ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 6-12 กันยายน 2558: “สรุปเหตุการณ์และความคืบหน้าบึมราชประสงค์” และ “คุมตัว “พิชัย-เก่ง การุณ” ปรับทัศนคติ ฐานแสดงออกผิดข้อตกลง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 6-12 กันยายน 2558: “สรุปเหตุการณ์และความคืบหน้าบึมราชประสงค์” และ “คุมตัว “พิชัย-เก่ง การุณ” ปรับทัศนคติ ฐานแสดงออกผิดข้อตกลง”

12 กันยายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 6-12 กันยายน 2558

  • สรุปเหตุการณ์และความคืบหน้าบึมราชประสงค์
  • 105:135:7 เริ่มใหม่ – สปช. ลงมิตไม่รับร่าง รธน.
  • คดีจบแบล็คลิสต์ไม่จบ นักวิชาการอังกฤษถูกกักตัวที่สนามบิน
  • 4 กระทง 14 เดือน 15 วัน ”มาเฟียสยาม” น้ำตาตก
  • คุมตัว “พิชัย-เก่ง การุณ” ปรับทัศนคติ ฐานแสดงออกผิดข้อตกลง
  • สรุปเหตุการณ์และความคืบหน้าบึมราชประสงค์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/523920
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/523920

    – วันที่ 17 ส.ค. 2558 เวลาประมาณ 19.00 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณหน้าศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ส่งผลให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกประมาณ 130 ราย

    – วันที่ 18 ส.ค. 2558 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุระเบิดอีกครั้งบริเวณท่าเรือสาทร ใต้สะพานสมเด็จเพราะเจ้าตากสิน แต่เนื่องจากเป็นการระเบิดในน้ำจึงไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

    – วันที่ 18 ส.ค. 2558 กรณีระเบิดที่ราชประสงค์ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้ต้องสงสัยเป็นชาวต่างชาติ ผมหยักศก สวมแว่น (มีการตั้งข้อสงสัยด้วยว่าอาจมีการสวมแว่นหรือใส่วิกเพื่อปลอมตัว) ผู้ต้องสงสัยสะพายเป้มาแต่ถอดวางทิ้งไว้บนม้านั่งบริเวณศาลพระพรหม ก่อนจะหยิบโทศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วเดินจากไปโดยทิ้งเป้ไว้

    – วันที่ 22 ส.ค. 2558 กรณีระเบิดที่ท่าน้ำสาทร จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบชายต้องสงสัยที่มาปรากฏตัวในบริเวณจุดระเบิดที่ท่าน้ำสาทรทั้งในวันที่ 17 ส.ค. 2558 หลังเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ประมาณครึ่งชั่วโมง และยังมาปรากฏตัวที่เดิมในวันที่ 18 ส.ค. 2558 ก่อนเกิดการระเบิดขึ้น โดยในวันที่ 17 ส.ค. นั้น ชายต้องสงสัยได้เอาวัตถุบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วใช้เท้าเขี่ยให้ตกน้ำไป โดยจุดตกนั้นเป็นบริเวณกับจุดที่เกิดการระเบิดในวันต่อมา ส่วนในวันที่ 18 ส.ค. ชายคนดังกล่าวได้กลับมาที่เดิมอีกครั้ง โดยทำท่าเหมือนกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูป ซึ่งหลังจากชายต้องสงสัยเดินจากไปได้ 3-4 นาที ก็เกิดการระเบิดขึ้น

    – วันที่ 29 ส.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมชาวต่างชาติ นายอเดม คาราดัก หรือ บิลา มูฮัมหมัด ในอพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก จากการตรวจค้นพบอุปกรณ์และสารประกอบจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่พบใช้เป็นสะเก็ดระเบิดที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร

    – วันที่ 1 ก.ย. 2558 เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมชาวต่างชาติ นายไมไรลี ยูซูฟู ขณะกำลังลัดเลาะป่าหลบหนีเข้าประเทศกัมพูชา บริเวณทิศเหนือตลาดโรงเกลือ ห่างจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ประมาณ 3 กิโลเมตร

    – วันที่ 3 ก.ย. จากการสอบสวนชาวต่างชาติทั้งสองราย ทำให้นอกจากทั้งคู่แล้วยังสามารถออกหมายจับผู้เพิ่มเติมอีก 6 หมาย ประกอบด้วย 1. ชายสวมเสื้อสีเหลือง ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ 2. ชายสวมเสื้อสีฟ้า ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทร 3. ชายต่างชาติ จำนวน 3 คน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการครอบครองวัตถุระเบิดในห้องเช่าพูลอนันต์ อพาร์ตเมนต์ เขตหนองจอก (ที่พักของอเดม คาราดัก) 4. ชายต่างชาติ จำนวน 1 คน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการครอบครองวัตถุระเบิดในห้องเช่าหอพักไมมูณา การ์เด้น โฮม เขตมีนบุรี (ที่พักของไมไรลี ยูซูฟู) 5. นางสาววรรณา สวนสัน (หรืออีกชื่อว่า ไมซา-เลาะห์) ผู้ทำสัญญาเปิดเช่าห้องพัก และล่าสุด 6. นายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู

    – วันที่ 6 ก.ย. 2558 พบหลักฐานว่านางสาวรรณา สวนสัน หรือไมซา-เลาะห์ โทรศัพท์ไปยังบริษัทเคมีภัณฑ์แห่งหนึ่งย่านรามอินทราแจ้งว่าจะมีชายต่างชาติไปซื้อของ โดยอ้างว่าเพราะชายต่างชาติพูดไทยไม่ได้ ซึ่งในเวลาต่อมา นายไมไรลี ยูซูฟู ได้ไปซื้อสารเคมีที่บริษัทดังกล่าว 2 ครั้ง คือในวันที่ 21 ก.ค. 2558 และ 11 ส.ค. 2558 ซึ่งจากการตรวจสอบสารเคมีที่นายไมไรลีเดินทางไปซื้อพบว่าตรงกับหลักฐานสูตรประกอบระเบิดที่จดบันทึกไว้ และชุดสืบสวนพบอยู่ในห้องพักพูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก ในวันที่เข้าจับกุมนายบิลา มูฮัมหมัด (อเดม คาราดัก) ได้พร้อมของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิด นอกจากนี้ หากสารเคมีเหล่านี้ตรงกับสารเคมีในระเบิดที่ราชประสงค์และท่าน้ำสาทร ก็จะมีการแจ้งข้อหาร้ายแรงเพิ่มเติมอีกหลายข้อหา (ข้อมูลจากไทยรัฐออนไลน์)

    – วันที่ 6 ก.ย. 2558 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายไมไรลี ยูซูฟู ยอมรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากหัวหน้าใหญ่ ให้ทำหน้าที่ซื้อสารเคมีจากร้านเคมีภัณฑ์ ย่านมีนบุรี จากนั้นนำไปประกอบระเบิดที่ห้องพักที่อาคารพูลอนันต์ อพาร์ตเมนต์ ย่านหนองจอก ก่อนจะเดินทางนำไปส่งมอบให้มือวางระเบิดที่สวมเสื้อสีเหลืองที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อให้คนร้ายเสื้อสีเหลืองไปก่อเหตุวินาศกรรมดังกล่าว โดยทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และตัวการของขบวนการนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศไทยไปก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับสาเหตุที่ก่อเหตุดังกล่าวนั้นมาจากความแค้นส่วนตัว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

    – วันที่ 9 ก.ย. 2558 ตามการรายงานของเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ นายไมไรลี ยูซูฟู ให้การรับสารภาพด้วยว่า อยู่ร่วมขบวนการก่อเหตุระเบิด พักอาศัยอยู่ที่มูไมณา การ์เด้นโฮม ย่านมีนบุรี และก่อนเกิดเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหม เดินทางไปที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ ย่านหนองจอก เพื่อเอากระเป๋าเป้สีดำ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่มาเพียงคนเดียว นายไมไรลีให้การปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นว่าในการประกอบระเบิด กดรีโมตระเบิด รวมทั้งไม่ทราบว่าของในกระเป๋าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่นำมาใช้ก่อเหตุ โดยนำกระเป๋ามาส่งให้ชายเสื้อเหลืองหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง ชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อฟ้าที่หย่อนระเบิดทิ้งบริเวณท่าน้ำสาทรรู้จักกันในประเทศไทย ส่วนนายอาบู-ดูซาตาเออร์ ดาบูดูเรห์มาน หรืออิซาน อายุ 28 ปี ผู้บงการเป็นคนนัดทุกคนมารวมกันที่ห้องพักย่านหนองจอก วางแผนแบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนทำงาน จากนั้นวันที่ 16 ส.ค. ก่อนเกิดเหตุระเบิด 1 วัน นายอิซานก็หลบหนีออกนอกประเทศไป ทั้งนี้ นายอาบูดูซาตาเออร์ ดาบูดูเรห์มาน หรืออิซาน ถือพาสปอร์ตชาวจีน มีเชื้อสายตุรกี เคยเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง นายอิซาน เป็นคนให้จัดการเปิดบริษัทจำหน่ายเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และขายโทรศัพท์มือถือ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุรวงศ์ ไว้บังหน้าเพื่อยืดอายุวีซ่า แต่ไม่ได้มีการทำกิจการแต่อย่างใด นายอิซานยังรู้จักกับขบวนการปลอมพาสปอร์ต ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า นายอิซาน น่าจะเป็นผู้บงการวางแผน จัดส่งกำลังบำรุง และหาสถานที่พัก ก่อนลงมือก่อเหตุวางระเบิด

    105:135:7 เริ่มใหม่ – สปช. ลงมติไม่รับร่าง รธน.

     ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/politics/346202

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/politics/346202

    เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. เวลา 10.15 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 67/2558 เพื่อลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช …. ทั้งฉบับ โดยมีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้เป็นการลงมติแบบขานชื่อสมาชิก สปช.ทั้ง 247 คน ตามลำดับตัวอักษร เริ่มลงมติในเวลา 10.35 น. โดยใช้เวลา 45 นาที ปรากฎว่าที่ประชุม สปช.มีมติ ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ 135 เสียง ต่อ 105 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ซึ่งเมื่อผลออกมาเช่นนี้ก็หมายความว่า หลังจากนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการ 21 คน มาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายใน 180 วัน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ สปช. ที่ลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้น ประกอบด้วย สปช. สายจังหวัด ประมาณ 60 เสียง สปช. สายวิชาการ สายกฎหมาย สายการเมือง อีก 40 กว่าเสียง รวมถึง สปช. สายตำรวจ และทหารอีกกว่า 30 เสียง โดยมีสายทหารเพียง 4 เสียงเท่านั้นที่ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ และงดออกเสียง คือ พล.อ. เลิศรัตน์ รัตนวานิช พล.ท. นคร สุขประเสริฐ พล.ท. นาวิน ดำริกาญจน์ และ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ขณะที่กลุ่ม สปช. ที่ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่เป็น สปช. สายสังคม เศรษฐกิจ สายวิชาการบางส่วน ขณะที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 21 คน ได้ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน มีเพียง 1 คนที่งดออกเสียงคือ พล.ท. นาวิน ดำริกาญจน์

    อนึ่ง หลังการลงมติไม่รับร่างธรรมนูญ ก็หมายถึงการหมดวาระของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติไปตามมาตรา 58 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งในการนี้ เว็บไซต์ข่าวสดก็ได้รายงานถึงบรรยากาศงานเลี้ยงอำลาตำแหน่งของบรรดาสมาชิก สปช. ทั้งหลายที่โรงแรมริเวอร์ซิตี้ ถนนเจริญกรุง โดยมีการล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยาและรับประทานอาหารร่วมกัน

    ทั้งนี้่ รายงานข่าวระบุว่า ในงานเลี้ยงอำลาดังกล่าวสมาชิกที่เป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นางถวิลวดี บุรีกุล นายคำนูณ สิทธิสมาน นายมีชัย วีระไวทยะ และนายบัณฑูร เศรษฐศิโรจน์ ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย

    อนึ่ง มติชนออนไลน์รายงานว่า วันที่ 7 กันยายน นายศิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เผย ตนขอคืนเงินจำนวน 1.7 ล้านบาท ที่ได้รับจากการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพราะไม่สามารถผลักดันร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่เลขานุการรัฐสภา กล่าวว่าไม่มีระเบียบคืนเงิน ตนจึงจะมอบให้กับมูลนิธิและวัด ที่ดำเนินการด้านสาธารณกุศล ยกเว้นวัดอ้อน้อยและมูลนิธิด้านการเมือง หากมูลนิธิใดสนใจให้ติดต่อตน ซึ่งตนจะพิจารณาในเดือนนี้ทันที และขอให้สมาชิก สปช. รายอื่นๆ นำเงินมาคืน เพราะเป็นภาษีของประชาชนและให้นำไปทำบุญ

    นอกจากนี้หากมีการทาบทามตนเข้าเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปตนก็ยินดีแม้แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีตนก็ยินดีรับ

    คดีจบแบล็คลิสต์ไม่จบ นักวิชาการอังกฤษถูกกักตัวที่สนามบิน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพับลิก้า https://thaipublica.org/2015/09/wyn-ellis-7-9-2558/
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพับลิก้า https://thaipublica.org/2015/09/wyn-ellis-7-9-2558/

    วันที่ 6 ก.ย. 2558 เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่า “วิลเลียม วิน เอลลิส” (William Wyn Ellis) นักวิชาการชาวอังกฤษ ถูกกักตัวอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากมีชื่ออยู่ในบัญชีดำในฐานะว่าเป็นภัยต่อวคามมั่นคงของชาติไทย

    หากใครได้เคยอ่านซีรีย์ “วิกฤติมาตรฐานงานวิจัย” ของไทยพับลิก้าแล้วก็คงคุ้ยเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี

    เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2551-2552 เมื่อนายวิลเลียม วิน เอลลิส ร้องเรียนต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่านายศุภชัย หล่อโลหการ ซึ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2550 ได้ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย, บริษัท สวิฟท์ จำกัด และของตน (นายวิลเลียม) เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ของนายตัวเองโดยไม่มีการอ้างแหล่งที่มา

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า จากการร้องเรียนดังกล่าว นายศุภชัยฟ้องร้องนายเอลลิสด้วยข้อหาต่างๆ 9 ข้อรวมไปถึงการหมิ่นประมาททางอาญาซึ่งหากมีความผิดจริงก็จะต้องลงเอยด้วยการติดคุก 2 ปี และในระหว่างนั้น นายเอลลิสยังถูกขู่ฆ่า มีคนปาหินใส่รถของเขา รวมทั้งพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปหาที่บ้าน นอกจากนั้น นักข่าวชาวอเมริกัน เอริกา ฟราย ซึ่งเขียนเรื่องราวของนายเอลลิสให้กับหนังสือพิมพ์ในไทยก็ออกจากประเทศเมื่อปี 2553

    หลังจากที่นายศุภชัยฟ้องร้องนักข่าวคนนี้ ฟรายบอกว่า หนังสือพิมพ์เองก็ไม่ได้ปกป้องเธอ

    แต่ในที่สุดมหาวิทยาลัยเริ่มสืบสวนเรื่องนี้เมื่อปี 2553 เดือน มิ.ย. 2555 นายศุภชัยถูกถอนปริญญา หลังจากนั้นไม่นานเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานลอกงานของนายเอลลิส แต่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติยังคงจ้างเขาจนถึงปลายปีที่ผ่านมา

    นายเอลลิสชนะคดี 7 คดีจากบรรดา 9 คดีที่เขาโดนนายศุภชัยฟ้อง ที่เหลือ 2 คดีพวกเขาตกลงยอมความกันนอกศาล แต่คดีสุดท้ายจบลงที่ศาลฎีกาเมื่อเดือน พ.ค. 2557

    ล่าสุดนายเอลลิสพบว่า เป็นเพราะนายศุภชัยได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตั้งแต่เมื่อปี 2552 ขอให้ขึ้นบัญชีดำหรือแบล็คลิสต์เขา หลังได้รับการติดต่อจากยาบเอลลิสทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้ส่งจดหมายถอนเรื่องไปแล้ว แต่นายเอลลิสก็ยังลงเอยในพื้นที่กักตัวของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ดี

    ทั้งนี้ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับจดหมายจากทางสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ ขอเพิกถอนหนังสือเรื่องการขึ้นบัญชีดำโดยระบุว่าเขาไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงตั้งแต่ราว 9.00 น. ของวันเกิดเหตุแต่โดยกระบวนการต้องส่งเรื่องไปยกเลิกที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งจะต้องใช้เวลาราว 7 วัน

    4 กระทง 14 เดือน 15 วัน “มาเฟียสยาม” น้ำตาตก

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/524388
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/524388

    ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา “มาเฟียสยาม” เป็นคำที่ฮือฮาในสังคมออนไลน์ สืบเนื่องจากผู้ใช้เว็บไซต์พันทิปท่านหนึ่ง ได้โพสต์กระทู้บอกเล่าเรื่องราวที่เพื่อนผู้หญิงของตนถูกทำร้ายและข่มขู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเคยมีเด็กชายวัยรุ่นที่ถูกทำร้ายและข่มขู่ในลักษณะเดียวกัน ทำให้เรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ เกิดการเรียกขานชายดังกล่าวว่ามาเฟียสยามตามถ้อยคำข่มขู่ที่บอกว่าตนเองเป็นมาเฟีย และนำไปสู่การจับกุมชายคนนี้ในที่สุด

    โดยเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2558 ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวนายวีระพัน อินทะวง หรือ “เฒ่า” อายุ 38 ปี สัญชาติลาว ที่บริเวณรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสุทธิสาร

    จากการสอบสวนพบว่า นายวีระพันเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย และมารับจ้างในประเทศไทยนานแล้ว และยังเคยทำงานที่บ่อนการพนันแห่งหนึ่งในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เมื่อหลายปีก่อน จากประวัติอาชญากรรม พบว่า ผู้ต้องหา เคยก่อเหตุลักทรัพย์ ในพื้นที่ สน.พญาไท และทำร้ายร่างกายวัยรุ่นชาย อายุ 17 ปี บริเวณโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนด้วย

    นายวีระพันให้การรับสารภาพว่า ทำร้ายร่างกายหญิงสาวคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บภายในรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีหัวลำโพงเมื่อวันที่ 4 กันยายนจริง พร้อมกล่าวขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป โดยอ้างว่าตัวเองมีความผิดปกติทางอารมณ์ เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง และไม่ได้เป็นมาเฟีย เป็นเพียงพ่อค้าขายผ้า เดินทางด้วยเรือมาจากเวียงจันทน์ เพื่อมาซื้อผ้าที่โบ๊เบ๊ ไปขาย และมีธุรกิจโรงแรมที่ลาว

    ต่อมา ในวันที่ 10 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานเพิ่มเติมว่า ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยนายวีระพันใน 2 สำนวน โดยสำนวนแรกในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ให้ลงโทษจำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดเหลือ 4 เดือน

    สำนวนที่สอง พิพากษาให้ลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ ลงโทษจำคุก 12 เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือ 6 เดือน สำนวนที่สามพิพากษาให้ลงโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ดูหมิ่นซึ่งหน้าและข่มขู่ผู้อื่นให้เกิดความกลัว ลงโทษจำคุก 2 เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือ 1 เดือน สำนวนที่สี่พิพากษาให้ลงโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายและดูหมิ่นซึ่งหน้า พิพากษาลงโทษจำคุก 7 เดือน จำเลยรับสารภาพลดโทษให้เหลือ 3 เดือน 15 วัน ร่วมโทษจำคุกนายวีระพัน ทั้งสิ้น 14 เดือน 15 วัน ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายวีระพัน ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป

    คุมตัว “พิชัย-เก่ง การุณ” ปรับทัศนคติ ฐานแสดงออกผิดข้อตกลง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ http://www.posttoday.com/analysis/report/387391
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ http://www.posttoday.com/analysis/report/387391

    มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 กันยายนที่สโมสรทหารบก พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า คสช. เชิญตัวนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย ไปพูดคุย เนื่องจากแสดงความคิดเห็นไม่ตรงและไม่เป็นไปตามแนวทางที่เคยตกลงกันไว้ จึงต้องเชิญมาพูดคุยอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจ

    ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า คสช. คุมตัวนายพิชัยไว้ที่ใด และควบคุมตัวกี่วัน ทาง พล.อ. อุดมเดช ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว ตอบเพียงแค่สั้นๆ ว่า “คงไม่มีอะไร” ก่อนจะขึ้นรถเดินทางไปประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ทำเนียบรัฐบาล

    ขณะเดียวกัน ทางด้านไทยรัฐออนไลน์ได้รายงานว่า วันที่ 10 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส.) ว่า นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) ไปเชิญตัวจากบ้านพักย่านดอนเมือง ไปควบคุมตัวภายในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เบื้องต้น ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า จะถูกกักตัวไว้นานเท่าใด

    ด้านนางพิมพ์ชนา โหสกุล ภรรยา นายการุณ กล่าวทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ตนยังไม่ทราบเรื่อง”

    พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ยอมรับว่า ขณะนี้นายการุณ โหสกุล อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ซึ่งไม่แน่ใจว่า ได้มีการตั้งข้อหาด้วยหรือไม่ เพราะจากการดูพฤติกรรมส่วนตัวของนายการุณตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่แสดงออกนั้นไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางเจ้าหน้าที่ คสช. ขอความร่วมมือไว้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องควบคุมตัวมาเพื่อทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนทัศนคติ และไม่ทราบว่า ควบคุมตัวไว้ที่ไหน และจำนวนกี่วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกับนายการุณเองว่า จะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของเจ้าหน้าที่ได้หรือไม่