เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ภายหลังการประชุม ครม. นายกฯ มอบหมายให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มาแถลงข่าวชี้แจงข้อมูลเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
“ปรีดิยาธร” ยังเชื่อ GDP ปีนี้โต 3%
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกขณะนี้ชะลอตัว ไม่เพียงประเทศไทยที่ส่งออกได้ลดลง แต่ประเทศอื่นๆ ก็ส่งออกลดลงเช่นกัน ปัจจัยสำคัญก็คือราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรุนแรง เฉลี่ย 50-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 บาร์เรล ในระยะเวลาเพียง 1 ปี ทำให้ราคาโลหะและสินค้าการเกษตรลดลงไปด้วย สำหรับไทยถือว่าโชคดี เพราะแม้ภาคการส่งออกซึ่งคิดเป็น 56% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในครึ่งปีแรกของปี 2558 จะลดลงไปราว 5% แต่ยังมีสิ่งที่ชดเชยคือภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็น 12% ของ GDP กลับเติบโตถึง 28% เมื่อลองมาคำนวณดูจะได้ GDP คืนมากว่า 3%(ดูเพิ่มเติมเศรษฐกิจไทยปี 2558)
“การเติบโตของภาคท่องเที่ยวจะมากกว่าภาคส่งออกที่ลดลง ทำให้ GDP ของไทยไม่ติดลบ” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ในวันนี้ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ได้ให้ตัวเลขการลงทุนของเขามา เพราะมองว่าในครี่งปีหลังของปี 2558 โดยเฉพาะในไตรมาสที่สี่ ยอดส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มมีการยอดสั่งซื้อมากขึ้น โดยปัจจัยสำคัญคือการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเกือบ 7% หากเทียบกับช่วงต้นปี สิ่งนี้ทาง JETRO บอกว่าทำให้เขามีความหวัง เพราะจะทำให้ราคาสินค้าจากไทยถูกลง ดังนั้น จึงเริ่มมีการสั่งซื้อมากขึ้น ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาราว 3-4 เดือน ทุกคนจึงคาดว่าในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2558 ตัวเลขการส่งออกของไทยจะกลับมาเป็นบวกได้
ยันนักลงทุนยังเชื่อมั่นไทย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวอีกว่า มีข้อมูลเล็กๆ ที่อยากเล่าให้ฟัง คือทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ได้อนุมัติโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 1,200 โครงการ จากปกติเฉลี่ยแค่ปีละ 1,600-1,800 พันโครงการเท่านั้น โดยโครงการที่ผ่านการอนุมัติจาก BOI ก็จะเริ่มลงทุนภายใน 1 ปีหลังจากนี้ โดยในจำนวน 1,200 โครงการ เป็นโครงการอุตสาหกรรมสมัยใหม่กว่า 300 โครงการ ซึ่งเป็นสินค้าที่คู่แข่งในอาเซียนยังผลิตไม่ได้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแข่งขัน และสามารถขายได้ในราคาสูง นี่คือข่าวดี แม้จะไปเกิดผลในปีหน้าก็ตาม
“สิ่งที่อยากบอกคือ นักลงทุนไม่ได้ขาดความเชื่อมั่นต่อไทย เพียงแต่การลงทุนในปีนี้จะขยายตัวช้าหน่อย เพราะในปี 2557 โดยเฉพาะครึ่งปีแรก กระบวนการอนุมัติการลงทุนนั้นหยุดไป เพิ่งมาเริ่มใหม่ในครึ่งปีหลัง จึงช้าไปหน่อย ให้เข้าใจว่าขณะนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังอยู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ขออนุมัติจาก BOI มากขนาดนี้” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
เมินข่าวปรับ ครม. เลี่ยงตอบปม “สมคิด”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวเรื่องการปรับ ครม. ยังมั่นใจว่าจะได้ทำงานต่อหรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ตนสบายใจมาโดยตลอด และมั่นใจมาตลอด ไม่เห็นมีอะไร เรื่องการปรับ ครม. อันนี้ไม่มีทางรู้ เพราะตนเป็นคนทำงาน ก็ทำเต็มที่
เมื่อถามว่า แต่นายกฯ อาจให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาร่วม ครม. ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า “ไม่รู้ๆ ไม่รู้จริงๆ มันเป็นคำว่าถ้าไง ผมจึงคงไม่ได้เดาอะไร”
พณ. แจง 3 ปัจจัยฉุกส่งออกร่วง
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กล่าวชี้แจงเรื่องปัญหาการส่งออกว่า ตัวเลขส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ลดลงเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาเซียนลดลง 13% ญี่ปุ่นลดลง 7% ออสเตรเลียลดลง 21% รัสเซียลดลง 30% และฝรั่งเศสที่ลดลง 16% โดยสาเหตุสำคัญ ก็คือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวและยางพารา เช่นเดียวกับมูลค่าของทองคำที่ลดลง หากตัด 2 ปัจจัยนี้ออกไป ตัวเลขส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้น
อีกสิ่งที่น่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราวคือการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ลดลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโตโยต้าซึ่งเป็นบริษัทที่ส่งออกรถยนต์ในไทยมากที่สุดมีการเปลี่ยนรุ่นรถกระบะ ทำให้การสั่งซื้อชะลอตัวลง โดยได้รับการยืนยันจากทางโตโยต้าว่าเป็นปัจจัยชั่วคราว ภายใน 1-2 เดือนจะกลับมาเพิ่มการส่งออกได้อีกครั้ง
“เหตุที่ตัวเลขการส่งออกของหลายประเทศทั่วโลกลดลง เพราะทุกประเทศลดการนำเข้ามา แต่ผู้ซื้อลด ผู้ขายก็ลำบาก แต่ยืนยันว่า พณ. จะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันการส่งออก โดยวันเดียวกันนี้ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการ พณ. นำคณะผู้ส่งออกข้าวและรถยนต์ไปเยือนแอฟริกาใต้ คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี และสัปดาห์ที่ผ่านมา พณ. เพิ่งร่วมมือกับอินเดียจัดการแสดงสินค้าที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ครบรอบ 100 ปี โดยในงานดังกล่าวสามารถขายยางพาราให้อินเดียได้ 5 แสนตัน รวมมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังผลักดันให้ขายสินค้าเกษตรหลายขนิดไปยังมาเลเซียเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก และจะพยายามขายข้าวในปีนี้ให้ได้ถึง 10 ล้านตันตามเป้าหมายเดิมที่วางเอาไว้” นางอภิรดีกล่าว
อุตฯ ไม่หวั่นซัมซุงย้ายฐานการผลิต
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงตัวเลขการลงทุนในไทยว่า มีหลายโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปแล้ว และอยู่ในกระบวนการก่อสร้าง เช่น โรงงานผลิตรถยนต์อีโคคาร์ โรงงานผลิตยาง และโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวล
ส่วนความกังวลเรื่องการย้ายฐานการผลิตของซัมซุง หลังปิดโรงงานผลิตฮาร์ดไดรฟ์ใน จ.นครราชสีมา นายจักรมณฑ์กล่าวว่า แม้โรงงานซัมซุงย้ายออกไป แต่ยังมีบริษัทใหญ่อย่างบริษัท เอเอ็มดี เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ และมีเอกชนบางรายขอเพิ่มการลงทุนด้วย สถานการณ์ในขณะนี้จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง
เห็นชอบ 9 มาตรการให้ภาครัฐประหยัดน้ำ–ตั้งเป้าลด 10%
วาระการประชุม ครม. ที่สำคัญ พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบมาตรการประหยัดน้ำในส่วนราชการ ตามแนวทางของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ เป็นประธาน เพราะจากสถิติการใช้น้ำของส่วนราชการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของปี 2557 พบว่ามีอัตราส่วนสูงถึง 19% โดยตั้งเป้าจะลดการใช้น้ำอย่างน้อย 10% โดยมีมาตรการ อาทิ จัดตั้งคณะทำงานปฏิบัติการประหยัดน้ำ และให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับแนวทางลดการใช้น้ำของส่วนราชการ ประกอบด้วย 1. สำรวจการรั่วไหลของน้ำอย่างง่าย เช่น ตรวจสอบท่อน้ำรั่วภายในหน่วยงาน ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ 2. รณรงค์สร้างจิตสำนึกในการประหยัดน้ำ เช่น ไม่เปิดน้ำไหลตลอดเวลาขณะล้างหน้า ไม่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด ลงในชักโครก 3. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเมื่อต้องการล้างมือ 4. ไม่ทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด 5. ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม 6. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้ 7. การล้างรถยนต์ เช่น ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำให้ไหลตลอดเวลาขณะล้างรถ ไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป 8. การรดน้ำต้นไม้ เช่น ใช้สปริงเกอร์ ไม่ควรล้างรถตอนแดดจัด และ 9. นำหลักการ 3R คือ Reduce Reuse Recycle มาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับหน่วยงาน
ต่ออายุ “รถไฟฟรี-รถเมล์ฟรี” อีก 3 เดือน
พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้ต่ออายุโครงการรถเมล์ฟรีและรถไฟฟรีเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยต่อไปอีก 3 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2558 แม้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเคยสั่งการให้หาวิธีอุดหนุนเฉพาะคนที่จำเป็นแทนการให้นั่งฟรี เช่น ให้ผู้มีรายได้น้อย นักเรียนนักศึกษา ฯลฯ เสียค่าโดยสารครึ่งราคา แต่หลังจากที่ประเมินแล้วเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลกระทบต่อประชาชน จึงจำเป็นต้องต่อเวลามาตรการนี้ไปอีก 3 เดือน โดยรถไฟฟ้าฟรีจะเป็นรถไฟชั้นสาม วิ่ง 172 ขบวน/วัน ส่วนรถเมล์ฟรีจะวิ่ง 800 คัน/วัน ใน 73 เส้นทาง โดยรัฐบาลต้องจ่ายเงินอุดหนุนทั้งหมด 1,123 ล้านบาท
ขยายเวลาโครงการจ้างงานตำบลละล้าน ช่วยพื้นที่แล้งซ้ำซาก
พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบขยายเวลาโครงการสร้างรายได้และการพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซาก 3,051 ตำบล ครอบคลุม 58 จังหวัด ซึ่งเป็นโครงการที่อนุมัติให้งบประมาณตำบลละ 1 ล้านบาท รวม 3 พันล้านบาท ไปจ้างงานคนในตำบล โดยกำหนดการเดิมจะต้องดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2558 แต่ถึงขณะนี้มีการเบิกจ่ายไปได้ราว 2.7 พันล้านบาท คิดเป็น 92% เหลือยังเบิกจ่ายไม่ได้ราว 2 ร้อยล้านบาท คิดเป็น 7% เพราะติดอุปสรรคบางประการ เช่น ฝนตก หรือมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จึงขยายเวลาการดำเนินการไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การเบิกจ่ายและดำเนินการต่างๆ แล้วเสร็จ ทั้งนี้ มีการรายงานด้วยว่าโครงการนี้มีประชาชนได้ประโยชน์ราว 9 แสนราย
สั่งสรุปแผนพัฒนาท่าเรือหรูใน ก.ย. 58
พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อรองรับเรือยอทซ์และเรือสำราญขนาดใหญ่ หรือเรือครุยซ์ โดยปัจจุบันไทยมีท่าเรือยอทซ์อยู่ 11 แห่ง อยู่ในฝั่งทะเลอันดามัน 6 แห่ง และฝั่งอ่าวไทย 5 แห่ง รองรับเรือได้ราว 2,000 ลำ แต่ที่ตั้งของท่าเรือเหล่านั้นยังกระจัดกระจาย ทำให้ยังไม่สามารถพัฒนาเป็นท่าเรือยอทช์ในระดับภูมิภาคได้ โดยกรมเจ้าท่าเสนอว่ามีพื้นที่ 33 แห่ง อยู่ในฝั่งอันดามัน 11 แห่ง และฝั่งอ่าวไทย 22 แห่ง ที่สามารถพัฒนาเป็นท่าเรือยอทซ์ได้ ที่ประชุม ครม. จึงสั่งการให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ ทดสอบตลาด และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหากจำเป็น
ส่วนท่าเรือครุยซ์ ปัจจุบันไทยมีท่าเรือที่รองรับได้ 3 แห่ง คือท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือภูเก็ต แต่ทั้ง 3 ท่า เป็นท่าเรือขนส่งสินค้า ไม่ใช่ท่าเรือท่องเที่ยว จึงยังไม่ตอบโจทย์การเป็นท่าเรือครุยซ์สำหรับการท่องเที่ยวในภูมิภาค ทั้งที่จากการสำรวจเส้นทางการเดินเรือครุยซ์เพื่อท่องเที่ยวที่มีการเดินเรือเป็นวงรอบ มักจะผ่านจากไทย ก่อนไปสิงคโปร์ เวียดนาม และฮ่องกง จึงให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาความเป็นไปได้ พื้นที่ 2 จุด ได้แก่ ภูเก็ตกับเกาะสมุย ว่าจุดใดเหมาะสมสำหรับการพัฒนาเป็นท่าเรือครุยซ์สำหรับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่ภูเก็ตได้มีการทำ EIA ไปแล้ว และให้รายงานผลกลับมาภายในเดือนกันยายน 2558