ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2558: “ถอยดีกว่า ‘ตั๊น’ ไม่เป็นตำรวจแล้ว” และ “ชาวเน็ตลุกฮือ นโยบาย Single Gateway”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2558: “ถอยดีกว่า ‘ตั๊น’ ไม่เป็นตำรวจแล้ว” และ “ชาวเน็ตลุกฮือ นโยบาย Single Gateway”

26 กันยายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2558

  • ถอยดีกว่า “ตั๊น” ไม่เป็นตำรวจแล้ว
  • “อียู” กดดัน ระงับเจรจาเอฟทีเอกับไทยจนกว่าจะคืนอำนาจ
  • ออกหมายจับเพิ่ม ทหารค้ามนุษย์
  • เดินหน้าจัดระเบียบ ตัดน้ำ-ไฟ ไล่สะพานเหล็ก
  • ชาวเน็ตลุกฮือ นโยบาย Single Gateway
  • ถอยดีกว่า “ตั๊น” ไม่เป็นตำรวจแล้ว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/regional/350041
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/regional/350041

    สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 เฟซบุ๊กเพจ “Thailand Police Story” ได้โพสต์เนื้อหาว่า “กองบัญชาการตำรวจนครบาล กำลังประมวลผลดำเนินการรับนางสาวจิตภัสร์ (ตั๊น) กฤดากร เข้าเป็นตำรวจ โดยจะดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ(191) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยศร้อยตำรวจตรี โดยจะเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณา โดยให้เหตุผลว่ามีความรู้ด้านประสานงานต่างประเทศ”

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “Thailand Police Story” https://goo.gl/6AIUEK
    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “Thailand Police Story” https://goo.gl/6AIUEK

    เรื่องราวดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านมากมายขึ้นในโลกออนไลน์ โดยเชื่อมโยงกับเมื่อครั้ง น.ส.จิตภัสร์ ยังเป็นหนึ่งในแกนนำคณะกรรมประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ทั้งในแง่ของการที่เคยนำมวลชนบุกไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุม กปปส. ทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกรณีที่มีหมายจับในข้อหากบฏและอื่นๆ รวม 8 ข้อหา จากการชุมนุมทางการเมืองในครั้งนั้น

    ตัวอย่างของการต่อต้านที่เห็นได้ชัดคือ ในเฟซบุ๊กเพจ “ตำรวจไทย สู้ๆ” ได้มีการโพสต์เชิญชวนให้แสดงการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ด้วยการผูกริบบิ้นสีดำที่เสาวิทยุสื่อสาร เสาวิทยุติดรถยนต์ หรือกระจกมองข้างรถยนต์ รถจักรยานยนต์

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “ตำรวจไทย สู้ๆ” https://goo.gl/xHNtrk
    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “ตำรวจไทย สู้ๆ” https://goo.gl/xHNtrk

    ทั้งนี้ ในส่วนของหมายจับ ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ชี้แจงว่า เนื่องจาก น.ส.จิตภัสร์ได้เคยเดินทางมามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป ซึ่งตามกฎหมายแล้ว เมื่อ “จับตัวได้” ก็ถือว่าหมายจับนั้นสิ้นสุดลงไป ส่วนจะขาดคุณสมบัติในการเข้ารับราชการตำรวจหรือไม่ เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (อ่านเพิ่มเติม)

    อนึ่ง เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีนางสาวจิตภัสร์ กฤดากร หรือ ตั๊น อดีตแกนนำ กปปส. ที่มีรายชื่อเข้ารับการคัดเลือกบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดกองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่า ตำแหน่งดังกล่าวที่ น.ส.จิตภัสร์ สมัครเข้าไปนั้นเป็นตำแหน่งเปิดใหม่ ไม่เคยมีผู้ใดประจำตำแหน่งนี้มาก่อน จากนี้ต้องตรวจสอบเหตุผลก่อนว่าทาง บก.สปพ. เปิดตำแหน่งดังกล่าวขึ้นมาเพื่ออะไร แต่เท่าที่ทราบตำแหน่งนี้เป็นวุฒิที่ต้องการพิเศษเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค หรือ เป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนจึงต้องรับเข้ามา ถือว่าไม่ใช่วุฒิตามปกติเพราะหากเป็นเช่นนั้นต้องมีการไปสอบเข้าแบบการรับสมัครทั่วไป

    ล่าสุด เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า วันที่ 24 ก.ย. 2558 เวลา 10.30 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร แถลงข่าวเปิดใจว่า อยากชี้แจงพร้อมทำความเข้าใจข้อเท็จจริงว่า เรื่องดังกล่าวตนมีเจตนารมรณ์ตั้งใจทำงานเพื่ออสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่สมัคร ส.ส. ทำงานการเมืองที่ผ่านมา แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ยังทำงานเชิงจิตอาสาตลอด 7 ปี ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนตัวขอยืนยันว่าเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากมีส่วนในการทำหน้าที่ตำรวจ หรือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่คอยดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุข ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนอีกทาง เพราะมองว่าตำรวจเป็นอาชีพทรงเกียรติ เสียสละ ทำงานหนัก เป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวได้ทำงานร่วมกับตำรวจบางสถานการณ์ก็ได้รับรู้ความทุกข์ยาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน ทำให้มีความเข้าใจและอยากมีส่วนร่วมในการศึกษากระบวนการทำงานของตำรวจ เพราะตำรวจยังขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณ ซึ่งถ้ามีโอกาสส่วนตัวไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นตำรวจ

    “การเปิดรับสมัครตำรวจมีประจำทุกปี ต้องผ่านการคัดเลือกตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และดิฉันได้ดำเนินการตามปกติ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการ ซึ่งยืนยันว่าดิฉันยังไม่ได้รับบรรจุเป็นยศ ร.ต.ต. ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ และปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะสอบผ่านการคัดเลือกหรือไม่” น.ส.จิตภัสร์กล่าว

    น.ส.จิตภัสร์กล่าวอีกว่า การชุมนุมที่ผ่านมา แม้ส่วนตัวจะมีบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่มีเจตนาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตำรวจ แต่ได้แสดงออกอยากให้ตำรวจเป็นที่พึ่งแท้จริงของประชาชน แม้ในสถานการณ์การชุมนุมได้เจอกับตำรวจ ต่างมีน้ำจิตน้ำใจไม่ตรีต่อกัน เพราะเข้าใจว่าต่างคนดำเนินการไปตามหน้าที่ ส่วนกรณีมีภาพปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งทำลายป้าย สตช. และต่อมามีการนำภาพดังกล่าวตัดต่อว่าเป็นตนเองนั้น ก็ยืนยันไม่เป็นความจริง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในช่วงชุมนุมที่เป็นภาษาอังกฤษ และมีการนำไปบิดเบือนนั้นก็ไม่เป็นความจริง

    “ทุกวันนี้น่าเป็นห่วงมาก มีการทำสงครามข่าวสาร โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงแต่ละเหตุการณ์ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในปัจุบันจมปลักในความขัดแย้ง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้กรณีของดิฉัน ที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเกิดความไม่สบายใจและถกเถียงกัน โดยเฉพาะแวดวงข้าราชการตำรวจทุกระดับชั้น อันจะทำให้กลายเป็นความไม่สงบสุขในองค์กรตำรวจ หรือขยายผลไปเป็นความขัดแย้งในสังคม ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อไปตามขั้นตอนการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจ ท้ายที่สุด ขอบคุณทุกกำลังใจ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่คงไม่มีวาสนาเข้ามาทำงานตำรวจ สวมเครื่องแบบในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และพร้อมจะนำคำติมาพัฒนาตัวเอง และรับใช้ประชาชน ในฐานะผู้หญิงที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้ทุกคนอย่างไม่ย่อท้อ และอยากเห็นคนไทยมอบความรักให้กัน แทนความเกลียดชังบนความขัดแย้งแตกแยก เพื่อเดินหน้าประเทศไทยอย่างแข็งแกร่งยังยืนต่อไป” น.ส.จิตภัสร์กล่าว

    ทั้งนี้ น.ส.จิตภัสร์กล่าวยืนยันด้วยว่า การตัดสินใจเข้าเป็นตำรวจ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะเป็นความตั้งใจของตน และพอเกิดกระแสสังคม ทุกคนในบ้านให้กำลังใจให้ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป ไม่ว่าอยู่จุดไหนก็ตาม จะมีตำแหน่งหรือไม่มีก็ตาม โดยหลังจากนี้ตนก็จะทำงานด้านภาคประชาชนต่อไป ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการ และกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ขณะที่งานด้านการเมืองก็เป็นเรื่องของอนาคต

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว น.ส.จิตภัสร์มีน้ำเสียงสั่นเครือ โดยเฉพาะในช่วงที่ระบุถึงการตัดสินถอนตัวและจะไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการรับราชการตำรวจ และหลังจากแถลงข่าวเสร็จได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงเล็กน้อย ก่อนลุกออกจากห้องแถลงข่าวไปในทันที

    และหลังจากจบการแถลงข่าวยังมีในการแจกเอกสาร “จดหมายเปิดผนึกของ น.ส.จิตภัสร์ ถึง ด.ต. ธีรเดช เล็กภู” ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บการเตะระเบิดช่วงระหว่างการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาระบุตอนหนึ่งว่า “แม้เราจะทำหน้าที่ต่างกัน แต่ตั๊นขอกราบคารวะในการเสียสละของท่าน ที่มีให้เพื่อนพ้องของท่าน จิตใจนักสู้ของท่านเหนือสิ่งอื่นใด ของนับถือในการเสียสละของตัวท่านเอง เพื่อปกป้องเพื่อนพ้องของท่าน ไม่งั้นคงมีพี่น้องตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก หาได้ยากกับการเสียสละยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

    ”อียู” กดดัน ระงับเจรจาเอฟทีเอกับไทยจนกว่าจะคืนอำนาจ

    ที่มาภาพ: คลิปข่าวเว็บไซต์วอยซ์ทีวี http://news.voicetv.co.th/world/261645.html
    ที่มาภาพ: คลิปข่าวเว็บไซต์วอยซ์ทีวี http://news.voicetv.co.th/world/261645.html

    วันที่ 22 ก.ย. 2558 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า สมาชิกสภา สหภาพยุโรป เสนอประเทศสมาชิกระงับเจรจา FTA กับรัฐบาลไทย จนกว่าจะมีการคืนอำนาจประชาธิปไตย

    เว็บไซต์ EU Reporter รายงานว่า นายเดวิด มาร์ติน สมาชิกสภาสหภาพยุโรป เสนอให้สหภาพยุโรประงับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีจนกว่ารัฐบาลไทยจะกลับคืนสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และสหภาพยุโรปควรใช้เครื่องมือทางการทูต กดดันให้ไทยหวนคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตยโดยเร็ว

    นอกจากนี้ นางจูลี เกอร์ลิง สมาชิกสภาสหภาพยุโรป ระบุว่า รัฐบาลทหารไทยเคยให้สัญญาว่าจะเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประชาธิปไตย แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ และสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่หากไม่มีความคืบหน้า สหภาพยุโรปจะต้องพิจารณามาตรการกดดันที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

    ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยถูกตัดสิทธิ สิทธิพิเศษ GSP ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ และจากข้อมูลในปี 2557 สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 4 ของไทย โดยมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 42 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ออกหมายจับเพิ่ม ทหารค้ามนุษย์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/526641
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/526641

    วันที่ 20 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ภายใต้การนำของ พล.ต.อ. เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังคงเดินหน้าสืบสวนและออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาอย่างต่อเนื่อง

    ล่าสุด ศาลจังหวัดนาทวี ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย เป็นทหารบก 3 นาย และทหารเรือ 1 นาย รายชื่อประกอบด้วย 1. พ.อ. ณัฐสิทธิ์ มากสุวรรณ สังกัด กอ.รมน.จ.สตูล 2. ร.อ. วิสูตร บุนนาค สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร 3. ร.อ. สันทัด เพชรน้อย สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร และ 4. น.ท. กัมปนาท สังข์ทองจีน สังกัดทัพเรือภาคที่ 3

    อย่างไรก็ตาม รวมหมายจับทั้งหมดในคดีค้ามนุษย์ขณะนี้ ตำรวจขอศาลออกหมายจับแล้ว จำนวน 150 หมายจับในจำนวนนี้ จับกุมตัวได้แล้ว 89 คน และยังหลบหนีอีก 61 คน ซึ่งเชื่อว่า ส่วนที่จับกุมตัวไม่ได้ เพราะหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ราว 20 คน นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกเพิ่มเติมด้วยว่า เจ้าหน้าที่ยังเตรียมออกหมายจับทหารและตำรวจเพิ่มเติมอีกหลายราย โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

    เดินหน้าจัดระเบียบ ตัดน้ำ-ไฟ ไล่สะพานเหล็ก

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/bangkok/350205
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/bangkok/350205

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่สำนักงานเขตพระนคร พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาผู้บุกรุกคลองโอ่งอ่างโดยมี พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายโสภณ โพธิสป ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ ตัวแทนเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม พล.ต.อ. อัศวินเปิดเผยว่า คลองโอ่งอ่างถือเป็นคลองประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นโบราณสถานที่สำคัญ ปัจจุบันผู้ค้ารุกล้ำลำคลองก่อสร้างอาคารในพื้นที่คลอง โดยคลองที่เคยกว้างประมาณ 7-8 เมตรถูกรุกล้ำจนเหลือกว้างเพียง 1 เมตรเท่านั้น ส่งผลต่อการระบายน้ำและยังมีปัญหาต่างๆ มากมาย กลายเป็นแหล่งมั่วสุม แหล่งอาชญากรรม มีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก

    ปัจจุบัน ตลาดริมคลองโอ่งอ่างหรือสะพานเหล็กมีผู้ค้าตั้งแต่บริเวณสะพานดำรงสถิตถึงสะพานบพิธพิมุขทั้งสิ้นประมาณ 500 แผงค้า ซึ่งเป็นผู้ค้าในพื้นที่เขตพระนคร 375 รายและเป็นผู้ค้าในพื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ 125 ราย โดยผู้ค้าส่วนใหญ่จะขายสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ประเภทซีดี นาฬิกา และเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่ง กทม. จะดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่โดยห้ามทำการค้าบริเวณดังกล่าวอย่างเด็ดขาด รวมถึงริมคลองทั้งหมดด้วย ซึ่งขณะนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามเห็นชอบในการใช้กฎหมายคณะปฏิวัติ มาตรา 44 เพื่อดำเนินการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่รุกล้ำพื้นที่สาธารณะ โดย กทม. จะเริ่มติดประกาศแจ้งการรื้อถอนในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ซึ่งตามกฎหมาย ผู้ค้าจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และออกจากพื้นที่ภายในระยะเวลา 15 วัน แต่หากผู้ค้ายังฝ่าฝืน กทม. จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย และ กทม. จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่เพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ต.ค. นี้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นผู้ค้าที่ปลูกสร้างในพื้นที่คลองจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด

    ด้านนายจักกพันธ์ุกล่าวว่า กทม. จะเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ค้ากว่า 500 ราย รับทราบ และจะประสานไปยังการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการประปานครหลวง (กปน.) เพื่อดำเนินการตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่ดังกล่าว ไม่ให้ผู้ค้าสามารถทำการค้าได้อีกต่อไป โดยหากผู้ค้าไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายทั้งนี้ กทม. ขอให้ผู้ค้าเข้าใจและคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก พื้นที่คลองโอ่งอ่างถือเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษา ทั้งนี้ ผู้ค้าบริเวณดังกล่าว กทม. ได้เตรียมจัดหาพื้นที่รองรับให้ทำการค้าบริเวณตลาดเทเวศน์และตลาดของ กทม. บริเวณต่างๆ ตามที่ผู้ค้าสะดวก

    ชาวเน็ตลุกฮือ นโยบาย Single Gateway

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ change.org https://goo.gl/17C2TC
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ change.org https://goo.gl/17C2TC

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คำหนึ่งที่เป้นที่กล่าวถึงกันมากในสังคมออนไลน์ก็คือ Single Gateway (ซิงเกิลเกตเวย์) อันเป็นนโยบายที่รัฐบาลจะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมอินเทอร์เน็ต

    โดยปรกติ ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้นจะวิ่งเข้า-ออกประเทศผ่านหลายเกตเวย์ หรือก็คือมี “ประตู” หลายๆ บานให้ข้อมูลได้วิ่งผ่าน โดยประตูเหล่านี้จะเชื่อมโยงอยู่กับอุปกรณฺ์นับล้านที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซิงเกิลเกตเวย์ก็คือการทำให้ข้อมูลทั้งหมดนั้นไหลเข้า-ออกผ่านประตูเพียงบานเดียว

    นั่นก็คือ ไม่ว่าเราจะใช้อินเทอร์เน็ตทำอะไร เช่น เข้าเว็บไซต์ไหน ส่งอีเมลหาใคร ข้อความในอีเมลมีอยู่ว่าอะไร แชทกับใคร ข้อมูลเหล่านี้จะวิ่งผ่านประตูเพียงบานเดียวที่รัฐบาลจัดไว้ให้ ซึ่งนั่นหมายความว่า รัฐจะดักจับข้อมูลการใช้งานของเราได้

    “อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล” ผู้ประสานงาน เครือข่ายพลเมืองเน็ตให้สัมภาษณ์ เว็บไซต์ประชาไทว่า ด้วยปริมาณข้อมูลข่าวสารจำนวนมากที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต การทำซิงเกิลเกตเวย์หรือก็คือทำให้ข้อมูลเหลือทางเข้า-ออกเพียงทางเดียว จะทำให้อินเทอร์เน็ตช้าลง และยังมีโอกาสในการเกิด single point of failure กล่าวคือ ปรกติ ถ้าประตูไหนมีปัญหา ข้อมูลก็จะวิ่งเข้า-ออกผ่านประตูอื่นๆ ที่เหลือ แต่ถ้ามีแค่ประตูเดียว หากประตูนี้มีปัญหา ระบบทั้งหมดก็จะล่มทันที

    พูดง่ายๆ ว่าคือไม่สามารถใช้งานอินเทอรฺ์เน็ตได้

    “เพราะฉะนั้น ปัญหาจึงมีหลายจุด หนึ่ง เรื่องสิทธิเสรีภาพ แปลว่ารัฐพยายามจะควบคุมการไหลของข้อมูล ซึ่งรัฐพูดถึงตรงนี้อย่างชัดเจนว่าจะทำ สอง นอกจากการเซ็นเซอร์ การดักข้อมูลก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย ตรงนี้จะกระทบสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล สาม รัฐบอกว่าจะสนับสนุนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ประกอบด้วย 3 เรื่องคือ การรักษาความลับของข้อมูล (confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล (integrity) และความพร้อมใช้งานของข้อมูลและระบบ (availability) พอทำแบบนี้จะกระทบทั้งสามส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพร้อมใช้ของข้อมูลและระบบ เพราะเราะมีแนวโน้มว่าเจ๊งปุ๊บ จะล่มหมด จากแทนที่จะมีหลายลิงก์ อันนึงเสียก็ใช้อันอื่นต่อได้ ทั้งหมดนี้เท่ากับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ลดลง สวนทางกับที่รัฐบาลบอกจะทำให้ปลอดภัยขึ้น และจะหนุนดิจิทัลอิโคโนมี” อาทิตย์กล่าวกับเว็บไซต์ประชาไท

    ความตื่นตัวในเรื่องที่รัฐจะทำซิงเกิลเกตเวย์ ได้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโดยมีการรวบรวมรายชื่อผ่านแคมเปญ “ต่อต้านการตั้งซิงเกิลเกตเวย์ Go against Thai govt to use a Single Internet Gateway.” ในเว็บไซต์ change.org ซึ่งขณะนี้มีผู้ลงชื่อสนับสนุนถึง 40,000 คนแล้ว