่ออสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่สมัคร ส.ส. ทำงานการเมืองที่ผ่านมา แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ยังทำงานเชิงจิตอาสาตลอด 7 ปี ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนตัวขอยืนยันว่าเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากมีส่วนในการทำหน้าที่ตำรวจ หรือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่คอยดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุข ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนอีกทาง เพราะมองว่าตำรวจเป็นอาชีพทรงเกียรติ เสียสละ ทำงานหนัก เป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวได้ทำงานร่วมกับตำรวจบางสถานการณ์ก็ได้รับรู้ความทุกข์ยาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน ทำให้มีความเข้าใจและอยากมีส่วนร่วมในการศึกษากระบวนการทำงานของตำรวจ เพราะตำรวจยังขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณ ซึ่งถ้ามีโอกาสส่วนตัวไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นตำรวจ
“การเปิดรับสมัครตำรวจมีประจำทุกปี ต้องผ่านการคัดเลือกตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และดิฉันได้ดำเนินการตามปกติ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการ ซึ่งยืนยันว่าดิฉันยังไม่ได้รับบรรจุเป็นยศ ร.ต.ต. ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ และปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะสอบผ่านการคัดเลือกหรือไม่” น.ส.จิตภัสร์กล่าว
น.ส.จิตภัสร์กล่าวอีกว่า การชุมนุมที่ผ่านมา แม้ส่วนตัวจะมีบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่มีเจตนาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตำรวจ แต่ได้แสดงออกอยากให้ตำรวจเป็นที่พึ่งแท้จริงของประชาชน แม้ในสถานการณ์การชุมนุมได้เจอกับตำรวจ ต่างมีน้ำจิตน้ำใจไม่ตรีต่อกัน เพราะเข้าใจว่าต่างคนดำเนินการไปตามหน้าที่ ส่วนกรณีมีภาพปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งทำลายป้าย สตช. และต่อมามีการนำภาพดังกล่าวตัดต่อว่าเป็นตนเองนั้น ก็ยืนยันไม่เป็นความจริง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในช่วงชุมนุมที่เป็นภาษาอังกฤษ และมีการนำไปบิดเบือนนั้นก็ไม่เป็นความจริง
“ทุกวันนี้น่าเป็นห่วงมาก มีการทำสงครามข่าวสาร โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงแต่ละเหตุการณ์ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในปัจุบันจมปลักในความขัดแย้ง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้กรณีของดิฉัน ที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเกิดความไม่สบายใจและถกเถียงกัน โดยเฉพาะแวดวงข้าราชการตำรวจทุกระดับชั้น อันจะทำให้กลายเป็นความไม่สงบสุขในองค์กรตำรวจ หรือขยายผลไปเป็นความขัดแย้งในสังคม ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อไปตามขั้นตอนการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจ ท้ายที่สุด ขอบคุณทุกกำลังใจ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่คงไม่มีวาสนาเข้ามาทำงานตำรวจ สวมเครื่องแบบในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และพร้อมจะนำคำติมาพัฒนาตัวเอง และรับใช้ประชาชน ในฐานะผู้หญิงที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้ทุกคนอย่างไม่ย่อท้อ และอยากเห็นคนไทยมอบความรักให้กัน แทนความเกลียดชังบนความขัดแย้งแตกแยก เพื่อเดินหน้าประเทศไทยอย่างแข็งแกร่งยังยืนต่อไป” น.ส.จิตภัสร์กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.จิตภัสร์กล่าวยืนยันด้วยว่า การตัดสินใจเข้าเป็นตำรวจ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะเป็นความตั้งใจของตน และพอเกิดกระแสสังคม ทุกคนในบ้านให้กำลังใจให้ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป ไม่ว่าอยู่จุดไหนก็ตาม จะมีตำแหน่งหรือไม่มีก็ตาม โดยหลังจากนี้ตนก็จะทำงานด้านภาคประชาชนต่อไป ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการ และกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ขณะที่งานด้านการเมืองก็เป็นเรื่องของอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว น.ส.จิตภัสร์มีน้ำเสียงสั่นเครือ โดยเฉพาะในช่วงที่ระบุถึงการตัดสินถอนตัวและจะไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการรับราชการตำรวจ และหลังจากแถลงข่าวเสร็จได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงเล็กน้อย ก่อนลุกออกจากห้องแถลงข่าวไปในทันที
และหลังจากจบการแถลงข่าวยังมีในการแจกเอกสาร “จดหมายเปิดผนึกของ น.ส.จิตภัสร์ ถึง ด.ต. ธีรเดช เล็กภู” ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บการเตะระเบิดช่วงระหว่างการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาระบุตอนหนึ่งว่า “แม้เราจะทำหน้าที่ต่างกัน แต่ตั๊นขอกราบคารวะในการเสียสละของท่าน ที่มีให้เพื่อนพ้องของท่าน จิตใจนักสู้ของท่านเหนือสิ่งอื่นใด ของนับถือในการเสียสละของตัวท่านเอง เพื่อปกป้องเพื่อนพ้องของท่าน ไม่งั้นคงมีพี่น้องตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก หาได้ยากกับการเสียสละยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
”อียู” กดดัน ระงับเจรจาเอฟทีเอกับไทยจนกว่าจะคืนอำนาจ
วันที่ 22 ก.ย. 2558 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า สมาชิกสภา สหภาพยุโรป เสนอประเทศสมาชิกระงับเจรจา FTA กับรัฐบาลไทย จนกว่าจะมีการคืนอำนาจประชาธิปไตย
เว็บไซต์ EU Reporter รายงานว่า นายเดวิด มาร์ติน สมาชิกสภาสหภาพยุโรป เสนอให้สหภาพยุโรประงับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีจนกว่ารัฐบาลไทยจะกลับคืนสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และสหภาพยุโรปควรใช้เครื่องมือทางการทูต กดดันให้ไทยหวนคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตยโดยเร็ว
นอกจากนี้ นางจูลี เกอร์ลิง สมาชิกสภาสหภาพยุโรป ระบุว่า รัฐบาลทหารไทยเคยให้สัญญาว่าจะเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประชาธิปไตย แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ และสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่หากไม่มีความคืบหน้า สหภาพยุโรปจะต้องพิจารณามาตรการกดดันที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยถูกตัดสิทธิ สิทธิพิเศษ GSP ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ และจากข้อมูลในปี 2557 สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 4 ของไทย โดยมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 42 ล้านเหรียญสหรัฐ
ออกหมายจับเพิ่ม ทหารค้ามนุษย์
วันที่ 20 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ภายใต้การนำของ พล.ต.อ. เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังคงเดินหน้าสืบสวนและออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ศาลจังหวัดนาทวี ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย เป็นทหารบก 3 นาย และทหารเรือ 1 นาย รายชื่อประกอบด้วย 1. พ.อ. ณัฐสิทธิ์ มากสุวรรณ สังกัด กอ.รมน.จ.สตูล 2. ร.อ. วิสูตร บุนนาค สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร 3. ร.อ. สันทัด เพชรน้อย สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร และ 4. น.ท. กัมปนาท สังข์ทองจีน สังกัดทัพเรือภาคที่ 3
อย่างไรก็ตาม รวมหมายจับทั้งหมดในคดีค้ามนุษย์ขณะนี้ ตำรวจขอศาลออกหมายจับแล้ว จำนวน 150 หมายจับในจำนวนนี้ จับกุมตัวได้แล้ว 89 คน และยังหลบหนีอีก 61 คน ซึ่งเชื่อว่า ส่วนที่จับกุมตัวไม่ได้ เพราะหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ราว 20 คน นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกเพิ่มเติมด้วยว่า เจ้าหน้าที่ยังเตรียมออกหมายจับทหารและตำรวจเพิ่มเติมอีกหลายราย โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
เดินหน้าจัดระเบียบ ตัดน้ำ-ไฟ ไล่สะพานเหล็ก
เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่สำนักงานเขตพระนคร พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาผู้บุกรุกคลองโอ่งอ่างโดยมี พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายโสภณ โพธิสป ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ ตัวแทนเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม พล.ต.อ. อัศวินเปิดเผยว่า คลองโอ่งอ่างถือเป็นคลองประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นโบราณสถานที่สำคัญ ปัจจุบันผู้ค้ารุกล้ำลำคลองก่อสร้างอาคารในพื้นที่คลอง โดยคลองที่เคยกว้างประมาณ 7-8 เมตรถูกรุกล้ำจนเหลือกว้างเพียง 1 เมตรเท่านั้น ส่งผลต่อการระบายน้ำและยังมีปัญหาต่างๆ มากมาย กลายเป็นแหล่งมั่วสุม แหล่งอาชญากรรม มีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก
ปัจจุบัน ตลาดริมคลองโอ่งอ่างหรือสะพานเหล็กมีผู้ค้าตั้งแต่บริเวณสะพานดำรงสถิตถึงสะพานบพิธพิมุขทั้งสิ้นประมาณ 500 แผงค้า ซึ่งเป็นผู้ค้าในพื้นที่เขตพระนคร 375 รายและเป็นผู้ค้าในพื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ 125 ราย โดยผู้ค้าส่วนใหญ่จะขายสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ประเภทซีดี นาฬิกา และเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่ง กทม. จะดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่โดยห้ามทำการค้าบริเวณดังกล่าวอย่างเด็ดขาด รวมถึงริมคลองทั้งหมดด้วย ซึ่งขณะนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามเห็นชอบในการใช้กฎหมายคณะปฏิวัติ มาตรา 44 เพื่อดำเนินการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่รุกล้ำพื้นที่สาธารณะ โดย กทม. จะเริ่มติดประกาศแจ้งการรื้อถอนในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ซึ่งตามกฎหมาย ผู้ค้าจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และออกจากพื้นที่ภายในระยะเวลา 15 วัน แต่หากผู้ค้ายังฝ่าฝืน กทม. จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย และ กทม. จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่เพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ต.ค. นี้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นผู้ค้าที่ปลูกสร้างในพื้นที่คลองจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ด้านนายจักกพันธ์ุกล่าวว่า กทม. จะเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ค้ากว่า 500 ราย รับทราบ และจะประสานไปยังการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการประปานครหลวง (กปน.) เพื่อดำเนินการตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่ดังกล่าว ไม่ให้ผู้ค้าสามารถทำการค้าได้อีกต่อไป โดยหากผู้ค้าไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายทั้งนี้ กทม. ขอให้ผู้ค้าเข้าใจและคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก พื้นที่คลองโอ่งอ่างถือเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษา ทั้งนี้ ผู้ค้าบริเวณดังกล่าว กทม. ได้เตรียมจัดหาพื้นที่รองรับให้ทำการค้าบริเวณตลาดเทเวศน์และตลาดของ กทม. บริเวณต่างๆ ตามที่ผู้ค้าสะดวก
ชาวเน็ตลุกฮือ นโยบาย Single Gateway
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คำหนึ่งที่เป้นที่กล่าวถึงกันมากในสังคมออนไลน์ก็คือ Single Gateway (ซิงเกิลเกตเวย์) อันเป็นนโยบายที่รัฐบาลจะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมอินเทอร์เน็ต
โดยปรกติ ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้นจะวิ่งเข้า-ออกประเทศผ่านหลายเกตเวย์ หรือก็คือมี “ประตู” หลายๆ บานให้ข้อมูลได้วิ่งผ่าน โดยประตูเหล่านี้จะเชื่อมโยงอยู่กับอุปกรณฺ์นับล้านที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซิงเกิลเกตเวย์ก็คือการทำให้ข้อมูลทั้งหมดนั้นไหลเข้า-ออกผ่านประตูเพียงบานเดียว
นั่นก็คือ ไม่ว่าเราจะใช้อินเทอร์เน็ตทำอะไร เช่น เข้าเว็บไซต์ไหน ส่งอีเมลหาใคร ข้อความในอีเมลมีอยู่ว่าอะไร แชทกับใคร ข้อมูลเหล่านี้จะวิ่งผ่านประตูเพียงบานเดียวที่รัฐบาลจัดไว้ให้ ซึ่งนั่นหมายความว่า รัฐจะดักจับข้อมูลการใช้งานของเราได้
“อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล” ผู้ประสานงาน เครือข่ายพลเมืองเน็ตให้สัมภาษณ์ เว็บไซต์ประชาไทว่า ด้วยปริมาณข้อมูลข่าวสารจำนวนมากที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต การทำซิงเกิลเกตเวย์หรือก็คือทำให้ข้อมูลเหลือทางเข้า-ออกเพียงทางเดียว จะทำให้อินเทอร์เน็ตช้าลง และยังมีโอกาสในการเกิด single point of failure กล่าวคือ ปรกติ ถ้าประตูไหนมีปัญหา ข้อมูลก็จะวิ่งเข้า-ออกผ่านประตูอื่นๆ ที่เหลือ แต่ถ้ามีแค่ประตูเดียว หากประตูนี้มีปัญหา ระบบทั้งหมดก็จะล่มทันที
พูดง่ายๆ ว่าคือไม่สามารถใช้งานอินเทอรฺ์เน็ตได้
“เพราะฉะนั้น ปัญหาจึงมีหลายจุด หนึ่ง เรื่องสิทธิเสรีภาพ แปลว่ารัฐพยายามจะควบคุมการไหลของข้อมูล ซึ่งรัฐพูดถึงตรงนี้อย่างชัดเจนว่าจะทำ สอง นอกจากการเซ็นเซอร์ การดักข้อมูลก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย ตรงนี้จะกระทบสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล สาม รัฐบอกว่าจะสนับสนุนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ประกอบด้วย 3 เรื่องคือ การรักษาความลับของข้อมูล (confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล (integrity) และความพร้อมใช้งานของข้อมูลและระบบ (availability) พอทำแบบนี้จะกระทบทั้งสามส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพร้อมใช้ของข้อมูลและระบบ เพราะเราะมีแนวโน้มว่าเจ๊งปุ๊บ จะล่มหมด จากแทนที่จะมีหลายลิงก์ อันนึงเสียก็ใช้อันอื่นต่อได้ ทั้งหมดนี้เท่ากับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ลดลง สวนทางกับที่รัฐบาลบอกจะทำให้ปลอดภัยขึ้น และจะหนุนดิจิทัลอิโคโนมี” อาทิตย์กล่าวกับเว็บไซต์ประชาไท
ความตื่นตัวในเรื่องที่รัฐจะทำซิงเกิลเกตเวย์ ได้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโดยมีการรวบรวมรายชื่อผ่านแคมเปญ “ต่อต้านการตั้งซิงเกิลเกตเวย์ Go against Thai govt to use a Single Internet Gateway.” ในเว็บไซต์ change.org ซึ่งขณะนี้มีผู้ลงชื่อสนับสนุนถึง 40,000 คนแล้ว